บทที่ 26 วิกฤตตระกูลหลี่

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 26 วิกฤตตระกูลหลี่

หลังจากพวกนักเลงหนีหายกันไปหมดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงส่งข้อความไปให้กับเฉิงกัวอัน

ข้อความที่ส่งไปนั้นมีเพียงคำสั้น ๆ ‘บริษัทเว่ยไห่’

ไม่ว่ายังไงเขาก็รับเงินมาแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นความรับผิดชอบที่เขาจะให้ข้อมูลกับเฉิงกัวอันเพิ่มเติม

หลังจากส่งข้อความเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ทำการเปลี่ยนล้อของรถอย่างรวดเร็ว และท้ายที่สุดเขาก็พาถวนถวนไปส่งโรงเรียนทันเวลาพอดี

แต่แล้วหลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานเดินทางไปถึงบริษัทของหลี่หรง เขากลับพบว่าตอนนี้เธอกำลังรอเขาอยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“พี่ไปกับฉันที!”

“เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้มีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น

“เอาไว้ไปถึงแล้วพี่ก็จะรู้เอง ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามากนัก!”

เมื่อพูดจบหลี่หรงก็ดึงแขนอวี้ฮ่าวหรานให้เดินไปขึ้นรถของเธอ และขับตรงไปยังบ้านหลักตระกูลหลี่ทันที

ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงบ้านหลักตระกูลหลี่ ซึ่งในตอนนี้มีคนจำนวนมากได้มาถึงก่อนแล้ว

“พวกเราไปหาที่นั่งกันก่อน”

หลี่หรงพาอวี้ฮ่าวหรานไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่กับเธอ

ตั้งแต่เหตุการณ์ล่าสุดที่อวี้ฮ่าวหรานรักษาหลี่ชงซาน ผู้คนของตระกูลหลี่ต่างก็ให้การยอมรับในตัวอวี้ฮ่าวหรานกันแทบทุกคน ดังนั้นรอบนี้จึงไม่มีใครมองเขาด้วยสายตาดูแคลนอย่างเปิดเผยอีก

“นี่มันแย่จริง ๆ! จากข่าวที่ฉันได้รับมาดูเหมือนว่าบริษัทชงซานจะรอดยากแน่นอนรอบนี้”

“เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง! ไม่ได้ ถึงแม้ว่าฉันจะแยกตัวมาแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องช่วย!”

“พี่แยกตัวออกไปแล้วพี่ไม่ต้องห่วงอะไรหรอก และถ้าหากว่าข่าวลือเป็นจริง บริษัทชงซานล่มขึ้นมาอย่างน้อย ๆ ตระกูลหลี่ก็ยังมีบริษัทของพวกเราคอยพยุง…”

ในทันทีที่หลี่หรงและอวี้ฮ่าวหรานนั่งลง พวกเขาก็ได้ยินบรรดาญาติ ๆ ผู้ใหญ่ออกความเห็นกัน ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้ได้ทันทีว่าปัญหาที่หลี่หรงพูดถึงมันเกี่ยวกับบริษัทของพ่อตาเขา

อย่างไรก็ตามหลี่หรงเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่านี่มันคือเรื่องอะไร เพราะเธอได้รับโทรศัพท์เรียกตัวให้มาด่วนเพราะว่าพ่อของเธอมีปัญหาก็แค่นั้น

หลังจากนั่งรอกันไปได้สักพัก หลี่ชงซานก็เดินลงมาจากชั้นสอง

“ขอบคุณทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้ยินข่าวลือกันมาแล้ว ซึ่งฉันขอพูดตรงนี้เลยว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง บริษัทของฉันกำลังประสบปัญหาใหญ่!”

“ตอนนี้บริษัทคู่ค้าของฉันทั้งรายใหญ่และรายย่อยต่างพากันยกเลิกสัญญาความร่วมมือและซื้อขายในเวลาไล่เลี่ยกันตั้งแต่เมื่อวาน จนทำให้สภาพคล่องทั้งเงินทุนและสินค้าของบริษัทในตอนนี้อยู่ในภาวะวิกฤต ฉะนั้นตอนนี้ฉันจึงต้องขอให้ทุกคนร่วมมือกันเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้”

หลังจากหลี่ชงซานพูดจบประโยค บรรดาผู้คนของตระกูลหลี่ที่ฟังอยู่ต่างก็ตกตะลึงและคุยกันเสียงดังระงม

“ชงซานตอนนี้กำลังเดือดร้อนจริง ๆ ด้วย ไม่งั้นเขาคงไม่เอ่ยปากขอให้เราช่วยแบบนี้!”

“แต่ว่าบริษัทของฉันตอนนี้ก็อยู่ในช่วงขาลงเหมือนกัน ฉันคงไม่สามารถดึงเงินทุนของบริษัทมาช่วยได้หรอก…”

“…”

คำพูดบอกปัดแนว ๆ นี้ดังขึ้นเต็มห้องโถงไปหมด สะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้วตระกูลหลี่นั้นไม่เป็นปึกแผ่นกันสักเท่าไหร่

“เหอะ!”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตระกูลหลี่ของฉันจะตกต่ำได้ถึงขนาดนี้!”

เสียงตะโกนดังลั่นนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบลงกันหมด

ทุกคนต่างมองไปที่คนพูด ซึ่งเป็นชายชราผมหงอกเต็มหัว คนคนนี้คืออารองของหลี่ชงซาน ซึ่งเป็นคนที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างมากในตระกูลหลี่ หลี่อิงไห่

“ถึงแม้ว่าเรื่องบริษัทชงซานประสบปัญหาจะเป็นเรื่องใหญ่และพวกเราเป็นญาติกัน แต่พวกเราก็แยกกันออกไปทำธุรกิจนานแล้ว และไม่มีกฎของตระกูลข้อไหนที่กำหนดว่าคนอื่น ๆ จำเป็นต้องช่วยเหลือบริษัทชงซานเมื่อถึงยามคับขัน ดังนั้นฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคงไม่ขอช่วยเหลือบริษัทชงซานในคราวนี้แน่!”

หลี่อิงไห่แจ้งจุดยืนของตัวเองอย่างชัดถ้อยชัดคำ ราวกับเตรียมคำพูดเหล่านี้มาก่อนแล้ว

“และอีกอย่าง ฉันขอแนะนำทุกคนว่าอย่าได้ลากอนาคตบริษัทของตัวเองมาจมดิ่งไปกับเรื่องนี้ด้วย!”

เมื่อได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้ของหลี่อิงไห่ สีหน้าของหลี่ชงซานก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่นอย่างช่วยไม่ได้

ในตระกูลหลี่ หลี่ชงซานนั้นไม่ลงรอยกับอารองของเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาเองก็ไม่นึกว่าพอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้อารองของเขาจะแทงกันขนาดนี้จริง ๆ

“อาทำแบบนี้มันเลือดเย็นเกินไปหน่อยหรือเปล่า!” หลี่ชงซานตะคอกกลับด้วยสีหน้าเดือดดาล เขาไม่นึกเลยว่าหลี่อิงไห่นอกจากจะไม่ช่วยเขาแล้วยังพูดให้คนอื่นไม่ช่วยเขาอีกต่างหาก ซึ่งถ้าหากคนในตระกูลของเขาไม่ช่วยเขาแล้วล่ะก็ อีกไม่กี่วันบริษัทของเขาคงถูกคนอื่นฮุบไปอย่างแน่นอน!

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันเนี่ยนะเลือดเย็น? แกลืมไปแล้วหรือไงว่าก่อนหน้านี้พวกเราได้แบ่งทรัพย์สินของตระกูลกันไปเรียบร้อยแล้ว และสัญญาต่อกันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของกันและกัน ดังนั้นทำไมฉันจะต้องช่วยแกด้วย ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรแกสักหน่อย!” หลี่อิงไห่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“อาทำแบบนี้ไม่กลัวบ้างเหรอว่าเรื่องแบบนี้มันอาจจะเกิดขึ้นกับอาบ้าง!” หลี่ชงซานตะคอกกลับ พยายามข่มอารมณ์สุดฤทธิ์เพื่อที่จะไม่พุ่งเข้าไปต่อยหน้าอาของตัวเอง

“เหอะ! ไม่มีทางหรอก ฉันไม่มีลูกสาวจอมสร้างเรื่องเหมือนแกสักหน่อย!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หลี่ชงซานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจนใจ วิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันจะต้องเป็นผลพวงจากเรื่องลูกสาวของเขาแน่นอน

หลี่ชงซานหยุดเถียงกับหลี่อิงไห่ และเงียบไปสักพักเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเมื่อเขาสงบอารมณ์ได้บ้างแล้วเขาก็หันไปหาคนอื่น ๆ

“ทุกคน ฉันคิดว่าทุกคนคงน่าจะพอเดาได้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันเกิดจากสาเหตุอะไร ถึงแม้ว่าลูกสาวของฉันจะทำตัวไร้เหตุผล แต่ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าบริษัทชงซานนั้นจะล้มไม่ได้ หากบริษัทชงซานล้มไปมันจะเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของตระกูลหลี่ จนถึงขนาดที่ในอนาคตตระกูลของเราคงไม่สามารถแข่งขันกับตระกูลใหญ่ ๆ ตระกูลไหนได้อีก! ดังนั้นฉันขอร้อง โปรดช่วยบริษัทของฉันก่อน เรื่องอื่นพวกเราค่อยว่ากันทีหลัง”

หลี่ชงซานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขอความเห็นใจอย่างจริงใจ แต่ในใจของเขารู้ดีว่าหลังจากที่อารองของเขาประกาศออกมาว่าจะไม่ช่วยแถมอ้างเหตุผลที่ชอบธรรมขึ้นมาอีกต่างหาก ความหวังของเขามันจึงริบหรี่เป็นอย่างมาก

“ชงซานไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยนา แต่ตอนนี้บริษัทของฉันเองก็แย่เหมือนกัน ฉันคงช่วยนายไม่ได้จริง ๆ”

“เฮ้ แกพูดแบบนี้ได้ยังไง! ถ้าบริษัทชงซานล้มไปแล้วตระกูลหลี่ของเราจะไปสู้กับใครเขาได้อีก?”

“…”

ตอนนี้ผู้คนของตระกูลหลี่ต่างแบ่งกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการที่จะช่วยและอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา ส่วนอีกฝ่ายที่น้อยกว่ามากก็คือพวกที่อยากจะช่วยหลี่ชงซาน

อย่างไรก็ตามฝั่งที่อยากจะช่วยนั้นบริษัทของพวกเขาเล็กเกินไปและมีเงินทุนไม่มากเท่าไหร่ ต่อให้พวกเขาช่วยจริง ๆ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกซะจากหลี่อิงไห่จะร่วมช่วยด้วย ซึ่งบริษัทของหลี่อิงไห่นั้นใหญ่เป็นอันดับสองของตระกูล หากหลี่อิงไห่ช่วยบริษัทชงซานก็พอมีทางรอด

แต่น่าเสียดายที่เรื่องแบบนั้นมันคงไม่เกิดขึ้น…

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไงชงซาน แกเห็นไหมว่าตอนนี้ในตระกูลหลี่มีคนรักแกน้อยแค่ไหน? การที่แกปล่อยให้ลูกสาวของแกไปแต่งงานกับไอ้คนไร้ค่านั่นมันทำให้ตระกูลอู๋โจมตีเรามาตลอด ตอนนี้แกรู้แล้วหรือยังว่าการตัดสินใจครั้งนั้นของแกมันผิดพลาดมากขนาดไหน!”

เมื่อเห็นว่ามีคนสนับสนุนหลี่ชงซานน้อยมาก หลี่อิงไห่ก็รู้สึกเบิกบานจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้น

ในอดีตเมื่อตอนแบ่งทรัพย์สินของตระกูล มันเป็นเพราะว่าหลี่ชงซานมีฐานะเป็นผู้นำตระกูล ดังนั้นหลี่ชงซานจึงได้รับส่วนแบ่งมากกว่าใคร ๆ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเจ็บใจเป็นอย่างมากที่ตัวเองได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าคนรุ่นหลัง และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลี่ชงซานมาโดยตลอดจนตระกูลแบ่งฝักแบ่งฝ่ายออกเป็นสองฝั่ง

หลี่ชงซานเอ๋ยหลี่ชงซาน หากในตอนนั้นแกบังคับให้หลี่เม่ยลูกสาวของแกไปแต่งงานกับตระกูลอู๋ป่านนี้แกคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเวทนาแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า

ในสายตาของหลี่อิงไห่ ลูกหลานทุกคนในตระกูลนั้นมีค่าแค่เพียงตัวหมากเท่านั้น เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของใครเลยสักคนนอกจากตัวเอง

ทางด้านของหลี่ชงซานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่

ในตอนนั้นก่อนที่ลูกสาวของเขาจะแต่งงานกับอวี้ฮ่าวหราน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับลูกสาวตัวเองอย่างรุนแรง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงลงไปเพราะเห็นแก่ความสุขของลูก ไม่เช่นนั้นการแต่งงานของลูกสาวเขากับอวี้ฮ่าวหรานจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน

ในสายตาของเขาถึงแม้ว่าลูกสาวของเขาจะทำไม่ถูกใจ และมันจะกลายเป็นผลเสียต่อตระกูลของเขาเอง แต่เขาก็คิดว่าความสุขของลูกสาวเขาสำคัญที่สุด