เฝิงหมัวมัวมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่เหมือนอยากจะพูดบางสิ่ง จึงลงนั่งแล้วปลอบโยนขึ้น “คุณหนูไม่ได้ป่วยเป็นไข้ทรพิษหรอกเจ้าค่ะ ไม่น่าจะเป็นอะไรมากนัก คุณหนูอย่าได้คิดมากเลยนะเจ้าคะ”
“อืม ข้ารู้” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวด้วยเสียงเบา “เดิมทีนี่ก็ไม่ใช่ไข้ทรพิษอยู่แล้ว”
“อะไรนะเจ้าคะ?!” เฝิงหมัวมัวมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความตกใจ จึงเอียงตัวเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยเสียงเบา “คุณหนูทราบรึเจ้าคะ ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร”
“เป็นเช่นนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงเบาแล้วพูดขึ้น “หมัวมัววางใจเถอะ หากไม่ทำเช่นนี้ พวกเราจะย้ายไปอยู่บ้านนาแล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระได้อย่างไร”
“…” เฝิงหมัวมัวพูดไม่ออก และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “คุณหนู! คุณหนูช่าง…เหตุใดคุณหนูจึง…” เฝิงหมัวมัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ทว่ากลับไม่อาจพูดสิ่งใดออกไป ทำได้เพียงถอนหายใจด้วยเสียงเบาแล้วพูดขึ้น “คุณหนูทำให้บ่าวใจหายหมดเลย!”
เหยาเยี่ยนอวี่อธิบายแผนการตนคิดให้เฝิงหมัวมัวฟัง เฝิงหมัวมัวรู้สึกวางใจขึ้นมาก ทว่าก็ยังคงมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่วางใจ จึงกระซิบเสียงเบา “วันนี้หมอหลวงผู้นั้นกล่าวว่า ให้ไปเชิญผู้อาวุโสจากหอยาตระกูลไป๋ซึ่งอยู่ทางเมืองเหนือมาจับชีพจรให้กับคุณหนู ได้ยินว่าผู้อาวุโสคนนั้นมีความชำนาญเรื่องไข้ทรพิษยิ่งนัก หากเขาสามารถวินิจฉัยสาเหตุของโรคออกมาได้นั้น…”
“หมัวมัววางใจเถอะ สิ่งที่ข้าเป็นนั้นไม่ใช่ไข้ทรพิษ เป็นเพียงแค่ฤทธิ์ของยาสมุนไพรที่ขับสารพิษออกมา อีกทั้งตุ่มแดงบนร่างกายของข้าก็เป็นเพียงแค่การขับความร้อนผ่านผิวหนังก็เท่านั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่มีวันวินิจฉัยออกมาได้หรอก อีกทั้งที่แห่งนี้คือวัดฉือซิน บุรุษทั่วไปจะเข้ามาได้อย่างไร”
เฝิงหมัวมัวพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เพื่อชีวิตในวันข้างหน้า หากไม่ทำเช่นนี้ก็คงไม่อาจเป็นไปตามใจหวัง หรือหมัวมัวอยากเห็นข้าเป็นกุ้ยเชี่ย[1] อยู่ในจวนติ้งโหวโดยมีฐานะที่ไม่ชัดเจนกระนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฝิงหมัวมัวก็รู้สึกคุกรุ่นในใจ นางคอยปรนนิบัติรับใช้คุณหนูตั้งแต่เล็กจนเติบโตถึงป่านนี้เป็นอย่างดี คุณหนูของนางมีจิตใจงดงามยิ่งนัก แม้ว่าจะเกิดมาเป็นบุตรีของอนุภรรยา ทว่าที่แน่ๆ คุณหนูของนางไม่จำต้องเป็นอนุภรรยาใคร “อย่างที่คุณหนูกล่าว! บ่าวเข้าใจแล้วว่าควรจะทำเช่นไร เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว คุณหนูรีบนอนเถอะเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ปรนนิบัติรับใช้จนเหยาเยี่ยนอวี่นอนหลับไป เฝิงหมัวมัวจึงหยิบเอาเม็ดยาที่เหยาเยี่ยนอวี่ปรุงนั้นออกมา จากนั้นกินสามเม็ดในคราเดียวแล้วดื่มน้ำตามลงไป
เช้าวันที่สอง เฝิงหมัวมัวบอกหลี่หมัวมัวด้วยความโศกเศร้า บอกว่าตนติดโรคร้ายนี้มาแล้ว อีกทั้งยังเลิกแขนเสื้อให้หลี่หมัวมัวดู ทำให้หลี่หมัวมัวตกใจจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก
เรื่องนี้ไม่ควรยืดเยื้ออีกต่อไป หลี่หมัวมัวยังไม่ทันได้กินอาหารก็รีบพาบุตรชายของตนหลี่จงกลับเข้าเมืองหลวง เพื่อรายงานเหยาเฟิ่งเกอทันที
เมื่อเหยาเฟิ่งเกอได้ฟังสิ่งที่หลี่หมัวมัวกล่าวนั้น นางรู้สึกตกใจและหวาดหวั่นยิ่งนัก “อาการหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้แต่เฝิงหมัวมัวก็ติดโรคร้ายนี้มาด้วย?!”
หลี่หมัวมัวรีบกล่าวขึ้นทันที “บ่าวเห็นกับตาเจ้าค่ะ เมื่อวานเฝิงหมัวมัวยังดีๆ อยู่เลย ทว่าเช้าตรู่วันนี้แขนของนางกลับมีตุ่มแดงขึ้น” กล่าวจบ หลี่หมัวมัวก็ถอยหลังอีกสองก้าว นางพูดด้วยความกังวลใจ “บ่าวเองก็ควรที่จะออกไปพักด้านนอกสักสองสามวันเจ้าค่ะ ถ้าหากว่า…”
“ได้ ได้!” เหยาเฟิ่งเกอรีบพยักหน้า “เจ้ากลับไปที่บ้านเดิมเจ้าเถอะ บุตรชายของเจ้าก็กลับไปบ้านเสียก่อน หากผ่านไปหลายวันแล้วไม่ได้เป็นอะไรค่อยว่ากันอีกที แต่หากเป็นอะไรขึ้นมาก็รีบไปเมืองเหนือแล้วให้ผู้อาวุโสไป๋ตรวจชีพจรดู!”
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน ทั่วทั้งจวนติ้งโหวต่างก็รู้ว่าน้องสาวของฮูหยินน้อยสามป่วยเป็นไข้ทรพิษ
เดือนเก้าที่ใกล้จะถึงนี้เป็นวันเกิดของลู่ฮูหยิน เหตุเพราะยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น จึงไม่อาจจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ทว่าแต่ละเรือนก็ไม่ควรไม่ส่งมอบของขวัญวันเกิด วันนี้ซูอวี้เหิงอยู่ในเรือนของลู่ฮูหยินพอดี นางดูของขวัญที่บิดาและมารดาของนางให้คนส่งมาเมืองหลวง เพื่อมอบให้กับองค์หญิงต้าจั่งและลู่ฮูหยิน ระหว่างนั้น สาวใช้คนสนิทนามว่าชิวฮุ่ยในเรือนลู่ฮูหยินก็เดินเข้ามา พร้อมกระซิบข้างหูของลู่ฮูหยิน
ลู่ฮูหยินถามกลับด้วยความตื่นตกใจ “เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง”
ชิวฮุ่ยกล่าวด้วยเสียงเบา “หลี่หมัวมัวที่รับใช้ในเรือนฮูหยินน้อยสามได้ไปที่วัดฉือซินมาแล้วเจ้าค่ะ ตอนที่นางกลับมานั้นยังไม่กล้าที่จะมารับใช้ฮูหยินน้อยสาม นางเกรงว่าตนเองจะติดโรคไข้ทรพิษมา จึงขอหลบไปอยู่ข้างนอกก่อนเจ้าค่ะ”
“ไข้ทรพิษ?” ซูอวี้เหิงถามด้วยความแปลกใจ “ผู้ใดเป็นไข้ทรพิษหรือเจ้าคะ”
ลู่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ จากนั้นพูดขึ้น “น้องสาวพี่สะใภ้สามของเจ้า คุณหนูรองเหยา เฮ้อ! อมิตาพุทธ! สตรีที่ดีเช่นนี้…หวังว่าพระพุทธองค์จะคุ้มครอง ทำให้นางผ่านพ้นโรคร้ายไปได้”
“ข้าจะไปดูนางเสียหน่อย!” ซูอวี้เหิงเอ่ยขึ้นแล้วเหยียดกายลุกขึ้น เพื่อที่จะเดินออกไป
เหลียนหมัวมัวรีบห้ามปรามขึ้นทันที “คุณหนูสาม ช้าก่อนเจ้าค่ะ!”
ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวขึ้น “แน่นอนว่าเจ้าปรารถนาดี แต่ไข้ทรพิษนี้สามารถที่จะติดต่อกันได้! เจ้าไม่กลัว?”
ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วตอบกลับ “ท่านป้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเคยขึ้นตุ่มแดงแล้ว ไม่ติดหรอกเจ้าค่ะ อีกทั้งเวลานี้พี่เหยาต้องอยู่ลำพังเพียงคนเดียวที่วัดฉือซินจะเศร้าใจเพียงใดเชียว ข้าไปเยี่ยมนาง ประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างให้ความสำคัญกับญาติมิตรยิ่งนัก!” ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากองค์หญิงต้าจั่งทรงทราบแล้วจะทำอย่างไร”
“ท่านป้าวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ให้สาวใช้ของข้าเข้าไปที่เรือนนอนของพี่เหยา ตัวข้าเองก็ไม่เข้าไป ข้าจะพูดคุยกับนางโดยมีหน้าต่างกั้นเอาไว้” ซูอวี้เหิงเดินมาคล้องแขนลู่ฮูหยิน จากนั้นพูดขึ้น “ข้าต้องไปหอยาตระกูลไป๋ที่อยู่ทางเมืองเหนือเสียก่อน ไปจัดยาป้องกันไข้ทรพิษให้กับบรรดาผัวจื่อและสาวใช้ เพื่อที่พวกนางจะได้กินยาป้องกันเชื้อเอาไว้เจ้าค่ะ”
“เรื่องเหล่านี้พี่สะใภ้สามของเจ้าต้องสั่งให้คนไปจัดการเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเลย”
“ถึงอย่างไรข้าก็อธิบายได้เข้าใจมากกว่าสาวใช้พวกนั้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านป้าวางใจเถอะ ข้าจะกลับไปที่จวนองค์หญิงต้าจั่งเสียก่อน แล้วค่อยไปวัดฉือซินเจ้าค่ะ” ซูอวี้เหิงกล่าวจบก็ย่อตัวลงทำความเคารพให้กับลู่ฮูหยิน จากนั้นก็เดินออกไป
ลู่ฮูหยินส่ายหน้า และถอนหายใจพลางพูดขึ้น “ยัยหนูสามช่างจริงใจกับคุณหนูรองเหยายิ่งนัก พี่สาวทางสายเลือดของนางยังดูไม่วิตกกังวลเท่านี้เลย ทว่ายัยหนูสามกลับร้อนใจรีบไปดูอาการของนาง”
หลังจากที่ซูอวี้เหิงออกมาจากจวนติ้งโหวนั้น นางไม่ได้รีบกลับไปที่จวนองค์หญิงต้าจั่ง แต่รีบไปยังหอยาตระกูลไป๋ที่อยู่ทางเมืองเหนือ
นางออกมาด้วยความเร่งรีบ จึงไม่ได้นำเงินติดตัวมามาก แม้แต่คนขับรถม้า สาวใช้สองคนและผัวจื่ออีกสองคนที่คอยติดตามปรนนิบัติรับใช้นางก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกนางคิดอยากจะทำสิ่งใด หลังจากที่ซูอวี้เหิงเข้าไปหาผู้อาวุโสไป๋ที่หอยาด้วยความร้อนใจนั้น นางก็เพิ่งคิดเรื่องเงินตำลึงที่พกติดตัวมา ด้วยเหตุนี้จึงหันไปมองชุ่ยอวิ๋นสาวใช้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายตน
ชุ่ยอวิ๋นส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ นางกล่าวด้วยเสียงเบา “หากคุณหนูกล่าวแต่แรกว่าจะมาที่นี่ บ่าวสั่งให้คนมาเชิญท่านผู้อาวุโสไป๋โดยตรงก็ได้นี่เจ้าคะ”
ด้วยความที่ซูอวี้เหิงร้อนใจและไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางจึงถอดกำไลทองคำของตนออก แล้วยื่นให้กับคนในหอยา “เอาสิ่งนี้ไปเป็นค่ารักษา รีบไปเชิญผู้อาวุโสไป๋ของพวกเจ้ามา คนที่ป่วยนั้นสำคัญกับข้ามาก”
แม้ว่าคนในหอยาจะไม่รู้จักซูอวี้เหิง แต่เมื่อดูจากท่าทางของคุณหนูท่านนี้แล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน จึงรีบโค้งลำตัวลงพลางยิ้ม “คุณหนูรอสักครู่ขอรับ ข้าน้อยจะให้คนไปตามผู้อาวุโสไป๋ที่จวนตงจยาขอรับ”
“เหตุใดยังต้องไปที่จวนอีก!” ซูอวี้เหิงร้อนใจยิ่งนัก เวลานี้ก็สายมากแล้ว หากไปๆ มาๆ เช่นนี้ เกรงว่ากว่าจะไปถึงวัดฉือซินฟ้าคงจะมืดพอดี!
คนในหอยารีบอธิบาย “คุณหนูยังไม่ทราบ ช่วงนี้สุขภาพร่างกายผู้อาวุโสของพวกเราไม่ค่อยดีนัก จึงไม่ได้มาประจำอยู่ที่หอยา หากคุณหนูไม่อาจรอได้ เช่นนั้นลองไปปรึกษากับคุณชายลู่ของพวกเราดูดีหรือไม่”
“คุณชายลู่?” ซูอวี้เหิงหันหลังไปมองบุรุษอายุราวๆ สี่สิบที่กำลังค่อยๆ ลุกขึ้นและกำลังเดินมา จากนั้นนางก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ก็ได้ เช่นนั้นรีบตามข้ามา! คนของข้าที่ป่วยนางอยู่นอกเมือง”
“อ้อ ได้ ได้ คุณหนูรอประเดี๋ยวเดียว” คุณชายลู่พยักหน้า จากนั้นหันไปบอกกับผู้ช่วยหมอให้หยิบกล่องยารักษาของตนมา แล้วรีบเดินออกไปในทันที
[1] กุ้ยเชี่ย สรรพนามเรียกหลานสาวหรือน้องสาวที่แต่งงานกับสามีของตนเอง