เล่มที่ 2 บทที่ 40 พระชายาที่ยากจะรับมือ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?” หลงเทียนอวี้มองหญิงสาว นางมิได้โง่เขลา อันที่จริงต้องพูดว่านางฉลาดมากเสียด้วยซ้ำ

    เพียงแค่…หากนางต้องการเป็นลูกน้องของเขา นางยังต้องฝึกฝนอีกมาก

    “ในเมื่อไม่มีตัวเลือก ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันรอฟังคำสั่งของพระองค์ก็แล้วกันเพคะ” บนโลกใบนี้ หากต้องการบางสิ่งบางอย่าง ก็ต้องยอมเสียบางสิ่งบางอย่าง

    คนสนิทของนางมีมากมายเหลือเกิน

    ไม่ว่าจะเป็นป๋ายจื่อหรือหลินจงอวี้ ทุกคนล้วนต้องการการปกป้องจากนาง อีกทั้งชายตรงหน้ายังเปรียบเสมือนโอกาสเดียวที่นางจะไขว่คว้าเอาไว้ได้

    “เจ้าพักรักษาตัวให้ดี จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสอบปากคำนักโทษได้เก่งกาจยิ่งนัก ข้าจับตัวผู้ว่าการเอาไว้ได้แล้ว หวังว่าเจ้าจะสามารถขุดข้อมูลที่มีประโยชน์ออกมาได้”

    หลงเทียนอวี้หมุนตัว แล้วสาวเท้ายาวๆ ออกจากห้องของหลินเมิ้งหยา

    ผู้ว่าการ? ดูท่าแล้วนางจะต้องไปลองคุยดูสักตั้ง!

    เพราะเหตุเพลิงไหม้ ทำให้จวนอวี้สูญเสียองครักษ์ไปมากมาย ทว่าเรื่องราวในคราวนี้ถูกปกปิดเอาไว้อย่างดี มิมีใครรู้ข่าวที่ว่าพระชายาอวี้เกือบถูกไฟคลอกตายเลยแม้แต่น้อย

    ภายใต้การดูแลของป๋ายจื่อและหลินจงอวี้ อีกทั้งอาหารและยาชั้นเลิศ หลินเมิ้งหยาจึงปราศจากรอยแผลเป็น

    “คุณหนู ท่านอ๋องดีกับท่านเหลือเกิน!” ป๋ายจื่อฉีกยิ้มกว้างขณะกุมขวดหยกเล็กๆ เข้ามา จากนั้นนางยกยาให้กับหลินเมิ้งหยาด้วยความระมัดระวัง

    “แค่เพียงขวดฝูหรงไม่กี่ขวดก็สามารถซื้อเจ้าได้แล้วหรือ เจ้านี่ช่างซื้อง่ายเสียจริง” หลินเมิ้งหยานอนนิ่งบนเตียง โดยไม่หันไปมองยาชั้นเลิศที่เหมือนจะได้มาฟรีๆ

    สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่นางต้องแลกมาด้วยชีวิต

    สงครามระหว่างองค์ชาย หากไม่ทันระวังก็อาจจะตกหลุมพรางโดยไม่อาจลุกขึ้นมาใหม่ได้ หรือว่านางจะไร้ซึ่งหนทางแล้วจริงๆ

    “ข้าน้อยมิได้หมายถึงเรื่องนี้เจ้าค่ะ คุณหนูยังจำเหตุการณ์ไฟไหม้ในวันนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านอ๋องเป็นผู้อุ้มท่านออกมาจากกองเพลิง” ดวงตาเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะเคารพเลื่อมใสหลงเทียนอวี้ประหนึ่งวีรบุรุษเข้าเสียแล้ว

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำ ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ไม่พูดไม่ได้เลยว่าวิธีการซื้อใจคนของหลงเทียนอวี้ทำให้นางรู้สึกละอาย

    “พระชายา ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้เชิญพระชายาไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก เสียของพ่อบ้านเติ้งดังขึ้น

    “ได้ บอกท่านอ๋องรอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

    ป๋ายจื่อพยุงร่างของหลินเมิ้งหยา จากนั้นจัดแต่งเส้นผมที่ยาวจนถึงเอว เหตุเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ ดังนั้นมันจึงน้อยลงไปเล็กน้อย แต่เมื่อพาดเส้นผมบนไหล่ นางกลับดูสวยมากยิ่งขึ้น

    ทว่าสีหน้ายังคงขาวซีด หากได้มองเห็นไกลๆ พานจะรู้สึกว่านางเป็นคนขี้โรค

    “พ่อบ้านเติ้ง ข้าเห็นท่านปลอดภัยเช่นนี้ก็รู้สึกวางใจ” ด้านนอกประตู พ่อบ้านเติ้งยังคงไว้ซึ่งสีหน้าเคร่งขรึม แต่เมื่อเห็นหน้าหลินเมิ้งหยา รอยยิ้มจึงผุดออกมา

    “ถวายคำนับพระชายา ข้าน้อยเอาชีวิตรอดมาได้แล้ว พระชายาได้โปรดวางพระทัย ส่วนพี่น้องทั้งสาม ท่านอ๋องได้ส่งคนนำเงินปลอบขวัญไปมอบให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างล้วนจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

    หลินเมิ้งหยายิ้ม ทว่าหัวใจกำลังพุ่งความสนใจไปที่บางสิ่งบางอย่าง

    นางเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นและกตัญญูรู้คุณในเวลาเดียวกัน ดังนั้นนางจึงไม่มีทางลืมบุญคุณขององครักษ์ทั้งสาม

    ทั้งสองเดินตรงไปข้างหน้า ทว่าพวกเขามิได้ไปยังห้องอ่านหนังสือของท่านอ๋อง อีกทั้งยังมิใช่ห้องโถง

    แต่กลับเดินลัดเลาะมายังสวนหย่อมขนาดเล็กด้านหลังภูเขาปลอมที่ถูกสร้างขึ้น

    คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน หรือว่านี่คือ…

    ผลปรากฏว่าพ่อบ้านเติ้งยื่นมือออกไป ก่อนจะเข้าไปขยับรูเล็กๆ ในภูเขาปลอมลูกนั้น ไม่นานเสียงระคายหูก็ดังขึ้น

    “พระชายาได้โปรดเดินตามหลังกระหม่อม ด้านในมีห้องทำงานอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

    เพราะเหตุนี้จึงระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ที่แท้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นคุกลับภายในจวน

    คุกลับมีโค้งมากถึงสิบแปดโค้ง เส้นทางคดเคี้ยวและกว้างพอสำหรับสองคนเดินเท่านั้น

    บริเวณรอบๆ ประดับไว้ซึ่งหินพระจันทร์เพื่อทำเป็นไฟส่องทาง แสงริบหรี่ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว จู่ๆ จมูกก็ได้กลิ่นน้ำ ดังนั้นจึงรู้สึกได้ว่าคุกลับแห่งนี้ถูกสร้างไว้ใต้น้ำของสวนหย่อม

    เป็นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน! ดูเหมือนว่านางจะประเมินจวนของท่านอ๋องอวี้ต่ำจนเกินไป จวนแห่งนี้ยังมีความลับอะไรอยู่กันนะ?

    “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” จุดสิ้นสุดของทางเดินคือประตูหินหนาทึบ พ่อบ้านเติ้งยื่นมือเข้าไปสัมผัส สุดท้ายประตูหินบานนั้นจึงค่อยๆ เปิดออก

    เดินผ่านประตูหินเข้าไป กลิ่นอับชื้นประเดประดังเข้ามากระทบหน้า

    ทว่าอากาศกลับมากเพียงพอ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องพยายามสูดลมหายใจเพื่อไขว่คว้าหาอากาศเข้าปอด

    เมื่อผ่านเข้ามา ทั้งหมดล้วนเป็นประตูหินที่ถูกปิดสนิท มีเพียงด้านบนของประตูหินเท่านั้นที่มีหน้าต่างเหล็กบานเล็กประดับอยู่

    “ที่นี่ล้วนเป็นที่คุมขังเหล่าคนชั่วที่คิดร้ายกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงเหล่านักฆ่าที่เข้ามาลอบสังหารท่านอ๋องในวันนั้นด้วย” พ่อบ้านเติ้งที่ได้เห็นท่าทางสงสัยใคร่รู้ของพระชายาจึงอธิบาย

    “โอ้ ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” หลินเมิ้งหยาพยักหน้า คุกลับแห่งนี้ดูปลอดภัย อีกทั้งยังยากต่อการพบเห็น

    การที่ปล่อยให้นางลงมาที่นี่ได้ นั่นแสดงว่าเขาเห็นนางเป็นคนของตัวเองแล้ว ขณะเดียวกันยังหมายถึง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตายอย่างทรมาน

    นี่ไม่ต่างอะไรจากการฉุดนางลงน้ำเลยแม้แต่น้อย!

    ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงประตูบานหนึ่ง ผลักประตูเข้าไป ร่างสูงใหญ่ของหลงเทียนอวี้ที่กำลังยืนอยู่ในมุมมืดพลันปรากฏให้เห็น

    “ท่านอ๋อง พระชายามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเติ้งถวายคำนับ จากนั้นยืนตรงด้านหน้าประตูด้วยท่าทางสงบนิ่ง หลินเมิ้งหยาสังเกตเห็นสายตาที่กวาดมองมาของหลงเทียนอวี้ รอยยิ้มจึงผุดขึ้นเล็กน้อย

    “ที่ท่านอ๋องเรียกหม่อมฉันมาก็เพื่อขุดหาข้อมูลจากปากของผู้ว่าการหรือเพคะ?”

    ภายในห้อง ผู้ว่าการซึ่งสวมใส่ชุดจีนถูกมัดอยู่บนเสาเข็ม

    ปากถูกยัดผ้าเอาไว้ ดูเหมือนว่าชีวิตตลอดหลายวันที่ผ่านมาจะยังอยู่ดีกินดี

    ทว่าตอนนี้ดวงตากลมโตกลับเบิกกว้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขากำลังหวาดกลัวนาง ดังนั้นจึงพยายามดิ้นหนี

    “แล้วแต่เจ้า เปิ่นหวังเพียงอยากได้ยินข้อมูลที่มีประโยชน์” พ่อบ้านเติ้งเคยพูดว่าวิธีการทรมานของหลินเมิ้งหยามีประสิทธิภาพยิ่งนัก

    ทั้งทรมาน ทั้งมีกลอุบายที่แนบเนียน ประจวบเหมาะกับผู้ว่าการที่ปิดปากสนิทไม่ยอมเผยข้อมูลใดๆ อยากจะเห็นนักว่านางจะมีวิธีเช่นไร

    “เพคะ”

    หลินเมิ้งหยาหยุดยืนด้านหน้าผู้ว่าการ หัวใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดหาวิธี

    นางยิ้มกว้างพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของผู้ว่าการ จากนั้นกระซิบ

    เพียงสองประโยคเท่านั้น ทว่าสีหน้าของผู้ว่าการกลับเปลี่ยนไป ดวงตาทั้งสองข้างตื่นกลัวราวกับเห็นผีขณะจับจ้องมองทางหลินเมิ้งหยา

    “เข้ามา เอาแส้ชุบน้ำเกลือ เรามาทำให้ผิวหนังของท่านผู้ว่าการฉีกขาดกันก่อน”

    เสียงหวานนุ่มนวล แต่กลับโหดร้ายอำมหิตดุจดั่งปีศาจ

    แส้ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในสายตา บนตัวแส้มีหนามอยู่ถ้วนทั่ว หากถูกฟาดลงไปแล้วละก็ ผิวหนังและเลือดคงมิวายติดตามมา

    ยิ่งจุ่มด้วยน้ำเกลือ ความเจ็บแสบยิ่งทวีคูณมากขึ้น

    “พระชายา จะให้ตีกี่ทีพ่ะย่ะค่ะ?” ผู้ลงทัณฑ์กระซิบถาม

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับชำเลืองมองทางผู้ว่าการด้วยสายตามิยินดียินร้าย ดูเหมือนจะเตรียมใจต่อสู้เอาไว้แล้วสินะ?

    ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

    “หากข้าไม่สั่งให้หยุด พวกเจ้าก็อย่าหยุด พ่อบ้านเติ้ง ไปเตรียมซุปโสมให้ข้า ใส่ยาจิ่นชวงเข้าไปด้วย อ้อจริงสิ ไปเตรียมไม้ก๊อกมาให้ข้าสิบกว่าอัน ขนาดใหญ่พอที่จะใส่ในปากเขาได้”

    ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด

    นี่ไม่เหมือนกับการทรมานเพื่อเค้นเอาข้อมูล แต่กลับเป็นการทรมานเพื่อความสนุกเสียมากกว่า

    มองดูสายตาที่กำลังต่อต้านของผู้ว่าการ ทุกคนล้วนคิดว่าเหตุการณ์ต่อไปจะต้องตื่นเต้นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน

    การถูกทรมานเพียงลำพังไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือความเจ็บปวดนั้นจะไม่มีที่สิ้นสุด

    การไม่รู้ว่าตนเองจะต้องเจอเข้ากับการทรมานแบบไหน คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดและทำให้คนผู้นั้นสิ้นสติเร็วที่สุด

    หากเป็นคนจิตใจอ่อนแอ สุดท้ายหากไม่โง่ก็กลายเป็นบ้า

    “หากเจ้ายอมคายความลับออกมา ข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างสบายหนึ่งวัน จากนั้นค่อยตีเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะทรมานเจ้าทั้งวันทั้งคืน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อย่าได้เป็นกังวลไป ข้าไม่เหมือนพวกเขา วิธีทรมานที่ข้าใช้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเคยพบเจอมาก่อน”

    ดวงตาของหลินเมิ้งหยาเปล่งประกาย นางจ้องมองนัยน์ตาของผู้ว่าการที่เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

    ตอนที่นางยังเป็นนักศึกษา นางเคยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการทรมานมาก่อน

    การบาดเจ็บทางกายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทรมานเท่านั้น แต่การถูกทำลายสติสัมปชัญญะต่างหากที่เป็นวัตถุประสงค์ของการทรมานที่แท้จริง

    “อึก…ฮือ…ฮือ…ฮือ…” ผู้ว่าการไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพระชายาอวี้จะชื่นชอบการทรมานผู้อื่นเช่นนี้

    “เอาล่ะ เริ่มทรมานได้” ไม่ต้องให้พูดซ้ำ มือของผู้ลงทัณฑ์ยกแส้ขึ้น “เพียะ” เสียงดังจากร่างของผู้ว่าการ

    ขณะเดียวกัน เสียงร้องประหนึ่งหมูถูกเชือดดังระงมไปทั่วทั้งห้อง

    หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนนำเก้าอี้ตัวเล็กมาให้ จากนั้นหยิบเมล็ดทานตะวันขึ้นแทะด้วยท่าทางสบายๆ

    “คนนั้น…ทางด้านซ้าย…ไปเปลี่ยนแส้เส้นใหม่ ทางขวา…จุ่มแส้ลงในน้ำเกลืออีก” แทะเปลือกเมล็ดทานตะวันพลางออกคำสั่งกับผู้ลงทัณฑ์

    นางเพิกเฉยต่อเนื้อที่ฉีกขาดและเลือดที่ไหลอาบร่างของผู้ว่าการ ราวกับว่ากำลังมองดูมายากล

    “ท่านอ๋อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะ…” พ่อบ้านเติ้งมองดูผู้ว่าการที่กำลังอ่อนแรงลงด้วยท่าทางกังวล เขากลัวว่าหากทำเช่นนี้ต่อไป ผู้ว่าการจะต้องตายอย่างแน่นอน

    “ไม่หรอก” หลงเทียนอวี้ยืนมองอยู่ภายใต้ความมืด เขารู้ดีว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องใช้วิธีนี้ ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นเพื่อทำให้ผู้ว่าการคิดว่านางมิได้ใส่ใจต่อความลับใดๆ ทั้งสิ้น

    ทางเดียวที่จะหยุดความเจ็บปวดทรมานได้คือการคายความลับออกมา

    เชื่อว่าอีกไม่นาน ผู้ชายคนนั้นจะต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน

    “เอาของที่อยู่ในปากของเขาออก ถามเขาดูว่ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่?” หลินเมิ้งหยาสั่งผู้ลงทัณฑ์ให้นำเศษผ้าออก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร หลินเมิ้งหยารีบร้องขัดขึ้น

    “ไม่มีอะไรจะพูด ยัดเอาไว้เหมือนเดิมแล้วตีอีกครั้ง” ผู้ว่าการเหลือกตาโต คำพูดจุกอยู่ที่ท้อง นี่มันคืออะไรกันแน่? มิใช่ว่าจะต้องให้เขาแสดงความหยิ่งทะนงออกมาก่อน จากนั้นหลินเมิ้งหยาจึงพ่ายแพ้ไปอย่างนั้นหรือ?

    ขณะนี้ สติสัมปชัญญะของผู้ว่าการระเบิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ทว่าหลินเมิ้งหยามิได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอย่างสีหน้าที่แสดงออกมา

    พ่อบ้านเติ้งบอกว่าคนคนนี้น่าจะเป็นคนของกลุ่มลับอะไรบางอย่าง ดังนั้นฝีมือจึงไม่เลว

    ทว่าหลบซ่อนตัวมานานหลายปีจนได้เป็นผู้ว่าการ นั่นแสดงให้เห็นว่าการทำงานในที่ว่าการของเขานั้นไม่เลวเลย

    ตะเกียกตะกายทำงานอยู่ในที่ว่าการมานานหลายปี จนสุดท้ายก็ได้ต่อแถวขึ้นรับตำแหน่ง เมื่อเทียบกับพวกนักต้มตุ๋นที่มักจะโป้ปดมดเท็จจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว ปากของเขาผู้นี้มีสิทธิ์ที่จะคายข้อมูลสำคัญออกมามากกว่าคนเหล่านั้น

    ขอเพียงมีโอกาสสักครั้ง เขาจะต้องบอกเรื่องที่ตนเองรู้ออกมาจนหมด!