แต่…ไข้ทรพิษ! เป็นโรคติดต่อ! สามารถแพร่เชื้อให้กันได้!
เมื่อผู้อื่นป่วยเป็นไข้ทรพิษ ล้วนจะถูกส่งตัวไปรักษานอกเมือง แล้วตนจะให้เหยาเยี่ยนอวี่กลับมาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือจวนติ้งโหวไม่ใช่จวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง ผู้ที่มีอำนาจในจวนแห่งนี้คือท่านแม่และองค์หญิงใหญ่ หากพวกนางทราบเรื่องนี้เข้า เกรงว่าพวกนางคงไม่มีวันให้เยี่ยนอวี่เข้าจวนหรอกกระมัง
เหยาเฟิ่งเกอนั่งอยู่ในเรือนอย่างอยู่ไม่เป็นสุข นางถอนหายใจ ประเดี๋ยวก็รู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับเหยาเยี่ยนอวี่หากนางป่วยเป็นไข้ทรพิษขึ้นมาจริงๆ และไม่สามารถรอดชีวิตไปได้ กระนั้นตนควรจะทำอย่างไรดี ตนยังอยากจะให้เหยาเยี่ยนอวี่ปรับสมดุลภายในร่างกายให้กับตนก่อน จะได้ตั้งครรภ์ในเร็ววัน!
ประเดี๋ยวหนึ่งก็รู้สึกผิดต่อเหยาเยี่ยนอวี่ นางไม่ควรปล่อยให้เยี่ยนอวี่ไปพักอยู่ที่วัดฉือซิน ควรจะเก็บกวาดเรือนสักหลังให้นาง หากนางไม่ไปที่วัดฉือซิน ก็อาจจะไม่ป่วยเป็นโรคนี้ก็ได้
แต่สักพักก็กังวลว่าหากแท้จริงแล้วนางไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ ต่อไปหลังจากที่นางรักษาตัวจนหายดีแล้ว นางจะกล่าวโทษว่าตนนั้นไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพี่น้องหรือเปล่า
เหยาเฟิ่งเกออยู่อย่างกระวนกระวายใจเช่นนี้ถึงกลางดึก จนกระทั่งซูอวี้เสียงกลับมาจากด้านนอก เมื่อเขาเห็นเหยาเฟิ่งเกอเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จึงพลันเอ่ยถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“น้องสาว…” ความในใจมากมายของเหยาเฟิ่งเกอ ในที่สุดก็ถูกระบายออกมา นางจับมือของซูอวี้เสียงไว้ ดวงตาทั้งสองข้างแดงระเรื่อ “น้องรอง นาง…”
“น้องรอง? เป็นอะไรหรือ! ” ซูอวี้เสียงมองเหยาเฟิ่งเกอด้วยความตื่นตระหนก “นางไปที่วัดฉือซินไม่ใช่หรือ แล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางได้?”
น้ำตาของเหยาเฟิ่งเกอรินไหลลงมาไม่ขาดสาย “นาง…อาจจะเป็นไข้ทรพิษเจ้าค่ะ”
คล้ายว่านางไม่ได้เสียใจถึงขั้นนั้น แต่นางรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ นับตั้งแต่รอดพ้นจากความตายมานั้น ยามที่เอ่ยถึงโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ สีหน้าของนางก็จะเปลี่ยนไปในทันที
“อย่ากังวลไปเลย” ซูอวี้เสียงลูบหลังของเหยาเฟิ่งเกอเบาๆ จากนั้นปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “จะให้ข้าไปดูนางเสียหน่อยไหม”
“อย่าเลยเจ้าค่ะ!” ไข้ทรพิษสามารถติดต่อกันได้! เหยาเฟิ่งเกอปฏิเสธกลับโดยไม่คิด ความว่องไวในการปฏิเสธกลับทำให้ตัวนางเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
“เป็นอะไรไป” ซูอวี้เสียงนึกว่าภรรยาจะซาบซึ้งในสิ่งที่ตนพูดเสนอไปเสียอีก คาดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ข้าให้หลี่หมัวมัวและบุตรชายของนางไปตามหมอหลวงแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเฟิ่งเกอค่อยๆ สงบสติอารมณ์ ถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไปแล้ว “อีกทั้งเวลานี้ฟ้าก็มืดแล้ว ข้าไม่วางใจที่จะให้ท่านพี่ออกนอกเมืองเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เสียงก้มหน้ามองดูแววตาที่ดูหวาดกลัวของเหยาเฟิ่งเกอ เมื่อครุ่นคิดแล้ว เขาก็เข้าใจความรู้สึกของนางในทันที ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มบางๆ พูดขึ้น “เจ้าอย่ากังวลไปเลย ตอนเด็กเหิงเอ๋อร์ก็เคยเป็นไข้ทรพิษมาก่อน ประจวบเหมาะกับที่เวลานั้นท่านลุงรองต้องไปรับตำแหน่งที่ไห่หนิง องค์หญิงใหญ่จึงให้นางอยู่ที่นี่ เจ้าดูสิ นางเองก็ยังผ่านโรคร้ายมาได้เลย อีกทั้งไข้ทรพิษก็ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย น้องสาวเป็นคนดี ถึงอย่างไร สวรรค์ย่อมคุ้มครอง นางต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว”
เมื่อเหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้ นางก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดเสียงค่อย “ท่านพี่กล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ”
ในเวลานี้ ณ วัดฉือซิน ภายในเรือนหลังเล็กของเหยาเยี่ยนอวี่ หมอหลวงที่หลี่จงเชิญมาใช้ผ้าปิดหน้าเอาไว้ แล้วทำการตรวจชีพจรให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ พลางมองดูตุ่มแดงบนแขนของนาง หมอหลวงถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วเหยียดกายลุกขึ้น
หลี่หมัวมัวรีบเดินขึ้นหน้า พร้อมกล่าวถามเสียงค่อย “ท่านหมอหลวง คุณหนูรองของพวกเราเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
หมอหลวงลูบไล้หนวดเคราของตนเอง แล้วเอ่ยพูดด้วยความลังเล “คล้ายว่าจะไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษ”
“อมิตาพุทธ! ” หลี่หมัวมัวเปรยบทสวดขึ้นมา ขอเพียงไม่ใช่ไข้ทรพิษก็ดีแล้ว! เมื่อไม่ใช่ไข้ทรพิษก็หมายความว่ายังสามารถรักษาได้!
“แต่ข้ากลับวินิจฉัยไม่ได้ว่านางป่วยเป็นอะไรกันแน่”
ความดีใจภายในใจของหลี่หมัวมัวถูกคำพูดนี้ทำลายเป็นเถ้าถ่านในทันที “อะไรนะเจ้าคะ แม้แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
หมอหลวงลังเลเป็นอย่างมาก คล้ายว่าไม่กล้าแม้แต่จะจ่ายยา จากนั้นพูดขึ้น “ข้าทำได้เพียงจ่ายยาต้มขับพิษร้อนเท่านั้น กินไปก่อนสามวัน และค่อยดูอาการของคุณหนูอีกที”
“เช่นนั้น เช่นนั้นโรคที่คุณหนูเป็นจะมีอันตรายหรือไม่” หลี่หมัวมัวเค้นถาม
“เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวได้ หลังกินยาไปสามวันแล้วค่อยตรวจชีพจรอีกครั้ง อ้อ จริงสิ เจ้ากลับไปรายงานคุณชายสาม ผู้อาวุโสไป๋จากหอยาตระกูลไป๋ทางเมืองเหนือนั้นชำนาญด้านโรคผิวหนัง สู้เชิญเขามาดูอาการจะดีกว่า”
“เจ้าค่ะ” ภายในใจของหลี่หมัวมัวลอบคิดว่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่หมอหลวงยังหาวิธีรักษาไม่ได้? หรือว่าโรคนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าไข้ทรพิษ?
เหตุเพราะเวลาดึกมากแล้ว หลี่หมัวมัวจึงพักผ่อนที่วัดฉือซิน
หลี่จงและหมอหลวงล้วนเป็นบุรุษ ไม่สะดวกที่จะพักในวัดของบรรพชิตหญิง จึงไปขอพำนักที่วัดต้าเจวี๋ยแทน
ค่ำคืนนั้น หลี่หมัวมัวรีบพาตัวเฝิงหมัวมัวออกมา จากนั้นยัดตั๋วเงินปึกหนึ่งให้กับเฝิงหมัวมัว “ฮูหยินน้อยสามสั่งให้ข้านำตั๋วเงินนี้มาให้เจ้า ตอนที่ฮูหยินน้อยสามได้ยินว่าคุณหนูรองล้มป่วย ด้วยความร้อนใจจึงไม่ทันได้ระวังตัว ทำให้ขี้เถ้าที่ยังร้อนในกระถางธูปหล่นลงมาลวกโดนมือ ทำให้ฝ่ามือของฮูหยินน้อยสามพุพอง แท้จริงแล้ว ฮูหยินน้อยสามอยากจะมาด้วยตนเอง ทว่ากลับมาไม่ได้ จึงกำชับกับข้า ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ต้องรักษาคุณหนูรองให้หายดี จะต้องเสียเงินเท่าใดก็ไม่หวั่น ตั๋วเงินเหล่านี้เจ้าเก็บเอาไว้ก่อน แม้ว่าที่นี่จะเป็นวัดวาอาราม ทว่าก็ยังมีเรื่องที่ต้องใช้เงิน”
เฝิงหมัวมัวรับตั๋วเงินนั้นมา จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เฮ้อ! เจ้าดูเรื่องที่เกิดขึ้นสิ ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียจริง แล้วมือของคุณหนูใหญ่เป็นอะไรหรือไม่”
“เคราะห์ร้ายของฮูหยินน้อยสามผ่านพ้นไปแล้ว! อย่าได้กล่าวถึงอีกเลย ทั้งหมดล้วนเป็นความดีความชอบของคุณหนูรอง” หลี่หมัวมัวถอนหายใจ เอื้อมมือไปกุมมือของเฝิงหมัวมัวเอาไว้ สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความลำบากใจ “หวังว่าฟ้าดินจะคุ้มครองคนดีอย่างคุณหนูรอง ทำให้นางรอดพ้นจากโรคภัยนี้ด้วยเถิด”
“เฮ้อ! คิดไม่ถึง…ช่างโชคร้ายเสียจริง” เฝิงหมัวมัวหวนนึกถึงตุ่มแดงบนร่างกายของเหยาเยี่ยนอวี่ น้ำตาของนางพลันไหลลงมา
หลี่หมัวมัวกุมมือเฝิงหมัวมัวเอาไว้แล้วปลอบโยน สตรีทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นบ่าวรับใช้ที่ออกมาจากจวนข้าหลวงใหญ่ อีกทั้งทั้งสอง คนหนึ่งเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่ อีกคนก็เป็นแม่นมของคุณหนูรอง แม้ว่าคุณหนูทั้งสองจะแตกต่างกันที่คนหนึ่งเป็นบุตรีภรรยาเอก ส่วนอีกคนเป็นบุตรีอนุภรรยา ทำให้ฐานันดรศักดิ์ของพวกนางทั้งสองในจวนข้าหลวงใหญ่ คนหนึ่งสูง ส่วนอีกคนกลับต่ำต้อย แต่ในยามนี้ เมื่อมาถึงวัดฉือซินที่อยู่นอกเมืองหลวง กลับเป็นสองพี่น้องที่เห็นใจกันมากที่สุด
ท้องฟ้าที่มืดสนิท ด้านนอกแสนจะเงียบงัน แม้แต่บรรดาสาวใช้และผัวจื่อที่เฝ้าเวรในตอนค่ำก็งีบหลับตรงระเบียงทางเดิน ทว่าเฝิงหมัวมัวกลับนอนไม่หลับ นางหันไปมองดูหลี่หมัวมัวที่นอนหลับอยู่ข้างๆ จากนั้นเหยียดกายลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าด้วยเสียงเบา แล้วเดินไปยังเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้ก็ได้หลับสนิทแล้ว ชุ่ยผิงเอาผ้ามาคลุมทับตัวเอง พลางฟุบตัวนอนอยู่ข้างเตียง เฝิงหมัวมัวเดินเข้ามาตบหัวไหล่ของนางเบาๆ เพื่อปลุกให้นางตื่น ชุ่ยผิงตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยเรียก ก็ถูกเฝิงหมัวมัวปิดปากไว้ เฝิงหมัวมัวพูดขึ้นเสียงเบา “เจ้าอ่อนเพลียเพียงนี้แล้ว กลับไปนอนเถอะ ข้าจะอยู่เฝ้าคุณหนูเอง”
ชุ่ยผิงหาวหวอดใหญ่ แล้วส่ายหน้า “หมัวมัวเองก็เหนื่อยมาทั้งวัน ท่านรีบไปนอนเถอะ เดี๋ยวข้าจะเฝ้าคุณหนูเอง ท่านวางใจเถอะ”
“เจ้าไปเถอะ ข้านอนไม่หลับ”
“เช่นนั้นข้าจะไปนอนตรงนั้นสักประเดี๋ยวหนึ่ง หากหมัวมัวรู้สึกเพลียก็เรียกข้า”
“ไปเถอะ”
หลังจากที่เฝิงหมัวมัวเห็นชุ่ยผิงเดินออกไป ก็นั่งลงตรงที่วางขาที่นางนั่งก่อนหน้านี้ นางที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นก็ได้ยินเสียงเหยาเยี่ยนอวี่พลิกตัว แล้วเลิกผ้าห่มออก เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้ตื่นนอนแล้ว เฝิงหมัวมัวจึงรีบเอ่ยถาม “คุณหนูอยากจะดื่มน้ำหรือเจ้าคะ”
“หมัวมัว” เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายขึ้นนั่ง “ชุ่ยผิงเล่า”
“บ่าวเป็นคนบอกให้นางไปนอนเองเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวรินน้ำอุ่นครึ่งถ้วยแล้วยื่นให้กับเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่รับน้ำเอาไว้ ทว่ากลับไม่ยอมดื่ม นางแค่ตบข้างเตียง เพื่อสื่อความหมายให้เฝิงหมัวมัวนั่งลง