“แคลร์! แคลร์!” 

 

 

“แคลร์!” 

 

 

เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าขุนนางบนอัฒจันทร์ต่างก็ตื่นเต้นมาก กำหมัดแน่น และรีบวิ่งไปที่ขอบสนามพร้อมตะโกนเรียกชื่อของแคลร์ 

 

 

ในตอนนี้ แคลร์เป็นฮีโร่ในใจของพวกเขาแล้ว นางคือความภาคภูมิใจของพวกเขา เป็นดังไข่มุกที่เปล่งประกาย 

 

 

บรรยากาศในสนามประลองนั้นคึกคักมาก ความหึกเหิมที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ผู้คนตื่นเต้น 

 

 

จินเหยียนยืนอยู่ด้านหลังสุด มองหญิงสาวที่เปล่งประกายบนแท่นสูงอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาฉายแววแปลกประหลาดออกมา ตลอดช่วงเวลาฝึกนั้น เขาประทับใจหญิงสาวผู้นี้จริงๆ ความดื้อรั้นของนางมีมากล้นจนน่าตกใจ ในการฝึกต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า นางไม่เพียงแต่โหดเ**้ยมกับคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่นางโหดเ**้ยมกับตัวนางเองยิ่งกว่า พลังยุทธ์ของจินเหยียนโหดเ**้ยมและรุนแรงแตกต่างจากคนอื่นๆ ในช่วงเวลานั้นแคลร์มีรอยแผลจากพลังยุทธ์เช่นนี้ทุกวัน แต่นางไม่เคยพูดบ่นอะไร ไม่เคยพูดว่าจะยอมแพ้เลยสักครั้ง สิ่งที่นางพูดตลอดก็คือ เอาอีก! เอาอีก! เอาอีก! 

 

 

ตอรนี้ ราเซียฟื้นตื่นขึ้นหลังจากได้รับการรักษา แม้ว่านางจะยังอ่อนแอมาก แต่นางก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบนแท่นการประลองนั้น สีหน้าของนางดูซับซ้อน แววตาของนางก็ดูเคร่งขรึม ไม่มีใครรู้ว่าในตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

อาจารย์ของเฟิงอี้เซวียนรู้สึกแทบจะเป็นลม เขารู้ว่าศิษย์จอมสร้างปัญหาผู้นี้จะต้องสร้างปัญหาแน่ๆ แต่เขาไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่มมากปัญหาคนนี้ แม้ว่าเขามักสร้างปัญหา แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องน่าอับอายขนาดนี้ แต่วันนี้คงเป็นวันซวยของเขาจริงๆ สุ่ยเหวินโม่แทบจะผิวปากอย่างตื่นเต้น นี่มันเกินไปจริงๆ วันนี้เฟิงอี้เซวียนถูกโจมตีเหมือนหมาตกน้ำเลย ฮ่าๆ ตลกสุดๆ ไปเลย คนของโรงเรียนจากลากัคทั้งโกรธทั้งกังวล ชัยชนะที่พวกเขาได้มาก่อนหน้านี้กำลังจะปลิวหายไปกับตา นี่เป็นการพ่ายแพ้ที่น่าขายหน้า อาจารย์ของเฟิงอี้เซวียนกำลังดึงทึ้งผมของเขาอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

เสียงดังกึกก้องขึ้นทั่วสนามประลองแห่งนั้น เสียงของทุกคนตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวว่า แคลร์ แคลร์! 

 

 

นักรบเวทย์! 

 

 

ตอนนี้หญิงสาวที่อยู่บนแท่นสูงของการประลองคือนักรบเวทย์ หากเป็นนักเวทย์ทั่วไป มากที่สุดพวกเขาก็จะได้เป็นนักเวทย์ขั้นสูง ส่วนผู้ใช้พลังยุทธ์นั้น มากที่สุดพวกเขาก็จะได้เป็นนักรบขั้นสูง สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แน่นอนว่ามีบางคนที่ต้องการเรียนรู้ทั้งสองอย่าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำได้ทั้งสองอย่างแต่ก็ไม่ได้รับการขัดเกลาจนมีพลังเวทย์หรือพลังยุทธ์ในระดับสูงสุดได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับแคลร์นั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง! 

 

 

ไม่กี่เดือนก่อน นางยังเป็นคนงี่เง่าไร้การศึกษา ไม่รู้วิธีที่จะเข้าถึงพลังเวทย์หรือพลังยุทธ์เลย! แต่ในตอนนี้นางกลับกลายเป็นนักรบเวทย์ แม้ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่านางมีพลังเวทย์ถึงระดับใดแล้ว แต่ถ้าถึงขั้นที่ปรมาจารย์คลิฟยกย่องให้เป็นศิษย์ได้ก็ไม่น่าจะแย่ อีกทั้งในเวลาเพียงไม่กี่เดือนพลังยุทธ์ของนางก็ถึงระดับนักดาบขั้นสูงแล้ว! 

 

 

ปาฏิหาริย์ นี่คือปาฏิหาริย์อย่างแน่นอน! 

 

 

นางเป็นอัจฉริยะผู้อยู้เหนือเหล่าผู้อัจฉริยะคนอื่นๆ 

 

 

เฟิงอี้เซวียนที่อยู่บนแท่นสูงนั้นช่างน่าสังเวชจริงๆ ตอนนี้เขาไม่มีพลังงานที่จะหลบหลีกอีกต่อไปแล้ว แคลร์ช่างเป็นผู้หญิงที่ดุร้ายจริงๆ! นางดุมาก เป็นครั้งแรกเลยที่เฟิงอี้เซวียนเจอผู้หญิงดุเช่นนี้! 

 

 

“ได้ เจ้าผู้หญิงที่ดุร้ายและน่ารังเกียจ ข้ายอมแล้ว” ทันใดนั้นเฟิงอี้เซวียนก็ยอมจำนนอย่างหมดหนทาง 

 

 

แคลร์ฟาดฝ่ามือไม่ยั้งจนเฟิงอี้เซวียนล้มลงกับพื้น จากนั้นแคลร์ก็เตะและเหยียบลงบนหลังของเฟิงอี้เซวียนที่พลิกตัวคว่ำลงพอดี 

 

 

“ว้าว แคลร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องใจร้ายขนาดนี้ก็ได้มั้ง? เจ้ายังจะไปเหยียบหลังเขาอีกหรือ เจ้าอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียดมากขึ้นหรือไง? ” วัลโดตะโกนอยู่ในหัวของแคลร์ 

 

 

แคลร์อับอายสุดๆ นางทำแบบนี้ได้อย่างไร? นางไม่คาดคิดว่าชายผู้นี้จะยอมแพ้แบบนี้ แต่เพราะเขาพลิกตัวในจังหวะที่แคลร์เหยียบพอดี นางไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบหลังชายผู้นี้สักนิด 

 

 

เฟิงอี้เซวียนนอนอยู่บนพื้น เขาแลบลิ้นออกมาและกลอกตา โดยไม่ได้พูดหรือขยับตัวใดๆ 

 

 

แคลร์เหยียบอยู่บนหลังของเขา โดยลืมยกเท้าของนางออก 

 

 

สถานประลองเงียบไปชั่วขณะ เงียบจนสามารถได้ยินแม้แต่ใบไม้ปลิวลงที่พื้น 

 

 

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยังคงมีแต่ความเงียบงัน… 

 

 

“เอ่อ… คือ…” ผู้ตัดสินตัวสั่น ปีนขึ้นไปบนแท่นสูง เขามองเฟิงอี้ซวนที่อยู่ใต้เท้าของแคลร์ และมองแคลร์อย่างตะลึงงัน สุดท้ายเขาก็พูดอย่างอ่อนแรง “ตอนนี้…” 

 

 

“ข้าแพ้แล้ว” เสียงงึมงำของเฟิงอี้เซวียนดังมา 

 

 

“หือ? ” ผู้ตัดสินยังคงมึนงงอยู่ 

 

 

“ให้ตายสิ! ข้าบอกว่าข้าแพ้แล้ว เจ้าไม่เข้าใจหรือไง? ” ครั้งนี้เฟิงอี้เซวียนไม่พูดงึมงำ แต่กลับตะคอกแทน เขายังคงนอนอยู่ที่นั่นอย่างเชื่อฟังและปล่อยให้แคลร์เหยียบอยู่อย่างนั้น 

 

 

“ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าแคลร์ ฮิลล์เป็นฝ่ายชนะ” ผู้ตัดสินตกใจและรีบประกาศเสียงดัง 

 

 

แคลร์ยังคงอายอยู่ วัลโดกระตุกยิ้มที่มุมปาก “เฮ้ๆ ปีศาจน้อย เจ้าควรจะยกเท้ากลับมาไหมล่ะ? “ 

 

 

จู่ๆ แคลร์เหมือนตื่นขึ้นมาจากความฝัน นางรีบชักเท้ากลับและส่งสายตาขอโทษมองเฟิงอี้เซวียนที่ยังคงนอนอยู่ เรื่องครั้งนี้น่าอายจริงๆ แม้ว่านางอยากจะทำให้เขาอับอายด้วยการเอาชนะในการประลองครั้งนี้ แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะเอาชนะเขาโดยไม่ไว้หน้าขนาดนี้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียด แต่ยังเป็นการสร้างศัตรูที่ทรงพลังให้กับตัวนางเองอีกด้วย นางไม่ต้องการสร้างศัตรูแบบนี้ให้กับตัวเองก่อนที่นางจะมีพลังอย่างแท้จริง 

 

 

ช่วงเวลาต่อมา เสียงดังกึกก้องขึ้นในสถานที่ที่เงียบงัน! 

 

 

“แคลร์!” 

 

 

“แคลร์!” 

 

 

“แคลร์!” 

 

 

ทุกอย่างวุ่นวายขึ้นมา ใบหน้าของเหล่าขุนนางแดงระเรื่อ พวกเขาทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ 

 

 

ชนะแล้ว! แคลร์หญิงบ้าผู้ชายชนะแล้ว! คนที่ราเซียเด็กสาวอัจฉริยะเอาชนะไม่ได้ยังพ่ายแพ้ให้กับแคลร์! อีกทั้งแคลร์ยังชนะได้อย่างภาคภูมิใจ นางเหยียบคู่ต่อสู้จนอยู่หมัดได้! 

 

 

ท่าทางอันเย่อหยิ่ง ผมสีทองที่ปลิวไปตามสายลม และดวงตาสีเขียวเข้มของนางช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนใครๆ ก็ละสายตาไม่ได้ 

 

 

บนอัฒจันทร์พิเศษ ไม่มีใครสังเกตเห็นประกายผ่อนคลายในดวงตาของจักรพรรดิเลย ส่วนสีหน้าของท่านทูตนั้นดูแย่ไปเลย นี่มันมากเกินไป! หญิงผู้นั้นดูถูกพวกเขามาก! พระสันตปาปาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขายิ้มและกล่าวกับจักรพรรดิ “ฝ่าบาท ผลออกมาแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีด้วยที่ท่านมีคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เวลานี้ที่วิหารยังมีงานที่ข้าต้องจัดการอยู่ ข้าคงต้องขอตัวก่อน” 

 

 

“เช่นนั้น ข้าคงไม่รบกวนท่านแล้ว” จักรพรรดิยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม 

 

 

พระสันตปาปาเดินจากไปโดยไม่ได้มองไปที่ท่านทูตอีก 

 

 

สายตาของท่านทูตจับจ้องไปที่แคลร์ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวที่เกิดขึ้นในใจของเขา เขาจะต้องไม่ปล่อยให้หญิงผู้นี้เติบโตต่อไป! ไม่ได้เป็นอันขาด! 

 

 

บรรยากาศในสถานประลองแห่งนี้คลั่งจนแทบจะควบคุมไม่ได้ เหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นยืนและส่งเสียงเชียร์เป็นชื่อแคลร์โดยไม่คำนึงถึงมารยาท 

 

 

ขณะนี้ แคลร์มองเฟิงอี้เซวียนที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นด้วยความลำบากใจเล็กน้อย เขานอนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับสุนัขที่ตายแล้ว 

 

 

ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ชายผู้นี้นิ่งไม่ไหวติงราวกับเขาสติแตกกระเจิงไปแล้ว แคลร์รู้สึกปวดหัว การสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย แต่ว่านางไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้จริงๆ! นางสาบานได้เลยว่านางไม่ได้ตั้งใจ! 

 

 

“โอ้ ลำบากแล้วล่ะ เจ้าว่าชายที่หยิ่งผยองผู้นี้จะตอบโต้พวกเราอย่างไร? เราต้องระมัดระวังให้มากแล้วล่ะ” วัลโดพูดอย่างเป็นห่วงในหัวของแคลร์ คำว่าเราของวัลโดแสดงให้เห็นถึงพันธะสัมพันธ์ที่ผูกผันเขาและแคลร์ไว้ 

 

 

สุ่ยเหวินโม่แสยะปากแล้วมองเฟิงอี้เซวียนที่ยังคงนอนอยู่ตรงนั้นด้วยความกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนโจมตีเฟิงอี้เซวียนได้รุนแรงขนาดนี้ ตอนนี้ชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองคนนี้ถูกดูถูกเหยียดหยามต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาจะทนได้หรือ? นี่เป็นครั้งแรกที่สุ่ยเหวินโม่กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเฟิงอี้เซวียน 

 

 

ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้ว 

 

 

แม้ว่าจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่แคลร์ก็ชนะแล้ว! 

 

 

ผู้คนมองแคลร์เป็นตาเดียวอย่างตกตะลึง 

 

 

สุดท้ายแคลร์เหลือบมองเฟิงอี้เซวียนที่นิ่งไม่ไหวติงแล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้นนะ ข้าสาบานเลย! “ 

 

 

วัลโดกำลังจะร้องไห้ ปีศาจน้อย เจ้าคิดว่าเจ้าพูดดูจริงใจหรือ? นี่เจ้าพยายามจะเติมน้ำมันลงกองไฟหรือว่าจะคลี่คลายสถานการณ์กันแน่? วัลโดรู้สึกถึงความยุ่งยากในทันที เขารู้สึกเจ็บปวดและประหลาดใจกับชีวิตของเขาที่กำลังเข้าใกล้ความตายจนอยากจะเอาหัวไปกระแทกกำแพงจริงๆ เลย 

 

 

คราวนี้ หากเฟิงอี้เซวียนไม่กลับมาล้างแค้น วัลโดจะยอมเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของแคลร์เลย! 

 

 

เมื่อแคลร์ก้าวลงจากแท่นประลอง องค์หญิงแมริสก็เข้ามาทักทายนาง กลุ่มขุนนางที่ติดตามมาด้านหลังก็เข้ามารุมล้อมแคลร์ในทันที พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นและพากันส่งเสียงเจื้อยแจ้ว นักเรียนของไรซิ่งซันไม่ได้ก้าวออกมา พวกเขามองมาทางนางอย่างสับสน 

 

 

“แคลร์ เจ้าเก่งมากจริงๆ! เจ้าไปเรียนรู้พลังยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! “ 

 

 

“แคลร์ วันนี้เจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ! “ 

 

 

“แคลร์ เจ้า…” 

 

 

เสียงชื่นชมสรรเสริญแคลร์เต็มไปหมด แต่แคลร์ก็ยิ้มจางๆ และไม่พูดอะไร 

 

 

แคลร์มีชื่อเสียงในการต่อสู้แล้ว 

 

 

เมื่อแคลร์จากไปแล้ว เฟิงอี้เซวียนก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง สุ่ยเหวินโม่กลืนน้ำลายแล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง 

 

 

“อี้เซวียน? ” สุ่ยเหวินโม่ลองเรียกหยั่งเชิงดู 

 

 

คำตอบที่เขาได้รับคือความเงียบ 

 

 

“อี้เซวียน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่? อย่าทำให้ข้าตกใจนะ ถ้าเจ้าตาย แม่ของเจ้าจะต้องไม่ยกโทษให้ข้าแน่ๆ นางจะต้องถลกผิวหนังของข้าออกแล้วก็คงจะฝังข้าไปกับเจ้าแน่ๆ! หากเจ้าจะตาย เจ้าต้องตายตอนแม่ของเจ้ามาที่นี่แล้ว! ” สุ่ยเหวินโม่กำลังคร่ำครวญอย่างว้าวุ่น 

 

 

เฟิงอี้เซวียนยังคงไม่พูดอะไรสักคำ เขายังคงนอนเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าอะไรให้สุ่ยเหวินโม่เห็น 

 

 

“อี้เซวียน เจ้าตายไม่ได้จริงๆ นะ เจ้าหายใจไว้ก่อน ข้าจะพาเจ้ากลับเอง รอไปถึงบ้านก่อนแล้วเจ้าค่อยตาย” สุ่ยเหวินโม่ดึงเฟิงอี้เซวียนขึ้นมา จับอุ้มพาดบ่าของเขา แล้วเดินลงจากแท่นประลองไป 

 

 

“ข้าจะอ้วก……” เฟิงอี้เซวียนพูดออกมาสั้นๆ เขากำลังจะอาเจียนจริงๆ 

 

 

“เฮ้ย! อี้เซวียน เจ้าไม่เป็นไร ดีมากเลย เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” สุ่ยเหวินโม่ดีใจแล้ววางเฟิงอี้เซวียนลง แต่เขากลับอ่อนแรงร่วงลงกับพื้น สุ่ยเหวินโม่รีบดึงเขาขึ้นมา แต่ในใจของสุ่ยเหวินโม่ยินดีมากที่เฟิงอี้เซวียนยอมพูดแล้ว สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเฟิงอี้เซวียนสามารถทนต่อการดูถูกเหยียดหยามเมื่อกี้ได้ ดีมากเลย เคราะห์ดีที่เขาไม่ได้สติแตกไป จากนั้นสุ่ยเหวินโม่ก็พยุงเฟิงอี้เซวียนออกไป 

 

 

……………………………………………………………………………..