บทที่ 15 พวกเจ้าอยากหาเงินไหม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

“ฮ๋า……เรียกยัยขี้เหร่สภาพดูไม่ได้นี่ว่าพี่ใหญ่เนี่ยนะ เอ่อ……”

“ป้าบ……”

เซียวหยู่เซวียนเตะอีกครั้ง และพูดอย่างโมโห “ใครกล้าว่านางทึ่ม ดูซิว่าข้าจะต่อยเขาไหม อีกอย่าง บนโลกใบนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่เรียกนางว่ายัยขี้เหร่ได้ ถ้าพวกเจ้ากล้าดูถูกนางอีก ก็ระวังหัวพวกเจ้าไว้ให้ดี”

กู้ชูหน่วนยกมุมปากขดยิ้มสบายๆ

นางคล้องคอเขาเหมือนสองพี่น้องผู้ชาย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเซวียนเซวียนเด็กดีจัง รู้จักปกป้องพี่ใหญ่”

“ไสหัวไปๆๆ ดีร้ายยังไงเจ้าก็เป็นคุณหนูใหญ่ทายาทตระกูลขุนนาง ประพฤติตัวเหมาะสมหน่อยอย่ามาทำรุ่มร่าม”

“ในสายตาเจ้าเซียวหยู่เซวียน เคยสนการประพฤตตัวเหมาะสมด้วยเหรอ”

เซียวหยู่เซวียนขอสารภาพว่าฝีปากของเขาด้อยกว่ากู้ชูหน่วนมากนัก เมื่อคุยกับนาง คนตายอาจจะสามารถลุกขึ้นมาโกรธได้

เซียวหยู่เซวียนสู้กู้ชูหน่วนไม่ได้ ได้แต่ระบายความโกรธลงบนหัวบรรดาลูกหลานตระกูลขุนนาง

“มัวแต่ซื่อบื้ออะไรอยู่ ยังไม่รีบเรียกพี่ใหญ่อีก”

“อ่า……”

พวกลูกหลานตระกูลขุนนางหน้าตาขมขื่น มองเซียวหยู่เซวียนอย่างอ้อนวอน แต่เซวี่ยวอวี่เซวียนหน้าตามั่นคง พวกเขาจึงได้แต่ตะโกนอย่างไม่เต็มใจ “พี่ใหญ่”

“อืม”

กู้ชูหน่วนตอบรับส่งๆ

นางรู้ว่าเซียวหยู่เซวียนปากร้ายใจดี เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงที่พวกลูกหลานตระกูลขุนนางดูถูกนาง ดังนั้นถึงได้บังคับให้พวกเขาเรียกนางว่าพี่ใหญ่

หลิวเยว่และพวกลูกหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ต่างพากันสูดมุมปาก

นางยังจะกล้าตอบรับ ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ยอมรับนางเป็นพี่ใหญ่ได้อย่างไร

หลิวเยว่เอ่ยถาม “พี่ใหญ่ เราเรียกนางว่าพี่ใหญ่ แล้วก็เรียกท่านว่าพี่ใหญ่ด้วย ต่อไปพวกเราไม่สับสนกันเหรอ”

“นั่นสิๆ”

“เอาอย่างนี้ เรียกเขาว่าพี่รองก็ได้” กู้ชูหน่วนพูดยิ้มๆ

(พี่รองในภาษาจีนมีความหมายว่าน้องชายของผู้ชาย)

เซวี่ยวอวี่เซวียนคลั่ง “พี่รองอะไร ยัยขี้เหร่ เจ้ามันไร้ยางอาย”

“เจ้าบ้านี่ เจ้าคิดผิดเอง เกี่ยวอะไรกับข้า” นางเตะตัดขาเขา

คิดผิด?

คิดผิดอะไร?

เซียวหยู่เซวียนเพิ่งได้สติรู้แจ้ง โกรธนางจนแทบระเบิด

จะว่านางไร้ยางอายก็ถือเป็นการยกย่องนางแล้ว

“เอาล่ะๆ เสี่ยวเซวียนเซวียนอย่าโกรธเลย หรือไม่ก็ให้พวกเขาเรียกเจ้าว่าพี่เล็กแล้วกัน”

เซี่ยวอวี่เซียนจ้องนางเขม็ง

พี่เล็กอะไร เช่นนั้นเขาก็โคตรเสียหน้าสิ

“ช่างเถอะๆ งั้นก็เรียกเจ้าว่าเฮียใหญ่แล้วกัน แล้วเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้”

นี่จึงฟังดีขึ้นหน่อย

เซียวหยู่เซวียนยังคงอัดอั้น รอกู้ชูหน่วนง้อเขาต่อไป แต่คิดไม่ถึงว่านางกลับแย่งพัดในมือเขาไปพัดอย่างสบายๆ

แล้วถามว่า “งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นเกี่ยวกับอะไร”

แม่งเอ๊ย……

หรือว่ายัยขี้เหร่นี่มองไม่ออกว่าเขายังงอนอยู่หรือ

น่ารำคาญเกินไปแล้ว

ใครก็ตามที่แต่งงานกับนางในอนาคต ต้องถูกทรมานจนตายแน่นอน

หลิวเยว่และคุณชายคนอื่นๆ มองหน้ากันและพูดด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น”

กู้ชูหน่วนส่ายหน้า

ความจำในสมองของนางยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งหลายๆ อย่างก็จำไม่ได้

“งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นจัดขึ้นทุกห้าปี ผู้หญิงที่มีความรู้ความสามารถจากทั่วแคว้นสามารถเข้าร่วมได้ มันเป็นระบบแพ้คัดออก ในท้ายที่สุดมีเพียงสามสิบอันดับแรกเท่านั้นที่จะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ การแข่งขันจะดุเดือดขึ้น แต่นักเรียนของราชวิทยาลัยของเราไม่ต้องเข้าร่วมการประเมินเข้าสู่รอบสุดท้ายได้โดยตรง”

“ผู้ชนะสามอันดับแรกในรอบสุดท้ายจะได้ไปแข่งขันกับแคว้นจ้าว แคว้นฉู่ แคว้นฮั่ว และแคว้นอื่นๆ เพื่อเข้ารอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง จนคัดเลือกผู้ชนะเลิศในท้ายที่สุด”

“อย่างไรก็ตามในรอบชิงชนะเลิศแต่ละแคว้นสามารถส่งได้สูงสุดสามคน”

กู่ชูหน่วนฟังแล้วก็มึน

นี่พูดไปตั้งนานก็ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นหลักด้วย

“ถ้าชนะ ได้อะไรเป็นรางวัล” นี่ต่างหากคือสิ่งที่นางอยากรู้

“ถ้าสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ ผู้ชายจะได้รับตำแหน่งขุนนาง ผู้หญิงจะได้รับเงินจำนวนมาก ยังได้รับชื่อเสียงว่าเป็นอัจฉริยะทั้งชายและหญิงด้วย”

กู้ชูหน่วนดวงตาเป็นประกาย “รางวัลคือเงินจำนวนมากงั้นเหรอ มีเท่าไร ราชวิทยาลัยของเราสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้โดยตรงเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นขอรางวัลได้เลยไหม”

อ่า……

ทุกคนตามความคิดของนางไม่ทัน

คนที่สามารถเข้าราชวิทยาลัยได้ ยังสนใจรางวัลเล็กๆ น้อยๆ อยู่อีกเหรอ

เซียวหยู่เซวียนตะคอกอย่างหงุดหงิด “ถ้าเจ้าสามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ ฝ่าบาทจะประธานรางวัลอย่างงามแน่นอน” ตกลงไปในโถเงินหรือไง คุณหนูสามผู้สูงส่ง เห็นแต่เงินในสายตา

หลิวเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ จะมีชื่อเสียงโด่งดัง”

นางไม่ได้ต้องการมีชื่อเสียงโด่งดัง ต้องการแค่เงิน

“หากสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ จะเป็นชายและหญิงผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า อาจารย์ซ่างกวนแห่งแคว้นเย่ของเราได้อันดับหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่แล้ว หลายแคว้นต่างพยายามรับจ้างเขามาใช้ประโยชน์ แต่อาจารย์ซ่างกวนไม่ชอบการเป็นขุนนาง สุดท้ายมาเป็นอาจารย์เล็กๆ ในราชวิทยาลัยของแคว้นเย่เรา ชิๆๆ เจ้าไม่รู้หรอก ว่าเวลานั้นมีคนเสียดายมากแค่ไหน”

“อาจารย์ซ่างกวนได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสี่อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นอีกสามคนนั้น ก็เป็นอันดับหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศด้วยหรือไม่”

“ก็ใช่สิ ไม่อย่างนั้นจะมีคุณสมบัติได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสี่อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้ยังไง”

กู้ชูหน่วนเข้าใจแล้ว

ดูเหมือนว่าอาจารย์ซ่างกวนจะมีความสามารถอยู่จริงๆ

“จริงสิ แล้วเทพหมากกระดานกับเซียนกวีล่ะเป็นยังไง”

ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เทพหมากกระดานเป็นคนแคว้นฉู่ เซียนกวีเป็นคนแคว้นจ้าว สองคนนี้ก็ตามความหมายชื่อ คนหนึ่งเก่งหมากกระดาน และอีกคนหนึ่งเก่งด้านกวี ในอดีตแต่ละแคว้นจะไม่ส่งผู้ยิ่งใหญ่ที่เก่งกาจเช่นนี้ออกมา ปีนี้ก็ไม่รู้ลมเพลมพัดอะไร พวกเขาสองคนจะมา พวกเราแคว้นเย่ไหนเลยยังมีโอกาสชนะอันดับหนึ่งได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วอาจารย์ซ่างกวนบอกชัดเจนแล้ว

“ที่สำคัญที่สุดคือ เซียนกวีได้อันดับหนึ่งในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่แล้ว และเขาก็เป็นหนึ่งในสี่อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า เขาเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ ยังจะมาต่อสู้กับพวกเราอีก ช่างไร้ยางอายจริงๆ”

พูดถึงตรงนี้ แต่ละคนต่างเหมือนมีไฟสุมอก

ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ได้อันดับหนึ่งจะไม่เข้าร่วมในรอบชิงชนะเลิศอีก แต่เขา……กลับเข้าร่วมอีกครั้งอย่างหน้าด้านๆ หรือว่าอยากอวดตัวอีกครั้งก็ไม่รู้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์ซ่างกวนก็จะเข้าร่วมด้วย ถึงตอนนั้นก็เตะเขาส่งกลับแคว้นจ้าวไปเลย

“งานชุมนุมแข่งขันบุ๋นแข่งอะไรบ้างเหรอ”

“ไม่มีอะไรมากไปกว่าพิณ หมากกระดาน การเขียนตัวอักษร ภาพวาด และบทกวี บ่ายนี้เป็นชั้นเรียนทฤษฎีดนตรีของอาจารย์ซ่างกวน พวกคุณหนูที่คลั่งไคล้ต่างกำลังรออาจารย์ซ่างกวนมา”

กู้ชูหน่วนยิ้ม

ผู้ชายที่หล่อเหลาอย่างอาจารย์ซ่างกวน ผู้หญิงคนไหนจะไม่อยากมอง นางก็อยากมองเช่นกัน

ทันใดนั้น ดวงตาสีดำเข้มของกู้ชูหน่วนก็ฉายแววเจ้าเล่ห์ เข้าใกล้พวกเขาและพูดยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าอยากหาเงินไหม”

“อยากสิ เงินใครจะไม่อยากได้”

“ได้ งั้นพรุ่งนี้พวกเจ้าเอาเงินมาเยอะๆ รับรองได้เลยว่าเจ้าจะได้เงินมากมาย ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะได้เงินเต็มชามเต็มถาดแน่นอน”

“จริงหรือหลอก”

ทุกคนต่างทำหน้าทำตาสงสัย

“พี่ใหญ่จะทำร้ายพวกเจ้าได้ยังไง อยากได้เงินก็นำเงินมาเยอะๆ”

กู้ชูหน่วนยิ้มเจ้าเล่ห์ หน้าตามีแผนร้าย ทุกคนอดไม่ได้ที่จะขนหัวลุก

รอยยิ้มนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“อาจารย์ซ่างกวนมาถึงแล้ว……”

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นอาจารย์ซ่างกวนในชุดขาวบริสุทธิ์ สูงส่งอ่อนโยน ถือพิณโบราณสีดำในอ้อมแขน เดินมาอย่างสง่าผ่าเผย

ลมจากทะเลสาบพัดผ่าน พัดพาเสื้อผ้าพลิ้วไหว และพัดเอาเส้นผมสีดำสองเกลียวบนหน้าผาก ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน อาจเป็นเทพเซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ทุกเมื่อ หล่อเหลางามสง่าจนไม่เหมือนมนุษย์