ตอนที่ 36 เซวียนหยวนเฉิงผู้เถรตรง

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อันหลินเป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจงามอย่างยิ่ง เขารู้ความคิดของโจวชิงอวิ๋น เข้าใจความเจ็บปวดที่โจวชิงอวิ๋นแบกรับ

เขาจึงเดินมายืนข้างโจวชิงอวิ๋น กุมมือที่ถือกระบี่ของโจวชิงอวิ๋นไว้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ยกมือขึ้นเล็กน้อย

ด้วยเหตุนี้ มือของโจวชิงอวิ๋นจึงถูกมือของอันหลินยกขึ้นมา ยื่นกระบี่แทงไปที่หัวเข่าของอันหลินเบาๆ ทีหนึ่ง

“เจ้าดูสิ…ข้าช่วยทำฝันของเจ้าให้เป็นจริงแล้ว เจ้ายื่นกระบี่ออกมาสำเร็จแล้ว!”

อันหลินมองโจวชิงอวิ๋นด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

น้ำตาของโจวชิงอวิ๋นไหนออกจากดวงตา พูดเสียงสั่นระริก “ศิษย์น้องอันหลิน ครั้งหน้าข้าจะไปขอบคุณถึงที่แน่! (แทงเจ้าให้ตายในกระบี่เดียวแน่)”

อันหลินส่ายหน้า โพล่งออกมาว่า “เรื่องเล็กน้อย ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง”

โจวชิงอวิ๋นเองก็ส่ายหน้าอย่างจริงจัง “พระคุณเพียงหนึ่งหยดน้ำ ขอทดแทนดั่งสายธาร! (เจ้าหนีไม่พ้นหรอก)”

อันหลินถอนหายใจอีกครั้ง ไม่พูดมากความอีก ใช้กำปั้นแห่งรักกับโจวชิงอวิ๋นทันที…

การประมือระหว่างอันหลินกับโจวชิงอวิ๋น ถูกฉายบนหน้าจอผลึกหิน

นักเรียนนับหมื่นชีวิต ถูกการกระทำของพวกเขาสะเทือนอารมณ์เข้าอย่างจัง

“ช่างเป็นการประลองแห่งพี่น้องที่น่าประทับใจยิ่งนัก!”

“นั่นสิ สายตาอบอุ่นของอันหลิน น้ำตาลูกผู้ชายของโจวชิงอวิ๋น สะเทือนอารมณ์ข้านัก!”

“นี่แหละมิตรภาพแห่งลูกผู้ชาย!”

“เหลวไหล นี่มันความรักชัดๆ!” มีผู้หญิงโต้แย้ง

ไม่พูดไม่ได้ว่า การประลองระหว่างอันหลินกับโจวชิงอวิ๋น นับตั้งแต่วันนี้ เริ่มแพร่กระจายไปทั่วสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน กลายเป็นเรื่องราวที่ยืนยง

หลังอันหลินเอาชนะโจวชิงอวิ๋นแล้ว ก็ขี่สุนัขเหาะเหิน มุ่งหน้าไปทางยอดเขาราชันเซียน

ตอนนี้ขอบเขตของเขตแดนหดเล็กลงเรื่อยๆ ได้ยินว่าสุดท้ายจะเหลือเนื้อที่เพียงรัศมีสามลี้ นี่มันบังคับให้คนต่อสู้กันชัดๆ!

ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งในป่าพันยอด มีคนสองคนกำลังยืนประจันหน้ากัน

ชายชุดสีฟ้าคนหนึ่ง มือถือหอกลายมังกร เนื้อตัวแผ่กลิ่นอายจอมราชันเย้ยปฐพี

เขามีพรสวรรค์เหนือชั้น ความสามารถเป็นหนึ่งไร้เทียมทานในรุ่นคนหนุ่มสาว

เขาเป็นเป้าหมายของนักเรียนทุกคนในสำนัก เขาก็คือหวังเสวียนจ้านอันดับหนึ่งแห่งสำนักในตอนนี้นั่นเอง!

ผู้ใดกันที่มีความสามารถยืนประจันหน้ากับเขาได้

ตรงข้ามหวังเสวียนจ้าน มีชายหนุ่มรูปโฉมงดงามคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่

ดวงตาคู่นั้นของเขาบริสุทธิ์ยิ่งนัก ราวกับลบมลทินทั้งหมดในโลกหล้าจนสิ้นแล้ว

เขายืนอยู่ตรงนั้น เก็บงำพลังปราณ แทบจะไม่มีตัวตน เสมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง เป็นดั่งฝุ่นผง คนที่เดินผ่านมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็จะลืมเลือนเขาไป

ชายหนุ่มคนนั้น อันหลินเคยเจอก่อนหน้านี้…ชื่อของเขาคือเฉินเฉิน

เฉินเฉินผู้ที่ระดับพลังยุทธ์หยุดอยู่ที่กายแห่งมรรคขั้นแปดเสมอมาตั้งแต่เข้าเรียน

“เฉินเฉิน ครั้งนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่!” หวังเสวียนจ้านจ้องเฉินเฉิน ในดวงตามีเปลวไฟร้อนรุ่ม

เฉินเฉินมองชายหนุ่มที่พร้อมจะแสดงความสามารถเต็มที่แล้วถอนหายใจเบาๆ “คนอื่นต่างก็ลืมข้าไปโดยไม่รู้ตัว เจ้ากลับจดจำข้าได้ลึกซึ้งขึ้นทุกวัน…ความปรารถนาของเจ้ารุนแรงเกินไป หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะกลายเป็นปีศาจในใจเจ้าได้…”

หวังเสวียนจ้านปล่อยพลังในตัวออกมาแล้ว ความมุ่งร้ายพลุ่งพล่าน “เฉินเฉิน ตั้งแต่ข้าเข้าเรียนมา เจ้าเป็นคนเดียวที่มีบัตรเชิญของผู้เที่ยงแท้เช่นเดียวกับข้า ข้าอยากประลองยุทธ์กับเจ้านานแล้ว ข้ารู้ความสามารถของเจ้าต้องไม่ด้อยเป็นแน่ แต่เจ้ากลับหลบหลีกไม่สู้ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของข้าแล้ว เจ้าเป็นคู่ต่อสู้เพียงหนึ่งเดียวที่ข้ายังไม่เคยเอาชนะได้ ยิ่งไม่อาจสู้กับเจ้าได้ ข้าก็ยิ่งอยากสู้กับเจ้า! ไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ ตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งสำนักนี้ ข้ารู้สึกผิดที่จะรับมันไว้! เจ้ากลายเป็นปีศาจในใจข้าแล้ว ฉะนั้นข้าจำต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ทำให้เจ้าแพ้เสีย มีแค่ทางนี้เท่านั้น จึงจะกำจัดปีศาจในใจข้าได้!”

ได้ยินหวังเสวียนจ้านพร่ำรำพันไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเฉินมีความประหลาดใจปรากฏให้เห็น “หวังเสวียนจ้าน เจ้าราศีกันย์หรือ”

หวังเสวียนจ้านพูดอย่างฉงนว่า “อะไรนะ”

เฉินเฉินถอนหายใจ “เฮ้อ เจ้าไม่ตั้งใจเรียนวิชาแดนมนุษย์นี่นา”

หวังเสวียนจ้าน “?”

“ต้องขออภัย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อยากลงมือ หากว่าปีศาจในใจเจ้าคือข้า เช่นนั้นเจ้าก็แก้ไขปัญหาด้วยวิธีอื่นเถอะ” เฉินเฉินส่ายหน้า มีความคิดจะจากไปแล้ว

ในขณะเดียวกัน ณ จัตุรัสหยกขาว

การต่อสู้ของหวังเสวียนจ้านเป็นที่สนใจของนักเรียนส่วนใหญ่

“เจ้าว่า ครั้งนี้หวังเสวียนจ้านกับเฉินเฉินจะสู้กันไหม”

“เฉินเฉินคือใคร…อ้อ คนที่ประจันหน้ากับเขาคือเฉินเฉินหรือ ข้าเกือบลืมเขาไปแล้ว!”

“เจ้าน่าจะถามว่า เฉินเฉินจะหนีจากเงื้อมมือของหวังเสวียนจ้านได้อีกนานแค่ไหนมากกว่า”

“นั่นสิ! วิชาหลีกลี้ของเฉินเฉินพิสดารพันลึก สมญานามผู้หลีกลี้อันดับหนึ่งของสำนักไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!”

“อืม…มีเหตุผล เพราะหนีมาได้สามครั้งแล้ว ซ้ำยังหายไปในเสี้ยววินาที หวังเสวียนจ้านทำอะไรเขาไม่ได้เลย!”

“ไม่แน่ว่าครั้งนี้หวังเสวียนจ้านอาจมีทางออกก็ได้”

“ทุกครั้งที่หวังเสวียนจ้านเข้าร่วมศึกแห่งอิสรภาพ ก็บอกว่ามีหนทางรับมือกับเฉินเฉินตลอด เจ้าเห็นเขาทำสำเร็จสักครั้งไหม”

“เอ่อ…”

ในจัตุรัส นักเรียนต่างก็พูดคุยกันเซ็งแซ่ ในป่าพันยอด การต่อสู้จะเริ่มขึ้นแล้ว!

“เฉินเฉิน ข้าบรรลุพลังหอกมังกรขาวแล้ว เจ้าหนีไม่รอดแน่!”

หวังเสวียนจ้านมองความคิดอยากหลบหนีของเฉินเฉินออก พลันปล่อยพลังทั้งหมดที่มีออกมา หอกส่องแสงสีขาว ยื่นหอกออกไปประหนึ่งมังกร ตัดขาดทางหนีทีไล่ของเฉินเฉินในกระบวนท่าเดียว

ขณะนั้นเอง ชายชุดขาวคนหนึ่งก็ขี่กระบี่มา กลายเป็นลำแสงสีขาวมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินเฉิน

“ผู้มาเยือนเป็นใคร ไยต้องขัดขวางการต่อสู้ระหว่างข้ากับเฉินเฉิน!”

หวังเสวียนจ้านไม่พอใจกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ยิ่งนัก!

“ข้าเซวียนหยวนเฉิง ปีหนึ่งห้องหนึ่ง” ชายหนุ่มงามสง่า โค้งตัวคำนับอย่างสุภาพแล้วตอบ

“เจ้าคือเซวียนหยวนเฉิงเองหรือ” หวังเสวียนจ้านหรี่ตาลง สีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย “แม้เจ้าจะมีพรสวรรค์เหนือชั้นเช่นกัน แต่จะสอดมือเข้ามายุ่งสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ หากว่าอยากสู้กับข้า รอข้าจัดการเฉินเฉินก่อนค่อยว่ากัน!”

เซวียนหยวนเฉิงส่ายหน้าน้อยๆ “เป้าหมายที่ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อหยุดยั้งการต่อสู้ของท่านกับรุ่นพี่เฉิน”

หวังเสวียนจ้านได้ฟังก็เลือดขึ้นหน้า “ข้าสู้กับเขา เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”

“รุ่นพี่หวังอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว แต่กลับจะจัดการรุ่นพี่เฉินกายแห่งมรรคขั้นแปด เรื่องนี้ข้าทนดูไม่ได้” เซวียนหยวนเฉิงทำหน้าแน่วแน่ พูดอย่างเชื่องช้า

เมื่อพูดเช่นนี้ หวังเสวียนจ้านก็ยิ่งโมโห “ศึกแห่งอิสรภาพสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้อย่างเสรีอยู่แล้ว เจ้ายุ่งอะไรด้วย!”

เซวียนหยวนเฉิงขมวดคิ้ว “การต่อสู้ที่ความสามารถแตกต่างกันเกินไป จะสร้างความเสียหายอย่างมหันต์ให้อีกฝ่ายได้ง่าย ก่อนหน้านี้เคยถึงขั้นเสียชีวิตด้วยซ้ำ พวกเรามีหน้าที่ต้องดูแลผู้ที่อ่อนแอ! แม้ผู้ที่อ่อนแอจะไม่สมควรอยู่ในโลกใบนี้ แต่เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงต้องให้โอกาสผู้ที่อ่อนแอ ให้พวกเขาได้เติบโตกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง!”

มุมปากของหวังเสวียนจ้านกระตุก คิดในใจว่าหลักการเป็นตุเป็นตะของเซวียนหยวนเฉิงได้แต่ใดมากันแน่

ไฟโทสะสุมอยู่ในอก เขาสะกดกลั้นมันไว้แล้วพูดต่อว่า “เฉินเฉินเก็บซ่อนพลังต่างหาก เขาเป็นผู้แข็งแกร่ง!”

“เช่นนั้นศิษย์พี่หวังรู้หรือไม่ว่าระดับพลังยุทธ์ที่แท้จริงของรุ่นพี่เฉินคืออะไร” เซวียนหยวนเฉิงกล่าว

“มัน…” หวังเซวียนจ้านไม่เคยต่อสู้กับเฉินเฉิน ไหนเลยจะรู้ความสามารถที่แท้จริงของเขา

เมื่อเห็นหวังเสวียนจ้านลังเล เซวียนหยวนเฉิงก็รู้ว่าตัวเองทำถูกแล้ว จึงหว่านล้อมด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า “หากรุ่นพี่เฉินอยู่แค่กายแห่งมรรคขั้นแปดจริง เช่นนั้นเขาก็จะประสบภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงในเงื้อมมือของรุ่นพี่หวังไม่ใช่หรือ รุ่นพี่หวังไยท่านต้องลำบากด้วยเล่า…”

“เจ้าจะถอยหรือไม่ถอย” หวังเสวียนจ้านจ้องอย่างโกรธขึ้ง

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าชายหนุ่มคนตรงหน้า ทำไมถึงได้เรื่องมาก ทำไมถึงได้พูดมากปานนั้น…

ความหงุดหงิดและไฟโทสะแทบจะทะลักออกจากอกของเขาแล้ว

“ไม่ถอย” สีหน้าของเซวียนหยวนเฉิงหนักแน่น

ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดหวังเสวียนจ้านก็ระเบิด…

“ใจกล้าดีนี่! ข้าทนฟังเจ้าพล่ามมามากพอแล้ว! เอาหอกข้าไปกิน!”

หอกของหวังเสวียนจ้านกลายเป็นมังกรเขียวแผดเสียงดังสะเทือนฟ้า พุ่งไปหาเซวียนหยวนเฉิง!

………………………..