บทที่ 18

 

 

“คลาสเรียนวันนี้พอแค่นี้ครับ”

 

เครย์ลีบันเอ่ยพูดเป็นการจบการเรียนการสอนสำหรับวันนี้

 

เอาจริงๆ คนที่ตั้งใจเรียนก็มีแค่เธอคนเดียว แต่ดูเหมือนเครย์ลีบันจะไม่ได้สนใจอะไรมาก

 

“และวันนี้เองก็มีการบ้านเช่นเคยครับ”

 

“เฮ้อ…”

 

พวกเด็กๆ เมื่อได้ยินคำว่าการบ้านก็ถึงกับถอนหายใจราวกับฟ้าถล่มไม่ว่าจะที่ไหนเรื่องเกลียดการบ้านนี่ก็เป็นเหมือนกันหมด

 

“การบ้านที่จะสั่งวันนี้นั้นเทียบกับคราวก่อนแล้วเรียบง่ายกว่ามากครับ ถึงแม้แน่นอนว่ามันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปก็เถอะนะครับ”

 

แล้วนั่นคำพูดที่เหมือนชาร้อนคอยสาดเรื่องยุ่งยากมาอีกล่ะเนี่ย

 

เธอรู้สึกได้ว่าความอยากรู้อยากเห็นมันพลุ่งพล่านขึ้นมา จึงมองเครย์ลีบัน

 

“การบ้านก็คือ ให้ไปคิดมาว่า ‘ทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุดสำหรับพ่อค้าคืออะไร’ ครับ”

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นเงินสิครับ”

 

คิลลีวูตอบในทันที

 

“ถ้าอย่างนั้นนั่นคงจะเป็นคำตอบของท่านคิลลีวูสินะครับ สำหรับการบ้านเอาไว้มาสนทนากันในคลาสครั้งต่อไปนะครับ”

 

เครย์ลีบันเช็ดกระดาน ประกาศแจ้งว่าคลาสวันนี้จบลงแล้วจริงๆ

 

เธอจัดการเก็บที่นั่งที่เธอนั่งมาตลอดคลาสเรียน ก่อนจะลุกขึ้น ส่วนเมโลนบ่นหงุงหงิงเก็บเบาะรองนอนวางตั้งตามเธอ

 

“ไม่รู้ว่าอาจารย์ทราบเกี่ยวกับธุรกิจดีขนาดนั้นได้ยังไง”

 

ฟีเรนเทียเผลอหลุดยิ้มออกมา

 

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าคนที่ชื่อเครย์ลีบัน เพลเลส เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขนาดไหน ทั้งยังเป็นคนที่มีด้านมืดน่ากลัวอยู่ด้วย

 

เธอศอกเข้าที่สีข้างเมโลนพลางเอ่ยพูด

 

“แน่นอนสิ! อาจารย์เครย์ลีบันน่ะ เป็น…!”

 

ตั้งใจจะพูดต่อว่า ‘คนแบบไหน’ แต่เธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงตามมายังหลังศีรษะจึงรีบปิดปากทันควัน

 

เครย์ลีบันไม่มีทางพลาดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องเรียนอย่างแน่นอน เธอควรจะรู้จักเครย์ลีบันในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์เท่านั้น

 

“เป็นคนแบบไหนสงสัยจังเลยเนอะ? ฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

เกือบเกิดเรื่องใหญ่แล้วมั้ยล่ะ

 

พอเห็นว่าเธอรีบเปลี่ยนคำพูดและรีบจัดหมอนรองนอนที่วางอยู่เป็นระเบียบอยู่แล้วอีกครั้ง เมโลนก็เอียงคอมองด้วยความงุนงง

 

“เทีย จู่ๆ เจ้าก็เหงื่อออกเต็มเลยไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

 

“มะ…ไม่สบายอะไรล่ะ หมอนนี่สวยจังเลย…”

 

เธอเพิ่งจะเปลี่ยนคำพูดได้อย่างหวุดหวิด แล้วตอนนี้ก็ต้องมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วอีก

 

“ว่าแต่วันนี้เบเลซักไม่มาแฮะ?”

 

ขาดเสียงกรนของเด็กนั่นไป บรรยากาศการเรียนก็น่าพอใจขึ้นมาก ทำให้วันนี้เนื้อหาการเรียนดังทะลุเข้าหูเธอได้ดียิ่งขึ้น

 

“เบเลซักเห็นว่าตามท่านพ่อไปงานพบปะน่ะ”

 

เสียงเล็กแผ่วเบาช่วยตอบให้แทน

 

“สวัสดี ลาลาเน่”

 

“สวัสดี ฟีเรนเทีย”

 

ลาลาเน่ วันนี้ก็สวยเหมือนเคย นางสวมเดรสสีขาวประดับไปด้วยจีบระบาย

 

เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอนั้นถือว่าไม่คุ้นเคยกันเลย แต่เพราะได้มาร่วมเรียนในคลาสเดียวกันจึงกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ได้กล่าวทักทาย ได้สนทนาพูดคุยกันบ้าง แม้จะแค่สั้นๆ ก็ตาม

 

แต่ปกติแล้วส่วนใหญ่เธอจะเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนตลอด วันนี้เป็นครั้งแรกที่ลาลาเน่เป็นฝ่ายเข้าหาเธอก่อน

 

“คือว่า ฟีเรนเทีย”

 

“อื้อ ทำไมเหรอ”

 

“ฟีเรนเทีย…ชอบสีอะไรเหรอ”

 

คำถามอย่างกะทันหันทำให้เธอตกใจเล็กน้อย

 

ถามว่าสีที่ชอบคือสีอะไรเนี่ยนะ

 

เธอกะพริบตาปริบๆ สองครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“สีแดง”

 

“อา อย่างนั้นเหรอ เข้าใจแล้ว”

 

ดูเหมือนจะมีธุระแค่นั้นจริงๆ เมื่อได้คำตอบของเธอแล้ว ลาลาเน่ก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ลังเล

 

สองแฝดเดินเข้ามาหาเธอที่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกว่ามันน่าขบขันดี

 

“ทำไมล่ะ ลาลาเน่พูดอะไรเหรอ”

 

“จู่ๆ ก็มา…”

 

“จู่ๆ ก็มา?”

 

“ถามว่าข้าชอบสีอะไรน่ะ”

 

เธอนึกว่าสองแฝดจะมีปฏิกิริยาแบบ ‘เห อะไรกัน’ หรือไม่ก็ ‘คำถามอะไรไร้สาระจัง’ เสียอีก แต่สองคนนั้นกลับยิ้มกว้างเบิกตากลมโต

 

“เทียชอบสีแดงนี่เอง!”

 

“สีแดง สีแดง…”

 

ปฏิกิริยาของสองแฝดเองก็แปลกเหมือนกัน

 

เมโลนชอบใจราวกับได้รู้ข้อมูลดีๆ ส่วนคิลลีวูเอาแต่พึมพำว่า ‘สีแดง’ ราวกับคนที่กำลังท่องจำพยายามไม่ให้ลืม

 

ลาลาเน่เองก็แปลก สองแฝดก็แปลก

 

ไม่สิ แฝดคู่นั้นเดิมทีก็เป็นเด็กที่แปลกอยู่นิดหน่อยก็จริง แต่วันนี้ดูแปลกกว่าเดิม

 

“รีบกลับไปนอนกลางวันดีกว่า”

 

เธอถอนหายใจไปพลางเริ่มเก็บข้าวของในห้องเรียน