ไม่ว่าลูกจะเติบโตเท่าใดก็ยังเป็นเด็กในสายตาบิดามารดาทั้งนั้น
คนสกุลเฉินคิดว่าคำพูดของอวี้เหวินนั้นไม่ค่อยจริงจังเท่าใด แต่เมื่อหันไปมองอีกทีก็พบว่าอวี้เหวินนอนหลับไปแล้ว อดหาข้อแก้ตัวให้สามีไม่ได้ คิดว่าเขาอาจจะเหนื่อยเกินไป นางครุ่นคิดคนเดียวอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน รู้สึกว่าตัวเองละเลยต่อลูกสาวเกินไป
เช้าตรู่ของอีกวัน จึงทำน้ำแกงข้าวหมากใส่ไข่ด้วยตัวเอง ยกเข้าไปถึงในห้องอวี้ถัง
ชาติก่อนอวี้ถังกลับพบเจอกับเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง แต่หลังจากเกิดใหม่ นี่ยังคงนับเป็นครั้งแรก อดตกใจขึ้นมาไม่ได้ รีบปีนป่ายออกมาจากกองผ้าห่ม “ท่านแม่ นี่อะไรกันเจ้าคะ?”
คนสกุลเฉินไม่ได้ตอบ มองนางสวมเสื้อผ้าด้วยรอยยิ้ม “หลายวันแล้วที่แม่ไม่ได้พูดคุยกับเจ้าดีๆ วันนี้เจ้าอยากไปกินเจที่วัดกับข้าหรือไม่?”
หลังจากท่านผู้เฒ่าสกุลเผยจากไป คนสกุลเฉินก็มักไปทำบุญให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยที่วัดบ่อยๆ
อวี้ถังใช้เกลือบ้วนปาก “วันนี้ป้าเฉินไม่ว่างหรือเจ้าคะ? ข้าและท่านพ่อวางแผนจะไปทำความสะอาดสุสานลุงหลู่ ใกล้จะครบรอบยี่สิบเอ็ดวันของเขาแล้ว ท่านพ่อกล่าวว่าจะเผากระดาษให้เขาสักหน่อย” ทั้งให้คนในเมืองหลินอันรับรู้ การที่พวกเขาไปเมืองหังโจวก็เพื่อนำของต่างหน้าของหลู่ซิ่นกลับมา เตรียมที่จะเผาให้เขา
คนสกุลเฉินผิดหวังอยู่บ้าง แต่ว่าอวี้ถังออกไปกับอวี้เหวิน พวกเขาสองพ่อลูกสนิทสนมกลมเกลียว นางก็ยังคงชื่นใจ
“ได้!” นางตอบอย่างพอใจ “รีบดื่มน้ำแกงที่แม่ทำให้เจ้าเสีย เดี๋ยวเย็นก็จะไม่อร่อยแล้ว ข้าจะให้ป้าเฉินทำขนมแป้งอบให้เจ้าและพ่อเจ้าพกไปด้วย”
หลู่ซิ่นถูกฝังที่ชิงซานหูตรงชานเมือง เดินทางจากเมืองหลินอันต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ตลอดทางล้วนเป็นขุนเขา ไม่มีกระทั่งร้านน้ำชา ทำได้เพียงกินอาหารแห้งเท่านั้น
อวี้ถังขานรับ ก่อนจะเปลี่ยนสวมชุดต่วนหรูเนื้อหยาบสีจันทร์กระจ่าง เกล้าผมขึ้นอย่างง่ายๆ ดื่มน้ำแกงที่มารดาทำ ก่อนจะออกไปกินอาหารเช้าข้างนอกกับบิดาและมารดา
กินข้าวเสร็จ ขนมแป้งอบของป้าเฉินก็เสร็จพอดี คนสกุลเฉินตักกับข้าวใส่กล่อง ไม่ลืมกำชับอาเสา “ระหว่างทางก็ระวังหน่อย อย่าให้นายท่านและคุณหนูหิวเชียว”
อวี้เหวินเป็นห่วงคนสกุลเฉินมากกว่า “ให้อาเสาอยู่รับใช้พวกเจ้าเถิด! ข้ามีอาถังเป็นเพื่อนแล้ว”
สองสามีภรรยาต่างข้ายอมให้เจ้า เจ้ายอมให้ข้า อวี้ถังกระตุกยิ้มขึ้นมา ขอตะกร้าสานจากป้าเฉิน
คนสกุลเฉินกล่าว “เจ้าจะเอาตะกร้าสานไปทำอะไร?”
อวี้ถังส่งสายตาเป็นนัยให้บิดา “ก็ไม่ใช่ว่าต้องเอาไปใส่ธูปเทียนให้ลุงหลู่หรอกรึ?”
คนสกุลเฉินไปหาตะกร้าสานขนาดพอเหมาะมาให้อวี้ถัง อวี้ถังและบิดาออกจากเรือนไปซื้อธูปเทียน
เป็นดังที่คาด พอทั้งสองคนออกไปข้างนอกก็พบเจอคนคุ้นเคยไม่ใช่น้อย ทุกคนล้วนรู้ว่าหลายวันมานี้อวี้เหวินไปหังโจว พอเขากลับมาวันที่สองก็เห็นถือของเซ่นไหว้ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ต่างพากันแปลกใจ เก้าในสิบคนถามว่าเขาจะไปทำอะไร มีเพียงคนเดียวที่รั้งตัวถามพวกเขาว่าหังโจวมีที่ไหนสนุกบ้าง
อวี้เหวินตอบทุกคนตามที่ปรึกษาหารือมากับอวี้ถังก่อนหน้านี้ “หลู่ซิ่วไฉยังมีของบางอย่างทิ้งไว้ที่หังโจว ข้าจึงไปช่วยเขาเก็บเสียหน่อย รอจนครบสี่สิบเก้าวัน ก็จะเผาสิ่งของไปให้เขา”
ทุกคนต่างชื่นชมว่าอวี้เหวินมีเมตตามากคุณธรรม
อวี้เหวินถ่อมตัวอยู่ค่อนวัน เวลานี้จึงค่อยจ้างเกี้ยวสองหลังเดินทางไปชิงซานหู
หลุมฝังศพของหลู่ซิ่น ต้นสนสูงใหญ่เขียวขจีอยู่รอบทิศ หน้าหลุมศพยังหลงเหลือเศษซากประทัดสีแดงที่จุดในยามฝังศพ
อวี้เหวินถอนหายใจ คุกเข่าลงบนหินหน้าป้ายหลุมศพเผากระดาษเงินให้หลู่ซิ่น “ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดต่อหน้าข้า เรื่องไหนเป็นเรื่องจริงเรื่องไหนเป็นเท็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าล้วนหวังให้เจ้าลืมเรื่องของชาตินี้ สามารถไปเกิดในที่ดีๆ ได้ในเร็ววัน อย่าได้ไม่เป็นโล้เป็นพายเหมือนในชาตินี้”
อวี้ถังมองพินิจป้ายหลุมศพของคนอื่นอยู่ด้านข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
บางคนมีทั้งลูกสาวลูกชาย นับว่าสุขสมหวัง บางคนอายุยังน้อยก็มาด่วนจากไป บางคนเหลือที่อีกครึ่งหนึ่งเพื่อรอฝังคู่ชีวิตร่วมกัน ทั้งมีสุสานคู่ที่ฝังร่วมกันตั้งนานแล้ว
ลมของสารทฤดูพัดมา พาให้ไพรพนาที่ไร้ผู้คนเกิดเสียงหวีดหวิว ทั้งหอบเอาความหนาวเหน็บเข้ามา
อวี้ถังใช้สองมือลูบแขน “ท่านพ่อ ท่านหนาวหรือไม่? ที่นี่ดูอึมครึมน่ากลัว พวกเรากลับไปก่อนดีกว่ากระมัง!”
อวี้เหวินผงกศีรษะ ลงเขาไปพร้อมกับอวี้ถัง
ผู้คนมากมายในเมืองหลินอันล้วนทราบถึงข่าวนี้
กระทั่งหม่าซิ่วเหนียงก็ยังถือโอกาสที่มาขอบคุณอวี้ถัง ถามถึงเรื่องนี้อย่างสงสัย “หลู่ซิ่วไฉทิ้งอะไรไว้บ้างรึ?”
“แค่พวกภาพวาดตำรา” อวี้ถังกล่าว “ล้วนเป็นสิ่งของที่เขาใช้ในยามปกติ ทั้งไม่อาจจะทิ้งไว้ในเรือนพวกเรา”
หม่าซิ่วเหนียงกล่าวอย่างเห็นใจ “ท่านลุงอวี้ก็โชคไม่ดีที่คบหาสหายอย่างเขา เขาตายไปก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว ท่านลุงอวี้กลับต้องเก็บกวาดช่วยเขา”
อวี้ถังไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนางมาก ถามนางด้วยรอยยิ้ม “ยามที่สกุลสามีมาส่งสินสอดทองหมั้น เจ้าจะสวมชุดอะไรรึ?” นางก็เลือกชุดที่ไม่เป็นที่สะดุดตาเพื่อขับให้หม่าซิ่วเหนียงดูเด่น ไม่อาจจะฉกฉวยความสนใจไปจากหม่าซิ่วเหนียงได้
หม่าซิ่วเหนียงกล่าวอย่างขัดเขิน “แม่ข้าเตรียมชุดสีแดงสดให้ข้าแล้ว”
อวี้ถังเผยยิ้ม “เช่นนั้นข้าใส่ชุดสีม่วงอ่อนดีกว่า!”
หม่าซิ่วเหนียงขานตอบรับในลำคอ ก่อนจะคุยเรื่องส่วนตัวกับอวี้ถังเสียงเบา “แม่ของข้าแอบเอาตั๋วเงินสิบตำลึงสามใบให้ข้า ไม่ให้บอกใคร หลังจากแต่งงานจะได้ไม่ต้องยื่นมือขอเงินคุณชายจางซื้อเครื่องแป้ง เครื่องชาด”
แต่ไหนแต่ไรอวี้ถังก็ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน นางถามอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีที่ยี่สิบหมู่เป็นสินเดิมแล้วหรอกรึ?”
หม่าซิ่วเหนียงกล่าว “แม่ข้าบอกแล้ว แม้จะกล่าวว่าที่ยี่สิบหมู่นั้นเป็นสินเดิม แต่ทรัพย์สินพวกนั้นล้วนจัดแจงไว้ดีแล้ว สกุลจางไม่ได้มั่งคั่ง หากข้าฟุ้งเฟ้อ กลัวว่าคนของพวกเขาจะไม่ชอบใจ…”
อวี้ถังอดดีใจไม่ได้ที่ตัวเองไม่ต้องแต่งออกไป
ผ่านไปเช่นนี้อยู่หลายวัน เมืองหลินอันก็แพร่ข่าวไปทั่ว อวี้ถังคิดว่าเรื่องนี้น่าจะพอเหมาะพอควรแล้ว…คนพวกนั้นไม่มาขโมยของต่างหน้าของหลู่ซิ่น พวกเขาก็จะเผามันทิ้งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เผือกร้อนในมือก็สามารถโยนทิ้งไปได้แล้ว
หลายวันนี้หากอวี้เหวินไม่ศึกษาเรื่องแผนที่อยู่ในเรือน ก็ไปสืบข่าวอย่างระมัดระวังว่าในเมืองหลินอันมีใครบ้างที่ทำการค้าขายที่ฝูเจี้ยน? ทำกิจการใหญ่หรือเล็ก? คนผู้ไหนเปิดเผยใจกว้าง เป็นต้น มีครั้งหนึ่งถูกคนถามว่าเหตุใดเขาจึงสืบเสาะเรื่องพวกนี้ หรือสกุลอวี้เตรียมจะเปลี่ยนไปทำมาหากินอย่างอื่น
เขาแสร้งโง่ กล่าวอย่างขอไปทีออกไป กลับมาถึงบ้านก็พบว่าเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
อวี้เหวินเล่าเรื่องนี้ให้อวี้ถังฟัง “เห็นได้ชัดว่าข้านั้นไม่ถนัดทำเรื่องเลวร้ายเอาเสียเลย”
อวี้ถังหัวเราะ กังวลอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ที่บิดาจะไปสืบข่าวที่เมืองหลวงและฝูเจี้ยน
อวี้เหวินกลับปลอบใจนาง “มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สอง มนุษย์ล้วนต้องการโอกาสในการฝึกฝนทั้งนั้น”
คำพูดนี้ก็มีเหตุผล
ชาติที่แล้วนางเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องราวของผู้อื่น ตอนนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
อวี้เหวินกลัวนางคิดมาก จึงนำภาพทั้งสองที่อาจารย์เฉียนลอกแบบขึ้นมาชม “เจ้าว่า อาจารย์เฉียนผู้นี้มีฝีมือยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงทำอาชีพนี้อยู่? แม้จะกล่าวว่าหาเงินได้มาก แต่ความเสี่ยงก็ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งไม่อาจทิ้งชื่อเสียงสู่คนรุ่นหลังได้ น่าเสียดายจริงๆ”
ใครจะไม่มีต้นสายปลายเหตุบ้างกัน
อวี้ถังไม่พูดอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ รอจนมารดาเรียกกินมื้อเย็น ยามที่นางช่วยบิดาจัดเตรียมโต๊ะอาหารกลับยืนนิ่งราวกับถูกฟ้าผ่าอยู่ตรงนั้น
“นี่ นี่มันอะไรกัน?” นางร้องเสียงหลง
——————————-