ตอนที่ 35 ยาบำรุง (1)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“คุณหนู ข้ามากล่าวลาท่าน” อู๋เลี่ยนเยี่ยนเผยใบหน้าโศกเศร้า นี่ไม่ถึงกับเสแสร้งไปเสียหมด คิดไปถึงฝันที่นางเคยวาดไว้อย่างสวยงามถูกพังทลายลง นางก็แทบอดกลั้นกับความเศร้าที่พรั่งพรูออกมาในจิตใจไม่ไหว

“เลี่ยนเยี่ยน เจ้าอย่าได้เศร้าสร้อยไปนักเลย” หลิงหลงก็บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร จะกล่าวว่าไม่เสียใจที่อู๋เลี่ยนเลี่ยนจากไปก็คงไม่ถูก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางก็ผ่านอะไรมาด้วยกันเกือบๆ สามปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนได้คล้ายกับเป็นพี่เป็นน้อง ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน แต่นางก็เข้าใจ หลังจากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามคำถามนางออกมาติดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางก็มีความรู้สึกห่างเหินบางอย่างกับอู๋เลี่ยนเยี่ยน และหลังจากพบความลับระหว่างนางและแม่นมหวัง ความสัมพันธ์ของหลิงหลงและนางก็เกิดเป็นช่องว่างที่ไม่สามารถเติมเต็มได้แล้ว เช่นนั้น แม้ว่านางจะช่วยพูดออกหน้าแทนอู๋เลี่ยนเยี่ยนต่อหน้าบิดาและมารดาแล้ว กลับไม่มีเหตุผลที่ต้องพยายามยื้อนางเอาไว้อย่างจริงจัง

“ข้าจะยืนหยัดก้าวเดินต่อไป!” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าว “ไม่รู้ว่าจากกันครั้งนี้ไปแล้ว พวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกหรือไม่…คุณหนู ท่านจะต้องดูแลตัวเองดีๆ ด้วย”

“จะไม่มีโอกาสพบกันได้อย่างไร?” หลิงหลงกล่าวปลอบใจ “แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะไม่ตอบรับคำขอของข้า ไม่คิดเปลี่ยนใจ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขากำลังโมโหอยู่ รอพวกเขาอารมณ์เย็นลง ข้าจะขอให้พวกเขารับเจ้ากลับมาอีกครั้ง!”

“นั่นไม่จำเป็นแล้วคุณหนู” อู๋เลี่ยนเยี่ยนส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ “หลังจากข้ากลับไปครานี้ ที่บ้านย่อมต้องจัดการงานแต่งงานให้ข้าเป็นแน่ ตระกูลมั่งคั่งก็ดี ตระกูลไร้ทรัพย์สินเงินทองก็ดี ล้วนแต่เป็นโชคชะตาของข้า!”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลิงหลงอดไม่ไหวอยู่บ้าง ใช่แล้ว ในยามที่นางเข้าตระกูลซั่งกวนมาก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสามปีเท่านั้น ทั้งตอนที่จากไปก็กลายเป็นสาววัยแรกแย้มอายุสิบหกปี คนในตระกูลย่อมต้องขบคิดเรื่องงานแต่งงานของนาง ทั้งตระกูลอู๋ที่สามารถพึ่งพาได้ก็มีเพียงอนุภรรยาอู๋เท่านั้น แล้วนางจะแต่งออกไปกับตระกูลดีๆ ได้เช่นไร?

“นี่เป็นโชคชะตาของข้า…” อู๋เลี่ยนเยี่ยนสั่นศีรษะ กระนั้นก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ นางร้องไห้ออกมาต่อหน้าหลิงหลงนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้กลับมาจากก้นบึ้งในใจจริงๆ ดังนั้น ความโศกเศร้าที่ลึกซึ้งนั้นจึงได้แพร่กระจายไปหาหลิงหลงอย่างทันที

“เจ้าอย่าได้กังวล ข้าย่อมต้องขอร้องท่านพ่ออีกครั้งให้เขายอมถอนคำสั่ง!” หลิงหลงรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้าง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท้ายที่สุดอู๋เลี่ยนเยี่ยนก็นับว่าเป็นสหายของตน

เพียงแค่ขอให้นายท่านถอนคำสั่ง แต่ไม่ใช่ทำให้นายท่านถอนคำสั่งได้จริงๆ? อู๋เลี่ยนเยี่ยนหมดหวังอย่างถึงที่สุด รู้ว่าทำได้เพียงต้องทุ่มสุดตัวในการเดิมพันครั้งสุดท้ายเท่านั้น มิเช่นนั้น ก็คงไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร

“หลิงหลง…” อู๋เลี่ยนเยี่ยนน้ำตาไหลพรั่งพรูราวกับสายฝน นางประคองมือหลิงหลงไว้ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเรียกชื่อของท่าน และบางทีก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว…ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกลำบากใจ ไม่อยากให้ท่านต้องมาลำบากช่วยข้า ท่านปล่อยให้ข้าจากไปเงียบๆ จะเป็นการดีกว่า!”

“ขอโทษ…ข้าไม่ควรสงสัยเจ้า!” หลิงหลงก็น้ำตาร่วงหล่นอย่างอดไม่ไหว โบราณกล่าวไว้ว่า คำพูดของคนใกล้ตายล้วนแต่จะกล่าวคำพูดดีๆ ออกมา เลี่ยนเยี่ยนต้องออกจากตระกูลซั่งกวนไป นางคงไม่อาจหลอกตนได้หรอก! จู่ๆ หลิงหลงก็เกลียดความไม่เด็ดขาดของตน เหตุใดนางจึงคิดเชื่อคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เพิ่งจะเจอหน้ากันเพียงครั้งแรก กลับมาสงสัยเพื่อนสนิทที่คบหากันมามากกว่าสามปี?

สงสัย? ท่านป้าพูดไว้ไม่มีผิด เป็นคุณหนูตระกูลเยี่ยนที่พูดอะไรบางอย่างทำให้หลิงหลงเกิดความแคลงใจ จึงได้ระแคะระคายนาง

“ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรข้าก็ต้องไป ข้ามีเรื่องอยากขอร้องท่านเป็นครั้งสุดท้าย ท่านรับปากข้าได้หรือไม่?” อู๋เลี่ยนเยี่ยนวิงวอนทั้งน้ำตาอาบใบหน้า

“เจ้าว่ามา ข้าย่อมรับปากเจ้าแน่!” หลิงหลงไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย ยามนี้ในสายตานางล้วนมองว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนเป็นคนดีเท่านั้น

“ข้าอยากพบคุณชายใหญ่สักครั้ง เพียงแค่เห็นหน้าก็เพียงพอแล้ว” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวอย่างปวดใจ “บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้พบกับคุณชายใหญ่แล้ว”

อยากพบพี่ชายใหญ่? หลิงหลงลังเลอยู่บ้าง ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นไม่ชอบใจแน่ หากจะให้อู๋เลี่ยนเยี่ยนไปปรากฏตัวต่อหน้า

“ข้าไม่อยากจะทำให้ท่านลำบาก และก็ไม่คิดจะพบหน้าคุณชายใหญ่ตรงๆ ข้ากลัวว่าหลังจากข้าเห็นเขาแล้ว ข้าจะเสียอาการร้องไห้ออกมาแทน แม้แต่ความประทับใจครั้งสุดท้ายก็ไม่อาจหลงเหลือไว้ในหัวใจของคุณชายใหญ่ได้!” อู๋เลี่ยนเยี่ยน กล่าวทั้งน้ำตา “ข้าแค่อยากขอให้ท่านพาข้าไปแถวๆ เรือนตะวันออก ให้ข้าสามารถเห็นคุณชายใหญ่จากที่ไกลๆ ได้ เพียงแค่มองครั้งหนึ่งก็พอแล้ว…จากนั้น ข้าก็จะจากไปอย่างเงียบๆ ไม่ทำให้คุณชายใหญ่ตกใจอันใด…”

เพียงแค่มองดูไกลๆ เท่านั้น? หลิงหลงใจอ่อนขึ้นมา “ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าไปพบพี่ชายใหญ่ตรงๆ”

“ไม่…ข้าไม่อาจเข้าใกล้คุณชายใหญ่จนเกินไปได้ หากเป็นเช่นนั้น ถ้าต้องยอมตายข้าก็คงไม่อาจยอมออกไปจากที่นี่” อู๋เลี่ยนเยี่ยนส่ายศีรษะ “ข้าอยากมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น ให้เขาได้สลักลึกอยู่ภายในใจจิตใจของข้า เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว”

“เจ้า…” หลิงหลงปล่อยน้ำตาให้ไหลรินเป็นเพื่อนนาง “ไม่มีปัญหา ข้าจะพาเจ้าไป!”

“ขอบคุณท่านมาก!” อู่เลี่ยนเยี่ยนขอบคุณด้วยใจจริง ใบหน้าปรากฏความสดใสขึ้นมา พาให้หลิงหลงรู้สึกเจ็บปวดในใจอยู่บ้าง

“คุณหนู…” ม่านชิงขัดหลิงหลงไว้ “วันนี้ท่านเพิ่งจะถูกนายท่านและฮูหยินตำหนิมา หากเรื่องที่ท่านไปเจอคุณชายใหญ่ถูกคนรู้เข้าก็จะถูกสั่งสอนยกใหญ่อีกนะเจ้าคะ”

“หลีกไป!” หลิงหลงพอดื้อรั้นขึ้นมาก็ทำให้คนปวดหัวยิ่งกว่าจิงอิ๋งเสียอีก

“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด” อู๋เลี่ยนเยี่ยนกล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ “ม่านชิงทำเช่นนั้นก็เพราะหวังดีต่อเจ้า อย่างไรข้าก็ต้องไป ไม่ควรจะก่อเรื่องให้เจ้าติดร่างแหไปด้วย”

“ไม่เป็นไร ข้าไปพบท่านพี่ไม่นับเป็นเรื่องยากเย็นอะไร ไม่มีใครจะจับตามองอยู่แล้ว!” หลิงหลงกล่าวปลอบนาง ทั้งยังตัดสินใจทอย่างแน่วแน่ที่จะทำให้นางสมปรารถนา

“อย่างไรก็…” จู่ๆ อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็ชะงักไป มองม่านจิ้งที่ยกโถเครื่องเคลือบเข้ามา ก็คล้ายจะคิดอะไรบางอย่างได้

“ในมือของเจ้าคืออะไร?” หลิงหลงตากระจ่างวาบ แค่หาข้ออ้างก็ได้แล้วมิใช่หรือ?

“ยาบำรุงที่ส่งมาจากในครัวเจ้าค่ะ กล่าวว่าเป็นน้ำแกงไก่ตุ๋นมะระสมุนไพรอะไรเนี่ยแหละเจ้าค่ะ ยกมันออกมาแล้ว คุณหนูดื่มสักหน่อยนะเจ้าคะ” ม่านจิ้งกล่าวทั้งยิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นของดีนะเจ้าคะ มีฤทธิ์คลายร้อน บำรุงรักษาตับ ทั้งสามารถขจัดธาตุไฟเข้าแทรกตับได้ด้วย”

“ตับของข้าร้อนมากอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี

“คุณหนู ท่านอย่าลืมสิเจ้าคะ” ม่านจิ้งกล่าวอธิบายอย่างยิ้มๆ “ฤดูใบไม้ผลิต้องบำรุงตับ ฤดูร้อนต้องดูแลหัวใจ ฤดูใบไม้ร่วงต้องรักษาปอด ฤดูหนาวต้องบำรุงไต ในครัวก็ตุ๋นน้ำแกงบำรุงตามสี่ฤดูกาลเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าตับของท่านร้อนนะเจ้าคะ”

“ทางด้านคุณชายใหญ่เอาไปส่งหรือยัง?” หลิงหลงถามอย่างสนใจ

“บ่าวถามไปเพียงประโยคเดียว เห็นบอกว่าตระเตรียมไว้ให้นายท่าน ฮูหยินแล้วก็คุณหนูอีกสามท่านเท่านั้น ส่วนของคนอื่นๆ ก็ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ” ม่านจิ้งสั่นศีรษะ “แต่ไหนแต่ไรคุณชายใหญ่ก็ไม่กินยาบำรุง คาดว่าคงไม่มีส่วนของคุณชายด้วยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็เอาไปส่งให้พี่ชายใหญ่เถิด” หลิงหลงหาข้ออ้างได้แล้ว “ม่านจิ้ง เจ้ายกน้ำแกงเข้าไปแทน สุราไม่ต้องแล้ว”

“คุณหนู แต่นี่เตรียมไว้เพื่อคุณหนูนะเจ้าคะ!” ม่านจิ้งขมวดคิ้ว

“อย่าคิดมาก มาเถิด” หลิงหลงหยัดกายขึ้นทันที คล้อยหลังก็ไม่ลืมกล่าวกับอู๋เลี่ยนเยี่ยน “พวกเราเข้าไปด้วยกัน พอถึงในเรือนพี่ชายใหญ่แล้วเจ้าก็ดูเองว่าต้องทำอย่างไร!”

“อื้ม” อู๋เลี่ยนเยี่ยนพยักศีรษะ จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหมอบตัวไปกับพื้น คำนับต่อหลิงหลง “คุณหนู ขอบคุณท่านสำหรับเรื่องทั้งหมด!”

“เจ้าทำอะไรกัน รีบลุกขึ้นมาเถอะ” หลิงหลงรีบพยุงนางขึ้นมาอย่างลนลาน

“คุณหนู หลังจากข้าไปพบคุณชายก็จะกลับไปเก็บของ พรุ่งนี้คงไม่มาลาท่านแล้ว ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นอย่างไรก็คงจะตัดใจจากไปไม่ได้” อู๋เลี่ยนเยี่ยนฝืนยิ้มออกมา ทั้งเย็นชาและงดงามจนทำให้คนรู้สึกใจสลาย

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!” หลิงหลงก็ปวดใจ “เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป รอหลังจากงานแต่งงานพี่ชายใหญ่สิ้นสุดแล้ว ข้าย่อมต้องให้คนไปรับเจ้ากลับมาแน่ พวกเราก็ยังจะเป็นเหมือนเดิม หัวเราะพูดคุยด้วยกันทุกๆ วัน”

“หวังว่าเลี่ยนเยี่ยนจะโชคดีอย่างนั้น!” อู่เลี่ยนเยี่ยนก้มหน้าลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่หางตา ทั้งยังเพราะปกปิดสีหน้าที่ข่มกลั้นความดีใจไว้ไม่ได้

—————————

“พี่ใหญ่!”

“ดึกขนาดนี้แล้ว เจ้ามาทำไม?” ซั่งกวนเจวี๋ยวางพู่กันในมือลง สงสัยเป็นอย่างมากว่าหลิงหลงมาทำอะไร ปกติแล้วคงจะมีเพียงจิงอิ๋ง เด็กลิงป่าผู้นั้นคนเดียวที่มักจะมาก่อกวนเขาในเวลานี้

“พี่ใหญ่ไม่ต้อนรับข้าอย่างนั้นหรือ?” หลิงหลงถามยิ้มๆ นางส่งสายตาเป็นนัยให้ม่านชิงยกยาบำรุงไปวางบนโต๊ะซั่งกวนเจวี๋ย ส่วนตัวนางก็เดินเข้าไปดูว่าซั่งกวนเจวี๋ยกำลังเขียนอะไรอยู่

“หือ? ครานั้นที่เก็บมันเทศกัน ไม่พบกันเพียงหนึ่งวัน เหมือนคลาดกันถึงสามเดือน ครานั้นที่เก็บพืชผักกัน ไม่พบกันเพียงหนึ่งวัน เหมือนคลาดกันถึงสามสารทฤดู ครานั้นที่เก็บสมุนไพรกัน ไม่พบกันเพียงหนึ่งวัน เหมือนคลาดกันถึงสามปี ท่านพี่ นี่กำลังคิดถึงใครกันแน่เนี่ย?” หลิงหลงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย “อะไรกัน เมื่อเช้าเพิ่งจะส่งพวกคุณหนูว่าที่พี่สะใภ้ไปเรือนหิมะสุขใจ ยังไม่ทันค่ำดี พี่ใหญ่ก็คะนึงหาเสียแล้วอย่างนั้นหรือ? เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนไหนที่ไม่เห็นหนึ่งวัน เหมือนไม่เห็นกันสามเดือน แล้วคนไหนไม่เห็นหนึ่งวัน เหมือนไม่เห็นกันสามปี?”

ที่แท้ซั่งกวนเจวี๋ยก็เขียนกลอนรักนี่เอง ทั้งยังเป็นกลอนประเภทรักใคร่ลึกซึ้ง หวานเลี่ยนจำพวกนั้น!

“ไม่เกี่ยวกับพวกนาง ข้าเพียงเขียนไปพลางๆ ก็เท่านั้น!” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้สนใจการหยอกเย้าของหลิงหลงมากนัก มองเห็นบนโต๊ะมีโถเครื่องเคลือบ ก็กล่าวทั้งขมวดคิ้ว “นั่นคืออะไร?”

“เรียกว่าอะไรนะ…ม่านจิ้ง เจ้าพูดสิ” หลิงหลงจำชื่อที่เรียกยากนั้นไม่ได้ เวลานี้ภาระจึงตกไปที่ม่านจิ้งที่อยู่ด้านข้างแทน

“คุณชายใหญ่ น้ำแกงไก่ตุ๋นมะระสมุนไพรเจ้าค่ะ มีฤทธิ์คลายร้อน บำรุงรักษาตับ ทั้งขจัดธาตุไฟเข้าแทรกตับ คุณหนูของพวกเราเป็นห่วงคุณชายจะเหนื่อยกับงานแต่งมากเกินไป จึงตั้งใจนำมาให้เจ้าค่ะ” ม่านจิ้งกล่าวอย่างฉับไว

“อ้อ? วันนี้เหตุใดจึงคิดอยากจะเอายาบำรุงมาให้ข้าเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองหลิงหลงอย่างไม่เข้าใจ ปกตินางก็ไม่ได้เอาใจใส่เขาถึงเพียงนี้

“ม่านจิ้งก็บอกไปแล้ว ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่ ท่านเหนื่อยกับกับงานแต่งงานเกินไปแล้ว ท่านลองดูตัวเองเถิด แม้แต่ดวงตาก็ยังมองเห็นเส้นเลือดแดงก่ำ นั่นก็เพราะไฟในตับร้อนเกินไป ดื่มยาบำรุงนี่จึงจะดี!” หลิงหลงยิ้มตอบ

“กล่าวความจริง” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่อาจถูกนางใช้ข้ออ้างหลอกได้หรอก เรื่องที่ผิดปกติเช่นนี้ย่อมต้องมิพ้นมีอะไรแฝงอยู่ การกระทำของหลิงหลงก็ดูไม่เหมือนกับเช่นเคย

“คือว่า…” หลิงหลงกลอกตาไปมา “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าไปเรือนสดับวายุมา”

“เจ้าไปทำอะไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยสีหน้าดำคล้ำ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภรรยาที่ต้องแต่งเข้ามาในตระกูลเร็วๆ นี้ เป็นความรับ ผิดชอบที่เขาไม่อาจสลัดทิ้ง ไม่ว่าจิงอิ๋งจะพูดว่านางดีขนาดไหน เขาก็ไม่อาจยอมรับอย่างเต็มใจได้หรอก

“ไม่ใช่ว่าข้าอยากรู้อยากเห็นอันใด” หลิงหลงเห็นใบหน้าที่จู่ๆ ก็มืดมนของเขา ในใจจึงร้อนรนขึ้นมา นำโถเครื่องเคลือบนั้นส่งให้ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างเอาใจ ทั้งเผยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านดื่มน้ำแกงก่อน ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังดีหรือไม่?”

ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ ก่อนจะรับโถนั้นมา ดื่มรวดเดียวจนหมด ไม่เหลือเวลาให้หลิงหลงได้คิดแม้แต่น้อย

“ข้าก็เพียงแค่อยากรู้ จริงๆ นะ!” หลิงหลงเห็นใบหน้าของเขายิ่งดำมืดขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ทำได้เพียงกล่าวแต่โดยดี “ก็ได้! ข้าอยากเห็นว่านางมีดีที่ตรงไหน ถือสิทธิ์อันใดจึงมาแต่งงานกับพี่ใหญ่ที่ทั้งฉลาดทั้งมีความสามารถที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ และก็อยากไปดูว่านางซื้อใจจิงอิ๋งไปได้อย่างไรกัน”

“แล้วเป็นอย่างไรเล่า?” ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจ เขารู้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ “ดีเหมือนที่จิงอิ๋งกล่าวไว้หรือไม่?”

“นางงดงามมากๆ กล่าวว่างามที่สุดในใต้หล้าก็ไม่เกินไปแต่อย่างใด อีกทั้งนางยังมีเสน่ห์ ยามที่ข้าไปพบนาง ยังรู้สึกหงุดหงิดใจคล้ายไฟสุมอก กระนั้นไม่เพียงไม่ได้ระบายออกไป แต่ยังถูกนางล่อลวงจนสงบจิตสงบใจลงได้!” หลิงหลงในยามนี้ก็รู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ นางไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรักษาท่าทีอย่างไรกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดี สิ่งเดียวที่สามารถยอมรับได้คือ เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนงามที่สุดในใต้หล้าที่ยากจะได้พบคนหนึ่ง ทั้งสติปัญญาและรูปลักษณ์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

“แค่นี้หรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้มีใจจะพูดคุยเรื่องว่าที่ภรรยากับน้องสาวมากนัก

“อื้ม” หลิงหลงพยักหน้า นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอยู่บ้าง

“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยไล่คนอย่างไม่เกรงใจ

“เช่นนั้นก็ได้!” อย่างไรเป้าหมายก็สำเร็จแล้ว หลิงหลงก็ไม่คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองลำบากอีกแล้ว เพียงแต่ นางชำเลืองมองรอยหมึกที่เพิ่งจะเขียนกลอนไฉ่เกอ[1]แห้งไปเมื่อสักครู่ด้วยความอยากรู้ ผู้ที่ทำให้พี่ชายที่ช่างเลือกของเขา ‘ไม่ได้เห็นหนึ่งวัน เหมือนคลาดกันสามปี’ ‘หญิงสาวในกลอนไฉ่เกอ’ คนนั้น เป็นนางสวรรค์ชั้นฟ้าที่ใดกัน? ไม่ยักจะเคยได้ยินพี่ใหญ่ผูกสัมพันธ์กับหญิงสาวคนไหนมาก่อน!

ซั่งกวนเจวี๋ยพิงอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง มองพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่บนฟ้า ลึกลงไปในจิตใจกลับแห้งเหี่ยว  แววตาของหลิงหลงเขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรกัน เพียงแต่…เฮ้อ…

ที่ไกลๆ นั้น อู๋เลี่ยนเยี่ยนหลบอยู่ในพุ่มดอกไม้จ้องมองซั่งกวนเจวี๋ยที่อยู่ตรงหน้าต่างชั้นสอง ในใจร้อนรนเป็นอย่างมาก เหตุใดยังไม่เกิดอะไรขึ้นล่ะ เหตุใดจึงไม่มีอาการคล้ายจะคลุ้มคลั่งแม้แต่น้อย คงไม่ใช่ว่า เขาไม่ได้ดื่มยาบำรุงที่ผสมอะไรบางอย่างนั่นลงไปหรอกนะ…

——————————————————

[1] กลอนไฉ่เกอ เป็นบทกลอนของหวังเฟิง มีใจความเกี่ยวกับการรำลึกถึงคนรัก