วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายมากเหมือนเดิม
แคลอฮันอยากจะเห็นหน้าของลูกสาวให้เร็วขึ้นเสียหน่อย เขาก้าวข้ามขั้นบันไดทีละสองขั้น สามขั้น กลับมาถึงที่บ้าน
“เทีย พ่อมาแล้ว! หืม? ท่านพี่ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
การที่ชานาเนสมานั่งอยู่ในห้องรับรองของตนมันเป็นทัศนียภาพที่แปลกตามาก แคลอฮันถึงกับเดินถอยหลังออกไปข้างนอกห้องครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับเข้ามาใหม่ เพื่อตรวจสอบอีกรอบให้แน่ใจว่านี่เขากลับมาที่บ้านตัวเองแน่หรือเปล่า
“แคลอฮัน”
“ครับ ท่านพี่”
“มานั่งตรงนี้สักครู่หน่อยมั้ย”
อึก!
แคลอฮันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จนลูกกระเดือกปูดโปน
บรรยากาศมันมีอะไรแปลกๆ
แคลอฮันมองเข้าไปในห้องของเทียที่ประตูเปิดกว้างทิ้งไว้ หลังจากที่เช็กแล้วว่าลูกสาวนอนหลับไปแล้ว เขาก็นั่งลงบนโซฟาตามที่ชานาเนสสั่งอย่างว่าง่าย
“วันนี้เทียหลับเร็วจังเลยนะครับ ฮ่าฮ่า”
เขาแสร้งหยอกล้อเพื่อคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนแต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลกับชานาเนส นางมองแคลอฮันที่กำลังเช็ดฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อลงกับหน้าตัก ก่อนจะเอ่ยพูดกับเขาด้วยสีหน้านิ่งขรึมไร้ความรู้สึก
“ฟีเรนเทียวันนี้คงจะเหนื่อยหน่อย เมื่อตอนกลางวันเกิดเรื่องก็เลยตกใจมากน่ะ”
“ระ…เรื่องหรือครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเทียหรือครับ”
แคลอฮันสะดุ้งตกใจรีบเอ่ยถามเสียงดัง ชานาเนสจึงยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก
“คิดจะปลุกลูกสาวหรือยังไง”
แคลอฮันปิดปากเงียบทันที
“วันนี้เมื่อตอนกลางวัน…”
ชานาเนสอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันให้แคลอฮันฟังด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แตกต่างจากที่นางคิดว่าเขาจะต้องโมโหจนวิ่งเต้น แคลอฮันกลับทำเพียงแค่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เท่านั้น
“แคลอฮัน ฟีเรนเทียอาจจะเป็นเด็กฉลาดก็จริง แต่ก็ยังเป็นแค่เด็ก เป็นวัยที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่นะ”
ชานาเนสตำหนิเสียงเข้ม
“ปล่อยเด็กทิ้งเอาไว้คนเดียวแบบนี้ทุกวัน ในฐานะพ่อได้ตระหนักบ้างหรือเปล่า”
“…ข้าคิดน้อยเองครับ”
แคลอฮันไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คงไม่ได้คิดจะเลิกทำงานที่ทำอยู่ตอนนี้แล้วมาเกาะติดอยู่ข้างกายฟีเรนเทียหรอกใช่มั้ย”
“ระ…เรื่องนั้น ทราบได้ยังไง”
“เจ้าคนอ่อนปวกเปียก”
คล้ายกับจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ ชานาเนสส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“คิดว่าท่านพ่อจะสุขภาพแข็งแรงแบบนี้ไปตลอดหรือไร แคลอฮัน?”
คำถามของนางทำให้ไหล่ของแคลอฮันผวาเฮือก
เมื่อเกิดมาในตระกูลมากอำนาจอย่างลอมบาร์เดีย มันเป็นปัญหาที่เขาครุ่นคิดมาตลอดนับตั้งแต่วัยที่เริ่มคิดอะไรได้เอง
“ทิ้งความคิดโง่ๆ ว่าถ้าหากแค่โค้งกายให้ต่ำอยู่นิ่งๆ แล้วจะหลบเลี่ยงพายุได้ไปเสียเถอะ”
ความกระหายในอำนาจของเบเจอร์เป็นสิ่งที่พี่น้องทุกคนต่างก็รู้กันเป็นอย่างดีและถ้าหากตำแหน่งเจ้าตระกูลว่างลง ความกระหายนั่นจะต้องก่อให้เกิดปัญหาพายุลูกใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
“ตอนนี้เจ้าไม่มีอำนาจพอที่จะปกป้องฟีเรนเทียด้วยซ้ำแล้วถ้าหากจู่ๆ ท่านพ่อเป็นอะไรไปขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองพ่อลูกล่ะ”
ชานาเนสกำลังให้คำแนะนำกับน้องชายคนเล็กด้วยความจริงใจเป็นครั้งแรก
“โล่งอกที่เจ้าน่ะหัวดี ทั้งยังมีภาพลักษณ์ภายนอกที่ซื้อใจมิตรสหายได้ง่าย เรื่องติดต่อกับคนอื่นก็คงไม่ยากอะไร ดังนั้นจงใช้เรื่องนั้นให้เป็นประโยชน์ สร้างอำนาจของตัวเองขึ้นมาเสีย แคลอฮัน”
ชานาเนสลุกขึ้นจากที่นั่งหลังจากพูดจบ
แคลอฮันที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดรีบร้อนลุกขึ้นตาม ก่อนจะโค้งศีรษะลาผู้เป็นพี่สาว
ชานาเนสเดินด้วยท่วงท่าสง่าไม่ก่อให้เกิดแม้กระทั่งเสียงฝีเท้ายามก้าวเดินไปจนถึงประตู แต่แล้วจู่ๆ นางก็หันหลังกลับไปเอ่ยพูด
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ถ้าหากเจ้าไม่อยู่บ้าน ก็ส่งฟีเรนเทียมาหาข้า ข้าไม่ได้มีงานเยอะเหมือนเจ้าอยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับ ท่านพี่”
พอเห็นว่าแคลอฮันตกอกตกใจเป็นอย่างมาก ชานาเนสจึงคลี่ยิ้มบางหาดูได้ยาก แล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อเหลือตัวคนเดียว แคลอฮันจึงเปิดประตูห้องของเทียออกอย่างระมัดระวัง
เขาลูบหน้าผากกลมมนของบุตรสาวที่กำลังหลับสนิทส่งเสียงดังฟี้ ก่อนจะเอ่ยพูดสั้นๆ
“ขอโทษนะ เทีย”
เขาคิดว่าตัวเองมอบความรักให้ลูกสาวแทนส่วนของแม่ที่จากไปอย่างเต็มที่แล้วแท้ๆ แต่บทบาทของพ่อแม่มันไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น
แคลอฮันลูบหน้าผากของเทีย สาบานกับตัวเองอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาจะต้องปกป้องลูกสาวให้ได้
ทันทีที่อาสทาน่าเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังจากกลับมาถึงพระราชวัง เขาก็ได้รับการเรียกตัวจากจักรพรรดินี
จักรพรรดินียิ้มกว้างต้อนรับพระโอรส
“เดินทางราบรื่นดีมั้ย เจ้าชาย?”
หรือว่าจะยังไม่ทราบข่าว
อาสทาน่าลังเลไม่อาจตอบอะไรออกไปได้
จักรพรรดินีทอดพระเนตรพระโอรสที่เป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม
“ไม่ฟังคำพูดของข้าเลยสินะ ทั้งๆ ที่ข้าก็สั่งแล้วเชียวว่าไปตระกูลลอมบาร์เดียให้ระมัดระวังพฤติกรรมด้วย”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
อาสทาน่าผู้หยิ่งยโส เฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีเท่านั้นที่เขาจะกลายเป็นโอรสผู้ถ่อมตนและว่าง่าย
“เอาไว้เจ้าชายจะต้องถือของขวัญแทนคำขอโทษที่ข้าจัดการให้ไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียด้วยล่ะ”
“แต่ว่า…! อึก!”
จักรพรรดินีบีบกรามของเจ้าชายที่ตั้งใจจะเอ่ยประท้วงจนเจ็บปวดไปหมด
“เจ้าชาย”
“พ่ะย่ะค่ะ…สะ…เสด็จแม่”
“วันนี้อับอายมากใช่มั้ย”
“…พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดินีลูบใบหน้าของอาสทาน่าด้วยความอ่อนโยน ราวกับไม่เคยบีบกรามจนเขาเจ็บไปหมด
“ตอบมาสิ เจ้าชาย”
“…พ่ะย่ะค่ะ อับอายพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องใด”
“ข้า ข้าคือคนที่จะเป็นรัชทายาท เป็นผู้นำอาณาจักรแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่ แต่พวกนั้น…”
“แต่พวกนั้นทำตัวราวกับเป็นเจ้าของอาณาจักรนี้ใช่มั้ย”
จักรพรรดินีหัวเราะราวกับแค่ล้อเล่น
“ลอมบาร์เดียน่ะเป็นคนแบบนั้น เป็นพวกคนที่เชื่อมั่นในอำนาจของเงินทองเล็กๆ น้อยๆ จนสูญเสียความเคารพนับถือในตัวราชวงศ์”
นัยน์ตาของจักรพรรดินีส่องประกายเป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน
“เพราะฉะนั้นจงอย่าได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เสียล่ะ เจ้าชาย”
ว่าแล้วเชียว เสด็จแม่เข้าใจความรู้สึกของเขา!
“และเด็กที่ชื่อฟีเรนเทียนั่น สักวันจะต้องเสียใจที่เคยทำตัวไร้มารยาทกับเจ้าชายของเรา แม่คนนี้จะทำให้เป็นเช่นนั้นเอง”
อาสทาน่าพยักหน้าแข็งขัน
“ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ข้าก็จะทำให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นเจ้าชายเพียงแค่เชื่อฟังคำพูดของข้าก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
จักรพรรดินีกอดอาสทาน่าเอาไว้ในอ้อมกอดของพระนาง
มองจากภายนอกแล้ว ช่างเป็นภาพของบุตรชายกับมารดาที่งดงามมากเสียจริง