บทที่ 17

ฟีเรนเทียหมุนร่างไปด้านข้างเล็กน้อย ให้อีกฝ่ายสามารถเห็นใบหน้าของเธอที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสารได้อย่างชัดเจน

“ฟีเรนเทีย!”

“ทะ…ท่านปู่…”

เธอสามารถรู้ได้ว่า มาตรวัดความโกรธเคืองของท่านปู่พุ่งขึ้นอีกระดับเมื่อเห็นภาพเธอร้องไห้โฮ

“ทะ…ท่านแม่”

เสียงพึมพำของเมโลนทำให้เธอมองเห็นผ่านนิ้วมือที่กำลังปาดน้ำตาว่า ข้างหลังท่านปู่มีชานาเนสที่กำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าโมโหเช่นเดียวกัน

นางแตกต่างจากท่านปู่ที่หยุดยืนตรงหน้าอัศวินกับเจ้าชาย ชานาเนสยังคงเดินต่อไป จากนั้นถึงหยุดอยู่หน้าองครักษ์ของเจ้าชาย เอ่ยพูดเสียงเย็นชา

“หลีกไป”

พูดเพียงเท่านั้นอัศวินส่วนพระองค์ก็ถอยหลังห่างออกไปคนละก้าว หลบทางให้ชานาเนสเดินผ่านไปได้แต่โดยดี

“เป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนมั้ย”

ถึงชานาเนสจะพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นกำลังสั่นเทา เพราะคงจะรู้อยู่แล้วว่าสองแฝดอยู่กับเธอ ถึงได้เป็นห่วงมากขนาดนั้น

ฟีเรนเทียได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ

“เทีย”

ชานาเนสเอ่ยเรียกเธอ นางช่วยเช็ดแก้มที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาให้พลางเอ่ยพูด

“ตกใจมากมั้ย”

“มะ…ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

เธอพูดความจริงออกไป แต่ดูเหมือนชานาเนสจะคิดว่าเธอแค่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งไปอย่างนั้น

นางลูบศีรษะของเธอสองสามครั้ง แล้วจ้องเขม็งไปยังอาสทาน่า

“ทราบอยู่แล้วว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเสด็จมายังบ้านข้า แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแขกที่ไร้มารยาทขนาดนี้”

ท่านปู่เหลือบมองเธอที่สะอึกสะอื้นสูดน้ำมูก ก่อนจะเอ่ยพูด

“เจ้าชายไม่ทราบเรื่องสัญญาระหว่างตระกูลลอมบาร์เดียกับราชวงศ์หรืออย่างไร”

“ทราบครับ”

เจ้าชายอาสทาน่าถูกพลังของท่านปู่กดข่มอยู่เด็กชายจึงไม่ได้เชิดจมูกทำตัวเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อครู่

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าจะยังคงประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดี

“เสด็จพ่อเองก็ทราบเรื่องกฎบ้าๆ พวกนั้นด้วยหรือเปล่าครับ ในอาณาจักรแห่งนี้มีแผ่นดินที่อัศวินของราชวงศ์ไม่อาจเข้าไปได้เนี่ยนะ ถ้าหากพระองค์ทราบย่อมไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ครับ”

วินาทีที่อาสทาน่าพูดเช่นนั้น เธอสังเกตเห็นเส้นเลือดปูดโปนด้วยความโกรธเคืองพาดผ่านขึ้นมาบนใบหน้าของท่านปู่

คราวนี้นายตายแน่ ไอ้เด็กหยาบคายไร้มารยาท

“ไม่ใช่บิดาของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างโยบาเนส แต่เป็นสัญญาข้อผูกมัดระหว่างปฐมกษัตริย์โรมาทิลลี ดิวเรลลี่ กับเวอร์น็อกซ์ ลอมบาร์เดียผู้เป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียในสมัยนั้น”

“พระ…พระนามของเสด็จพ่อ…”

เจ้าชายอาสทาน่าดูเหมือนจะตกใจที่ท่านปู่เอ่ยเรียกชื่อของจักรพรรดิตรงๆ มากกว่าสัญญาที่มีมาเนิ่นนานของตระกูลลอมบาร์เดียกับตระกูลดิวเรลลี่เสียอีก

ถูกต้องแล้วที่ผู้คนไม่อาจเอ่ยเรียกพระนามของจักรพรรดิอย่างไม่เป็นทางการได้ แต่สำหรับท่านปู่แล้วมันเป็นข้อยกเว้น

เพราะท่านคือเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียยังไงล่ะ

ความหมายของสัญญาที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลานานมันชัดเจนอยู่แล้ว มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องมันคือความสัมพันธ์ของข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่โจมตีกันเอง

เป็นความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรที่จะช่วยรักษาให้ราชวงศ์สืบทอดต่อไป ซึ่งตระกูลลอมบาร์เดียกับราชวงศ์ดิวเรลลี่ก็มีความสัมพันธ์เช่นนั้น

ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของอาณาจักร มีจักรพรรดิหลายพระองค์ที่พยายามดิ้นให้หลุดจากการควบคุมของลอมบาร์เดีย แต่ไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ไหนทำได้สำเร็จแม้แต่พระองค์เดียว

เรื่องนั้นแม้แต่จักรพรรดิโยบาเนสผู้เป็นบิดาของอาสทาน่าเองก็เช่นเดียวกัน

ท่านปู่ปล่อยเจ้าชายอาสทาน่าที่พูดอะไรไม่ออกเอาไว้ เขาคำรามใส่องครักษ์กับแม่นมที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กนั่น

“เจ้าชายที่ยังเด็กอาจจะยังไม่อาจแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ขนาดพวกเจ้าเองก็ยังเห็นดีเห็นงามไปด้วย มันใช่หรือไง!”

“ขะ…ขออภัยครับ”

เหล่าอัศวินกับแม่นมโค้งศีรษะลง

พวกเขาอาจจะแค่ทำตามคำสั่งของเจ้าชายหัวร้อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า ถ้าหากยุ่งกับลอมบาร์เดียแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

“เรื่องครั้งนี้ข้าจะถือว่าเจ้าชายยังพระเยาว์นัก จึงได้ก่อเรื่องผิดพลาด ข้าจะยอมปล่อยผ่านให้ก็ได้”

หมายความว่าจะไม่ถวายฎีกาอย่างเป็นทางการแจ้งแก่องค์จักรพรรดิ เพราะถือว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเด็กๆ แต่ถ้าหากท่านปู่ถวายฎีกาประท้วงเรื่องมีการละเมิดสัญญาแก่องค์จักรพรรดิจริงๆ แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังทำได้เพียงแค่เอ่ยปากขอโทษเท่านั้น

ท่านปู่ของพวกเรา เท่ที่สุด!

ภาพของท่านปู่ที่ช่างสมกับเป็นลอมบาร์เดียมากเหลือเกิน ทำให้เธอตัวสั่นไปทั้งร่างด้วยความประทับใจ

แต่แล้วก็มีมือหนึ่งลูบลงมาบนไหล่ของเธอ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”

ชานาเนสคงจะคิดว่าเธอยังกลัวอยู่

แต่เจ้าชายอาสทาน่ายังคงดื้อดึงไม่หยุดเด็กนั่นถลึงตาจ้องเขม็ง ทั้งยังชี้นิ้วมาที่เธอ

“ตะ…แต่ว่า เรื่องครั้งนี้เป็นเพราะยายเด็กนั่นมันไม่ฟังคำสั่งของข้านะครับ! ขัดคำสั่งไม่ยอมไปเก็บหมวกมาตามที่ข้าสั่ง แถมยังโยนมันไปไกลกว่าเดิมด้วย!”

“ระวังคำพูดด้วย เจ้าชาย”

ท่านปู่กล่าวเตือน นัยน์ตากระตุกมีประกายไฟพาดผ่านอีกครั้ง

“ฟังแล้วเหมือนจะบอกว่า ต้องให้หลานสาวของข้าเก็บหมวกให้ราวกับเป็นคนรับใช้เลยนะ”

“เรื่องนั้นมันแน่นอน!”

แม่นมรีบจับไหล่ของเจ้าชายเอาไว้อย่างร้อนรนแทนความหมายว่าให้พอได้แล้ว

ทว่าเจ้าชายอาสทาน่าที่หอบแฮกด้วยความโกรธก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ สุดท้ายจึงฟาดมือตบลงบนแก้มของแม่นม จากนั้นก็หมุนตัวหันหลังกลับอย่างรุนแรงจนชายเสื้อที่สวมอยู่พลิ้วสะบัด ก่อนจะกล่าวเสียงดัง

“ไปกันเถอะ! ข้าไม่อยากอยู่ในที่บ้าๆ นี่ต่อ!”

เจ้านั่น ดื้อรั้นจนถึงที่สุดจริงๆ

เจ้าชายอาสทาน่ากระทืบเท้าตึงตังเดินจากไป ในที่สุดความสงบสุขก็กลับคืนมา

“คุณหนู ขออภัยครับ”

“หากพวกข้าลงมือใช้กำลัง ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะใช้วิธีการใด ก็เลย…”

เหล่าทหารยามที่เดินตามหลังพวกองครักษ์กล่าวขอโทษเธออยู่หลายครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไปขวางตอนนั้น บางทีอาจจะไปทำให้เจ้าเด็กนั่น ไม่สิ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งนั่นชักดาบออกมาเปล่าๆ ค่ะ”

ต่อให้ลงมือทำอะไรก็คงเกิดเรื่องขึ้นอยู่ดีนั่นแหละ

ฟีเรนเทียกำลังปลอบพวกทหารยามอยู่แท้ๆ แต่บันไดที่เจ้าชายเพิ่งเดินลงไปเมื่อครู่ กลับมีคนสองคนวิ่งหอบแฮกสวนกลับขึ้นมา

เป็นสองพ่อลูกเบเจอร์กับเบเลซักที่ยืนรอเจ้าชายอยู่หน้าประตูอาคารหลักนั่นเอง

“ท่านพ่อ! นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันครับ! ทำไมเจ้าชายถึงได้โมโหจากไปเช่นนั้น…”

“ฟีเรนเทีย”

ท่านปู่เมินเบเจอร์ แล้วเอ่ยเรียกเธอ

โดนดุแน่เลย

เธอตอบด้วยความอ่อนน้อม พยายามทำให้ดูน่าสงสารมากที่สุด

“ค่ะ ท่านปู่”

“ทำได้ดีมาก”

“คะ?”

“ลอมบาร์เดียน่ะ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใคร ก็จะต้องทำตัวให้สมกับเป็นลอมบาร์เดีย”

ท่านปู่เหลือทิ้งไว้เพียงคำพูดนั้น แล้วเดินกลับไปยังห้องทำงาน

ไม่รู้ว่าหมายถึง ‘ทำได้ดีมาก’ จริงๆ หรือเปล่า แต่มันก็ทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นมาทันควัน และยิ่งชอบท่านปู่ ยิ่งชอบลอมบาร์เดียแห่งนี้มากขึ้นไปอีก

ชานาเนสเอ่ยพูดกับเธอที่ยืนนิ่งเหม่อมองภาพด้านหลังของท่านปู่

“คงจะตกใจมากทีเดียว กลับไปที่พักของเจ้าเถอะ”

“ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย”

เธอไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเด็กจะดูไม่เป็นอย่างนั้น

พอตั้งใจจะเดิน ขากลับหมดเรี่ยวแรงเพราะความเครียดที่คลายตัวลง จนเกือบจะฟุบลงไปนั่งกับพื้น ชานาเนสมองเธอที่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา แล้วเรียกทหารยามที่ยืนอยู่ด้านข้างให้เดินเข้ามา

“เจ้าช่วยอุ้มฟีเรนเทียไปจนถึงที่พักหน่อยได้หรือเปล่า”

“คะ…ครับ! ได้แน่นอนครับ!”

สุดท้ายเธอก็ถูกคุณลุงทหารยามอุ้มขึ้นพากลับไปห้องของเธอและระหว่างทางเธอก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้