เล่มที่ 2 บทที่ 39 หนี

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“พระชายา พระชายา? ท่านมีแผนอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

    กระซิบถามเสียงเบา พ่อบ้านเติ้งจ้องมองหลินเมิ้งหยาที่กำลังสบถคำด่าอย่างมีความหวัง

    “แผน? ข้ามีแผนที่ไหนกันเล่า! คนเราน่ะ ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้!” คำตอบของหลินเมิ้งหยาทำให้สีหน้าของพ่อบ้านเติ้งแปลเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

    ขณะเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นในใจของเขาคือภาพเฉินโช่ว1นับหมื่นตัวกำลังพุ่งทะยาน

    พระชายาพระองค์นี้ช่าง…ปลิ้นปล้อน!

    “ผู้นำฉู่ ในเมื่อนายน้อยสั่งว่าให้จับตัวออกมาไม่ว่าเป็นหรือตาย ถ้าเช่นนั้นพวกเราจุดไฟเผากันเลยเถอะ!”

    ลูกน้องที่มีความฉลาดหลักแหลมเล็กน้อยเข้ามายืนข้างกายฉู่อันพลางออกกลอุบาย

    ฉู่อันจับจ้องมองทางประตูบานนั้น ราวกับว่าเขากำลังลังเล

    “โจมตีด้วยไฟ เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือไม่? ฮึ ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าก้อนหินสามารถละลายเพราะไฟได้! แต่ถึงแม้จะไหม้ได้ พวกเจ้าก็คงรอไม่ไหวหรอก ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็รีบไสหัวไปเสีย จากนั้นนำตัวนายน้อยของพวกเจ้ามาส่งให้ข้าเสียดีๆ มิเช่นนั้นสาบานเลยว่าข้ากับเขาจะได้เห็นดีกัน!”

    นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินเมิ้งหยาได้ใช้ทักษะแม่ค้าปากตลาดในการตอบโต้ผู้อื่น

    ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณตัวนางที่ออกไปซื้อของในตลาดเป็นบางครั้งให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

    เหล่าแม่ค้าแม่ขายมักมีฝีปากชั้นเลิศในการด่าทอผู้อื่น

    สามประโยคแรกทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกโกรธ ห้าประโยคต่อมาทำให้เสียสติ จากนั้นห้านาทีต่อมาร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องจักรก็จะระเบิด อีกครึ่งชั่วโมงความคิดที่มีต่อสรรพสิ่งจะเปลี่ยนไป

    แม้บางคำพูดจะเถรตรงและหยาบคายจนเกินไป ทว่าหลินเมิ้งหยากลับสามารถรักษาอาการเอาไว้ได้

    ทว่าฉู่อันที่อยู่ด้านนอกไม่อาจทนได้อีกต่อไป สีหน้าถมึงทึง รังสีอำมหิตแผ่กระจาย นังผู้หญิงคนนี้บังอาจยิ่งนัก

    “เข้ามา เตรียมน้ำมันและเชื้อเพลิงไว้ให้พร้อมแล้วเข้าไปเผาให้วอดวาย!”

    ขณะเดียวกันหลินเมิ้งหยากระโดดลงจากเก้าอี้

    “จะเผาใครกัน! อย่าลืมล่ะว่าพวกเจ้าเองก็ยังอยู่ที่นี่ ถ้าหากจุดไฟเผาขึ้นมา แม้แต่พวกเจ้าก็จะถูกเผาตายไปด้วย!” แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่านางกลับถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก

    ขณะที่บรรดาผู้ชายอีกสี่คนกำลังตะลึงงัน มือของนางฉีกเสื้อคลุมออกเป็นเส้นๆ

    “ฮึ เจ้านอนรอความตายอยู่ที่นี่เถิด พวกเราไปได้!” เขาถูกหลินเมิ้งหยาทำให้โกรธมากจริงๆ ฉู่อันจึงพาลูกน้องส่วนใหญ่กลับออกไป

    ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป หลินเมิ้งหยารีบร้องเรียกชายทั้งสี่เพื่อเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน

    “พวกเจ้าจงรีบถอดเสื้อผ้าออกเหมือนกับข้าเดี๋ยวนี้ จากนั้นชุบน้ำและปิดช่องโหว่ของประตูให้สนิท”

    เปลวเพลิง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือควัน คืนนี้นางไม่มั่นใจหรอกว่าตนเองจะหนีออกไปได้ เพียงแค่นางต้องทำเรื่องที่สมควรทำ

    “พระชายา เกรงว่าจะไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” ชายทั้งสามหน้าตาน่าเกลียดกว่าหลินเมิ้งหยา ทว่าหลินเมิ้งหยากลับร้องออกมาเพียงคำเดียว

    “ถอด!”

    ชายทั้งสี่รีบทำตามคำสั่ง กลิ่นเหม็นไหม้เริ่มลอยปะปนอยู่ในอากาศ ไม่นานเปลวเพลิงก็โหมกระหน่ำทั่วทั้งห้องที่สร้างจากหินแห่งนี้

    “พระชายา อีกเดี๋ยวพวกเราจะทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อช่วยพระองค์ออกไป ทันทีที่ออกไปได้ พระองค์จะต้องรีบกลับไปยังตำหนัก เมื่อถึงที่นั่นแล้วพระองค์จะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเติ้งและองครักษ์อีกสามคนดันตัวหลินเมิ้งหยาไว้ทางด้านหลังเพื่อปกป้อง

    ตอนนี้เขารู้ดีที่สุดว่านี่เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำของอีกฝ่าย มิรู้เลยว่าทางตำหนักมีสถานการณ์เช่นไร

    “แม้ข้าจะออกจากที่นี่ไปได้ แต่พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาจะยอมปล่อยให้ข้าหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?”

    จากนั้นนางก็มิต่างอะไรจากหมูที่กำลังนอนรอความตายอยู่บนเขียง

    เปลวไฟเริ่มขยายออกเป็นวงกว้าง เหล่านักโทษที่ถูกคุมขังตัวในคุกล้วนถูกไฟแผดเผาก่อนเป็นอันดับแรก

    คนเหล่านั้นต้องอยู่ท่ามกลางกองเพลิงโดยไร้ที่กำบัง ดังนั้นจึงยากที่จะเอาชีวิตรอดได้ จุดจบสุดท้ายจึงเป็นความตาย

    อุณหภูมิเริ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องโหยหวนของนักโทษดังออกมาไม่หยุด

    “สาดน้ำลงบนพื้น พวกเราต้องก้มตัวให้ต่ำที่สุด ห้ามสูดควันเข้าไปเป็นอันขาด” หลินเมิ้งหยาไม่สนใจกิริยาท่าทางว่าจะงามหรือไม่ นางฟุบตัวลงแนบพื้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเอาชีวิตรอด

    ด้านนอกคุก เปลวเพลิงโหมกระหน่ำจนสามารถเห็นควันโขมงสีดำกำลังพวยพุ่งขึ้นฟ้า

    “แย่แล้ว! ที่ว่าการเกิดไฟไหม้ รีบไปเอาน้ำมาดับไฟเร็ว!” ยามแผดเสียงร้อง ไม่นานเหล่าผู้คนที่กำลังหลับใหลยามค่ำคืนก็ตื่นขึ้นและเร่งรุดเข้ามาดับไฟ

    แต่ที่น่าแปลกก็คือประตูใหญ่ของที่ว่าการหยาเมินกลับปิดสนิท แม้พวกเขาจะร้องตะโกนจนคอแห้งก็ไม่มีผู้ใดมาเปิดประตู

    เศษผ้าชุบน้ำที่ถูกยัดเข้าไปในรูเริ่มถูกไฟไหม้

    ควันเล็ดลอดเข้ามาภายใน อุณหภูมิบริเวณรอบๆ สูงมากขึ้น หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าคอของตนเองเริ่มแสบร้อน

    คิดไม่ถึงเลยว่าแผนจับเต่าในไหของนางจะย้อนกลับมาทำลายชีวิตตนเองเช่นนี้

    นี่นาง…จะตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?

    ชายทั้งสี่ค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาประกบกายของหลินเมิ้งหยาเอาไว้

    ควันและอุณหภูมิที่ร้อนมากขึ้นทำให้สติของหลินเมิ้งหยาเลือนราง พื้นที่เคยเปียกชื้นกลับร้อนฉ่าขึ้นมา

    ประตูห้องหินไม่อาจทานทนต่อความร้อนที่กำลังโหมกระหน่ำ สุดท้ายจึงยุบตัวลง

    เปลวไฟสีแดงฉานจึงพวยพุ่งเข้ามาภายในห้องหิน

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะขมขื่น สุดท้ายนางก็ต้องหมดลมหายใจที่นี่

    ไม่อยาก…จะยอมรับเลยจริงๆ!

    ความร้อนและควันไฟถาโถมเข้ามาหาหลินเมิ้งหยา สติของนางหลุดลอย ท่ามกลางความเลือนราง นางรู้สึกเสมือนตนเองได้กลับไปยังภพชาติที่แล้ว

    ที่แห่งนั้นคือห้องทดลอง ทว่านางกลับนอนหลับตาแน่นิ่งอยู่บนเตียง ไม่ว่าหมอคนไหนต่างก็ไม่อาจช่วยชีวิตนางกลับมาได้

    นางได้เห็นอาจารย์ ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เหล่านักเรียนต่างรู้สึกสิ้นหวัง จากนั้นร่างของนางก็ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว

    ที่แท้ นางได้ตายไปจากภพชาตินี้แล้วจริงๆ

    ตายไปพร้อมกับความเหงาและโดดเดี่ยว

    ราวกับว่าความทรงจำทั้งหมดกำลังถูกลบออก นางมิใช่คนของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

    ขณะที่กำลังตกตะลึง อยู่ๆ ร่างของนางก็สั่นไหว ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นพล่านเข้ามา

    นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าสิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าหน้าเปื้อนน้ำตาของป๋ายจื่อและหลินจงอวี้

    “พวกเจ้า…” เพียงส่งเสียงแหบแห้งออกมาได้สองคำ ความแสบร้อนพลันถาโถมเข้ามาที่ลำคอ นางตกใจกับเสียงของตนเองเป็นอย่างมาก นี่หรือว่า…นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง?

    “คุณหนู! ท่านตื่นแล้วจริงๆ ด้วย ฮือ ฮือ ข้าคิดว่าจะไม่ได้เจอท่านแล้วเสียอีก!”

    ท่าทางของป๋ายจื่อเหมือนคนที่กำลังตื่นตระหนก น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่ขาดสายขณะโอบกอดหลินเมิ้งหยา

    “เจ็บ…” หลินเมิ้งหยากลอกตา รู้สึกว่าป๋ายจื่อกำลังกดทับจุดที่โดนไฟลวก ดังนั้นความเจ็บปวดจึงแผ่กระจายไปทั่วร่าง

    “ไอ้หยา คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เหตุใดจึงเหงื่อแตกพลั่กเช่นนี้?” ป๋ายจื่อที่กำลังร้องไห้โวยวายเสียงดัง มิได้สังเกตเห็นเลยว่าตนเองเป็นตัวการทำให้หลินเมิ้งหยาเหงื่อท่วมร่าง

    “เจ้า…” หลินเมิ้งหยาคิดอยากจะฆ่าป๋ายจื่อเสียจริง นี่นางเป็นฆาตกรหรืออย่างไร? ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมจึงทรมานตนเองเกือบตายเช่นนี้?

    “พี่ป๋ายจื่อรีบลุกขึ้นเถิด พี่สาวพระชายากำลังถูกพี่ทับจนใกล้จะตายอยู่แล้ว!” เป็นหลินจงอวี้ที่เข้าใจหัวอกของหลินเมิ้งหยา ขณะเดียวกันเขารีบรั้งตัวป๋ายจื่อออกมาเพื่อช่วยชีวิตของพี่สาวเอาไว้

    “ขอโทษเจ้าค่ะคุณหนู ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ป๋ายจื่อแทบจะร้องไห้ คุณหนูอุตส่าห์รอดจากเหตุการณ์ไฟไหม้มาได้ แต่กลับจะตายเพราะน้ำมือของนางเอง

    “พระชายา ดื่มน้ำเถิดเพคะ ท่านสลบไปนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว หมอหลวงต่างพูดว่าหากวันนี้พระองค์ยังไม่ฟื้น เกรงว่าจะต้องตระเตรียมงานศพแล้วล่ะเพคะ” น้าจื่นเยว่เข้ามาประคองหลินเมิ้งหยาที่ข้างเตียง ยกน้ำมาหนึ่งแก้ว จากนั้นป้อนหลินเมิ้งหยา

    หลินเมิ้งหยาดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่ ในที่สุดพละกำลังของนางก็กลับมาเล็กน้อย

    เจ็ดวันเจ็ดคืน ทว่านางกลับอยู่ในภพชาติก่อนเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

    “ข้า…ออกมาได้อย่างไร?” นางยังคงจดจำภาพเปลวไฟโหมกระหน่ำในสมองได้

    จิ่นเยว่ยกถ้วยยาเข้ามา ก่อนจะเล่าเรื่องที่ถูกช่วยเอาไว้ให้นางฟัง

    ที่แท้เปลวเพลิงลุกลามไปกว่าครึ่งเมือง ตอนที่ทหารองครักษ์ของจวนมาถึง คุกแห่งนั้นกลายเป็นทะเลเพลิงไปเสียแล้ว

    ในช่วงเวลาวิกฤติ ท่านอ๋องมิสนใจคำทัดทานจากผู้ใด เขากระโจนเข้าไปในกองเพลิง สุดท้ายเขาช่วยมาได้เพียงหลินเมิ้งหยาและพ่อบ้านเติ้ง

    ส่วนองครักษ์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสามใช้ร่างกายกำบังร่างของทั้งสองคนเอาไว้ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาและพ่อบ้านเติ้งจึงยังมีลมหายใจอยู่ได้

    “ที่แท้…ก็เป็นแบบนี้” หัวเราะขมขื่น นางติดหนี้ชีวิตพวกเขาทั้งสาม

    หากตนเองไม่อยู่ที่นั่นต่อแล้วละก็ บางทีทั้งสามอาจจะยังไม่ตาย

    “เจ้าอย่าโทษตัวเองไปเลย พวกเขาได้ทำในสิ่งที่สมควรกระทำ” อยู่ๆ เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นภายในห้อง หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปทางประตูด้วยความยากลำบาก ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา นอกจากหลงเทียนอวี้แล้วจะเป็นใครอื่นได้?

    “ครอบครัวของพวกเขารู้ข่าวหรือยังเพคะ?” แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก ทว่าหลินเมิ้งหยาไม่มีวันลืมหนี้บุญคุณในครั้งนี้

    “ได้รับการปลอบขวัญเรียบร้อยแล้ว เปิ่นหวังจะทำให้พวกเขาไม่ต้องมีห่วงอีกต่อไป” หลงเทียนอวี้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขรึม ไม่มีใครมองออกว่าเขารู้สึกเช่นไร

    “พวกเจ้าออกไปก่อน เปิ่นหวังมีเรื่องจะคุยกับพระชายา”

    ภายในห้องจึงเหลือเพียงทั้งคู่

    “ขอบพระทัยที่ช่วยชีวิตหม่อมฉันเพคะ” นอกจากทั้งสามคนนั้น หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าตนเองควรเอ่ยคำขอบคุณเขา

    “เปิ่นหวังมิได้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้เพื่อรอฟังคำขอบคุณหรอก ปกติเปิ่นหวังไม่เคยเก็บคนไร้ประโยชน์เอาไว้ข้างกาย ต่อจากนี้ไปเจ้าจะเป็นลูกน้องของเปิ่นหวัง” นัยน์ตาของหลงเทียนอวี้เย็นยะเยือก อันที่จริงเหตุการณ์ในวันนั้นเปรียบเสมือนบททดสอบของหลินเมิ้งหยา

    แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นจะอุกอาจถึงขั้นโจมตีจวนอวี้

    “ท่านอ๋องรู้จักคนเหล่านั้นหรือเพคะ?” หลินเมิ้งหยาเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามหลงเทียนอวี้ด้วยความสงสัย

    “หากคิดจะอยู่ข้างกายเปิ่นหวัง ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะต้องพบเจอกับความอันตรายมากมาย” ทั้งศึกภายในและภายนอกล้วนต้องประสบพบเจอทั้งหมด แม้หลินเมิ้งหยาจะฉลาดกว่าผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงลูกสาวคนโตของตระกูล เรื่องบางเรื่องนางจึงยังมิเคยได้พบเจอ

    “ข้ายัง…มีตัวเลือกอื่นหรือเพคะ?” หลินเมิ้งหยาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ทว่าสายตากลับมุ่งมั่น

*************************

1 เฉินโช่วคือสัตว์ในตำนาน