ซูอวี้เหิงเดินออกจากประตูแล้วกำลังก้าวขึ้นรถม้า ก่อนจะขึ้นรถม้า นางก็ปรายตามองคุณชายลู่ด้วยอย่างไม่ไว้วางใจ จึงได้กำชับขึ้น “เจ้าตามรถม้าของข้ามานะ”
คุณชายลู่ขานรับ เขาจูงม้าสีแดงประดู่มาขี่ จากนั้นรับกล่องยาที่เด็กรับใช้ยื่นมาให้ พร้อมกับเร่งม้าให้ตามติดรถม้าของซูอวี้เหิงไป
ในจวนติ้งโหว หลังจากซูอวี้เหิงจากไป ลู่ฮูหยินก็สั่งคนไปที่ตำหนักองค์หญิงต้าจั่ง
องค์หญิงต้าจั่งได้ยินว่าหลานสาวไปวัดฉือซิน เพราะต้องการไปเยี่ยมเยียนเหยาเยี่ยนอวี่ องค์หญิงจึงสั่งให้คนรีบตามนางไป จากนั้นก็ทุบโต๊ะพลางตำหนิ “สารเลว! เหตุใดถึงไม่รีบมาบอกข้าก่อน! นางเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ปล่อยให้นางเดินทางออกนอกเมืองหลวงไปเวลานี้ ทั้งยังไม่มีใครติดตามไปด้วย จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร! หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น คอยดูว่าข้าจะลงโทษพวกเจ้าอย่างไร!”
พอตวาดใส่พวกบ่าวรับใช้เสร็จ องค์หญิงทรงถาม “คุณชายใหญ่ คุณชายรอง และคุณชายสาม มีผู้ใดอยู่จวนบ้าง สั่งให้คนส่งสารไปให้พวกเขา บอกว่าเป็นคำสั่งของข้าให้พวกเขารีบพาคนออกไปตามเหิงเอ๋อร์กลับมา! หากมีธุระใดสำคัญก็ค่อยว่ากันวันพรุ่งนี้!”
บ่าวที่คอยปรนนิบัติรับใช้จึงรีบกระจายไปส่งสารด้วยความตื่นตระหนก ประจวบเหมาะเวลานี้ซูอวี้ผิงมาเข้าเฝ้าองค์หญิงต้าจั่งพอดี ซูอวี้ผิงจึงได้รั้งบ่าวพวกนั้นไว้ซักถาม “เหตุใดเจ้าถึงดูลนลานกันเช่นนี้!”
บ่าวไพร่จึงตอบกลับด้วยความสั่นสะท้าน ซูอวี้ผิงสาวเท้าเดินเข้าตำหนักไปด้วยความเร่งรีบ เขาเข้าไปปลอบโยนองค์หญิงต้าจั่งก่อน จากนั้นเขาก็รีบเตรียมกองกำลังทหารส่วนตัว แล้วนำทหารไปตามซูอวี้เหิงกลับมาด้วยตนเอง
บ่าวไพร่ที่ลู่ฮูหยินส่งมาไม่กล้าถกเถียงใดๆ แค่เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังแล้วปล่อยให้องค์หญิงต้าจั่งสบถด่าจนหนำใจ จากนั้นก็มองท่านซื่อจื่อพาคนจากไป ก่อนที่จะถอยกลับไปอย่างเงียบๆ เพื่อรายงานกับลู่ฮูหยิน
ลู่ฮูหยินได้ยินคำพูดของบ่าวไพร่ สีหน้าของนางแลดูแย่ยิ่งนัก เหลียนหมัวมัวที่ดูอยู่ข้างๆ จึงรีบโบกมือไล่ให้บ่าวคนนั้นออกไป พร้อมปลอบโยนเสียงเบา “ฮูหยินอย่าได้โกรธเคืองเลย องค์หญิงต้าจั่งแค่เป็นห่วงคุณหนูสามเท่านั้น คงไม่เจตนาด่าทอฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินแสยะยิ้มพลางเอ่ยพูด “เดิมทีก็เป็นเพียงบุตรีจากอนุภรรยาเท่านั้น อาศัยอยู่ในเรือนดีๆ ไม่ได้หรือไร ลักษณะนิสัยของเด็กสาวนางนี้ถูกองค์หญิงสั่งสอนและเลี้ยงดูมากับมือ เหตุใดถึงได้เป็นเยี่ยงนี้ แล้ววันข้างหน้าจะทำเช่นไร”
เหลียนหมัวมัวรีบยื่นน้ำชาให้หนึ่งถ้วยพลางปลอบโยนขึ้น “ฮูหยินอย่าได้โมโหเลยเจ้าค่ะ คุณหนูสามจะเป็นเช่นไร อย่างไรพวกเราก็ไม่ต้องคอยกังวลอยู่แล้ว เบื้องบนมีองค์หญิงต้าจั่งคอยดูแล และเบื้องล่างยังมีมารดาของนางอีก เหตุใดฮูหยินจึงได้เคร่งเครียดต่อเรื่องนี้จนทำให้ตนเองเสียสุขภาพเล่า”
ลู่ฮูหยินวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะด้วยความขุ่นเคืองใจ พร้อมยิ้มเย้ยหยันพลางเอ่ยขึ้น “เมื่อสองสามวันก่อน ท่านโหวบอกให้ข้าช่วยคัดเลือกคู่ครองให้นาง แต่ดูนางกลับทำตัวประหลาดเยี่ยงนี้ มันคงไม่มีประโยชน์ที่ข้าจะคอยกังวลเรื่องของนาง?!”
“ฮูหยินพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ ทว่าเรื่องนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวถอนหายใจ พร้อมก้มหน้าลงต่ำอย่างช่วยไม่ได้
นางเป็นเพียงสะใภ้ก็ทำได้เพียงเชื่อฟังตามคำสั่ง ใครที่ไหนจะกล้าถกเถียงและคัดค้านในคำพูดของแม่สามี ยิ่งไปกว่านั้นแม่สามีผู้นี้เป็นถึงองค์หญิงต้าจั่ง ลู่ฮูหยินถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้และด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นแสยะยิ้มพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาของตนที่เย็นแล้วขึ้นจิบอย่างเงียบๆ
อีกด้านหนึ่ง ซูอวี้ผิงก็พากองกำลังรักษาการณ์ไปตามซูอวี้เหิง กองกำลังไล่ตามไปจนถึงประตูเมืองหลวง ทว่าพอถามทหารที่เฝ้าประตูเมือง จึงรู้ว่ารถม้าของซูอวี้เหิงไม่ได้ออกนอกเมือง เขาเลยแอบถอนหายใจ จากนั้นพลิกกายลงจากหลังม้า เขาเอาเชือกบังเหียนโยนไปให้ทหารผู้ติดตามอยู่ด้านหลัง แล้วยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมืองหลวงพร้อมกับหันไปมองด้านหลัง
“เอ๊ะ?” เว่ยจางบังเอิญกลับจากนอกเมืองหลวง พอเห็นซูอวี้ผิงจึงรีบกระโดดลงจากม้าพร้อมคารวะซูอวี้ผิง “ท่านซื่อจื่อกำลังจะออกไปนอกเมืองหลวงหรือขอรับ”
“อ้อ มิใช่” ซูอวี้ผิงโบกมือ แล้วยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก “ก็เพราะว่านิสัยที่ดื้อรั้นของน้องสามนี่แหละ นางดื้อดึงที่จะออกจากเมืองหลวงให้ได้ องค์หญิงต้าจั่งทรงไม่วางพระทัย จึงสั่งให้ข้ามาดู”
“อ้อ?” เว่ยจางถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย แต่เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามคือสตรี จึงไม่ได้คิดจะถามให้มากความ
ซูอวี้ผิงยิ้มพลางตบไหล่ของเขา พร้อมกับพูดขึ้น “น้องสาวคนนี้ของข้าเป็นคนที่ตรงไปตรงมา” ขณะที่พูด ก็เล่าเรื่องที่ซูอวี้เหิงจะไปเยี่ยมเหยาเยี่ยนอวี่ที่อาจจะป่วยเป็นไข้ทรพิษให้ฟังคร่าวๆ
นัยน์ตาของเว่ยจางดูมืดทะมึนลงทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ หันข้างไปจ้องถังเซียวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
ถังเซียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่ได้ยินข่าวเรื่องนี้
ทว่าในเวลาเพียงพริบตา ก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งดังขึ้นจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ซูอวี้ผิงเงยหน้าขึ้นมอง ถนนทางด้านหน้ามีรถม้าสีแดงชั้นดีขับเคลื่อนด้วยม้าสองตัว รถม้าคันนั้นคือรถม้าของซูอวี้เหิง เวลานี้รถม้ากำลังขับเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้โบกมือขึ้น เพื่อสั่งให้กองกำลังเข้าไปดักทางไว้
พอรถม้าถูกขวางทาง ซูอวี้เหิงจึงเลิกม่านรถม้าขึ้นด้วยความโมโห และนางที่กำลังจะโมโห ก็เห็นซูอวี้ผิงเดินไปหานาง ทันใดนั้นนางจึงยกชายกระโปรงขึ้นพลางลงจากรถม้า ซูอวี้ผิงยื่นมือไปจับนาง พลางถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “น้องสาวจะออกจากเมืองด้วยความเร่งรีบเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าองค์หญิงต้าจั่งทรงเป็นห่วงมากแค่ไหน”
“พี่ชายใหญ่! เรื่องนี้เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง” ซูอวี้เหิงก้มหน้าลงเพื่อน้อมรับความผิด จากนั้นก็อธิบายด้วยความร้อนใจ “พี่เหยาป่วย อีกทั้งยังอาจจะป่วยเป็นไข้ทรพิษ! ข้าเคยป่วยเป็นไข้ทรพิษ ข้ารู้ความรู้สึกเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงอยากจะไปเยี่ยมนาง…”
“การที่เจ้าเป็นห่วงคุณหนูเหยามันไม่ผิด แต่ก็ต้องมีวิธีที่ถูกต้อง! เจ้าเคยนึกถึงใจของเสด็จย่าว่าจะร้อนใจมากเพียงใดไหม” แน่นอนว่าซูอวี้ผิงไม่ควรตำหนิซูอวี้เหิงต่อหน้าเว่ยจางเกินไป ตอนที่เขาตำหนิด้วยเสียงที่แผ่วเบานั้น สีหน้าของเขาดูรักใคร่และเอ็นดูนางยิ่งนัก
อย่างไรเว่ยจางก็คือบุรุษที่เป็นคนนอก จึงไม่ควรพูดสิ่งใดให้มากความ ทว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคนที่เขาเป็นห่วงเป็นใยมากที่สุด จึงมิอาจนิ่งดูดายได้ เขายิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น “คุณหนูซูเห็นแก่มิตรภาพเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าวันนี้สายเกินไปแล้ว การที่คุณหนูออกนอกเมืองจึงไม่ได้สะดวกมากนัก เช่นนั้นให้คนพาหมอไปดูอาการและตรวจชีพจรก่อนดีหรือไม่”
ซูอวี้เหิงได้ยินคำพูดของเว่ยจาง จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขา พร้อมกับขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “บ่าวไพร่กับคนในครอบครัวจะเหมือนกันได้อย่างไร พี่เหยาอยู่ในวัดตามลำพัง ข้างกายก็มีเพียงบ่าวไพร่…”
“เหิงเอ๋อร์” ซูอวี้ผิงขัดจังหวะการพูดของซูอวี้เหิง “เสด็จย่าทรงตรัสไว้แล้ว เจ้าอยากจะไปเยี่ยมนางไม่ใช่ว่าจะไปไม่ได้ ทว่าต้องรอไปในวันพรุ่งนี้ เจ้าดูท้องฟ้าในยามนี้ก็จวนเจียนโพล้เพล้มากแล้ว ถนนหนทางขึ้นเขาก็ไม่ได้สะดวกสบาย เจ้านึกถึงคุณหนูเหยาก็ต้องนึกถึงเสด็จย่าด้วยสิ เสด็จย่าก็อายุมากแล้ว เจ้าจะทำให้ท่านเป็นห่วงเจ้าได้อย่างไรกัน”
ซูอวี้เหิงก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าอวิ๋นปกครองแคว้นด้วยใจที่กตัญญู คำพูดเช่นนี้ทำให้นางไร้คำถกเถียงกลับจริงๆ อีกทั้งนางก็ได้เติบโตข้างกายองค์หญิงต้าจั่งไม่มีทางที่จะไม่คำนึงถึงความเป็นห่วงเป็นใยขององค์หญิงต้าจั่งอยู่แล้ว
“เอาเช่นนี้ ข้าจะส่งคนให้ติดตามไปด้วย เช่นนี้คุณหนูซูวางใจแล้วหรือไม่” เว่ยจางหันไปมองถังเซียวอี้ที่อยู่ข้างกายเขา
“เจ้าไป?” ซูอวี้เหิงปรายตามองถังเซียวอี้ แล้วมองซูอวี้ผิงด้วยความลังเลใจ “นี่เหมาะสมหรือ”
รองแม่ทัพถังที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวแลดูสุภาพเรียบร้อยและงามสง่าได้ยกสองมือประสานทำคารวะ พร้อมกับยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “คุณหนูซูวางใจได้ ข้าจะส่งสารไปให้คุณหนูเหยา นางต้องรับรู้ว่าคุณหนูซูเป็นห่วงเป็นใยนางแน่นอน”
ซูอวี้ผิงแค่อยากจะพาซูอวี้เหิงกลับไป เพื่อแสดงว่าตนเองได้ทำตามคำสั่งขององค์หญิงต้าจั่ง จึงไม่ได้นึกถึงว่าอะไรเหมาะสมและอะไรไม่เหมาะสม ทำได้เพียงปรายตามองถังเซียวอี้ด้วยความนิ่งเฉย พลางพูดขึ้น “เช่นนั้นก็คงต้องลำบากท่านหน่อยแล้ว”
“นับเป็นเกียรติของข้าที่ได้รับใช้ท่านซื่อจื่อและคุณหนูซูขอรับ” ถังเซียวอี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางหันไปทักทายคุณชายลู่จากหอยาตระกูลไป๋ “ท่านผู้นี้คือคุณชายจากหอยาตระกูลไป๋ใช่หรือไม่ เชิญตามข้าไปเถอะ”
คุณชายลู่ที่อยู่ข้างๆ ได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน พอเห็นรองแม่ทัพที่สง่าผ่าเผยได้ทักทายตนเอง จึงไม่กล้าเสียมารยาท เขาเลยทำมือคารวะแล้วพูดขึ้น “ใต้เท้า เชิญ”