ครอบครัวท่านยายหวังถือว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในหมู่บ้าน
สามีของนาง ก่อนเสียชีวิตเคยเป็นพ่อค้าหาบเร่ และยังมีฝีมือในการสานตะกร้า
หลังจากที่สามีเสียชีวิต บุตรชายคนโตก็สืบทอดรับช่วงเป็นพ่อค้าหาบเร่และทำกิจการจนรุ่งเรืองขึ้น เขารับซื้อไข่ไก่ ตลอดจนผลผลิตทางการเกษตรไปขายในตัวเมือง ได้กำไรจากส่วนต่างในการขายสินค้า
บุตรชายคนรองกับคนเล็ก รับผิดชอบงานถมดินที่บ้าน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว บุตรชายคนโตของท่านยายหวังมีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าคนในหมู่บ้านมากหน่อย
เขากับเถียนสี่ฟาเพิ่งกลับมาจากการล้อมรั้วเสร็จ และไปจับกระต่ายมา “ท่านแม่ คนอื่นยังส่งของกินไปให้ครอบครัวซ่ง ท่านทำไมถึงไม่ส่งอะไรไปให้บ้าง ตอนนี้บนเขามีเพียงเราเจ็ดครอบครัวเท่านั้น ทำอะไรก็ต้องสามัคคีกันไว้ ท่านทำแบบนี้ จะทำให้พวกเราเสียหน้าได้”
ท่านยายหวังเบ้ปากไม่ตอบอะไร
นี่ไม่ใช่เพราะก่อนหน้านั้นท่านย่าหม่าเปิดฉากด่าก่อนหรอกหรือ
อีกอย่าง นางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้อะไร ในอ่างน้ำมีถ่านครึ่งถุงของบ้านนั้น นางเองก็พลอยได้ใช้น้ำกรองนั่นไปด้วย เพียงแต่ว่านางอยากจะรอ แต่รออะไรนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากจะรอดูก่อน
โดนบุตรชายคนโตกล่าวเช่นนี้ นางก็กำลังมองดูถุงต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเปิดออกมาดูก็คิดเสียดาย เปิดดูอันนั้นก็เสียดาย คิดไปคิดมา นางจึงวิ่งไปที่รถลาก ตักผักดองไปให้ซ่งฝูเซิง
บุตรชายคนโตตะโกนออกมา “ท่านแม่ แบ่งไข่ไก่ไปให้ด้วยสิ”
“อะไรนะ? ไม่ได้ ค่าน้ำอะไรจะแพงขนาดนี้ ข้าไม่ดื่มแล้ว”
บุตรชายคนโตมองโดยรอบ เห็นคนอื่นต่างนั่งกินข้าวล้อมรอบกองไฟ คาดว่าคงไม่ได้ยิน
เขากระซิบเบาๆ
“ท่านแม่ ท่านอย่าคิดว่าพวกเรามีสภาพเช่นนี้แล้ว ซ่งฝูเซิงจะมีสภาพไม่แตกต่างจากพวกเรามากนัก จริงๆ มันแตกต่างกันมากเลยนะ เขาเป็นถึงถงเซิงที่ทางราชสำนักยอมรับ ตัวเขามีหนังสือรับรอง…
…พวกเราหลบพวกทหารอยู่ที่นี่หลายวัน หากสามารถกลับไปหมู่บ้านได้ก็อาจจะดีหน่อย เพราะพวกเราไม่ได้ร้องขออะไรจากเขา ไม่มีความสัมพันธ์กันก็ไม่เป็นไร…
…แต่หากกลับหมู่บ้านไปไม่ได้ พวกเราก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าเมืองอื่นเลย ประตูเมืองมีทหารคอยเฝ้าอยู่ไม่ให้คนเพ่นพ่านเข้าออกได้ง่าย ทหารเฝ้าประตูเมืองจะรู้หรือว่าพวกเรามาทำอะไร? เป็นโจรกบฏรึเปล่าก็ไม่รู้…
…นี่จึงจำเป็นต้องให้ซ่งฝูเซิงช่วยการันตีให้พวกเราไง เขานำหนังสือออกมา ท่านอย่ามองแค่ว่าสถานการณ์ภายนอกวุ่นวาย คุณงามความดีของเขายังมีอยู่ ไปที่ไหนก็สามารถยกมาใช้ได้ดีกว่าพวกเราอีก”
ท่านยายหวังฟังจบก็ถึงกับนิ่งไป นางเสียใจมากที่ทะเลาะกับท่านย่าหม่า และยังทำให้ท่านย่าหม่าได้ยินนางนินทาซ่งฝูเซิง
ว่าแต่ว่า นางคงไม่ได้พูดอะไรจนเกินไปใช่ไหม?
“นี่น้องสาว น้องสาว? บ้านเจ้ากินข้าวแล้ว” ท่านยายหวังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม นางถือชามผักดองมานั่งอยู่กับท่านย่าหม่า เริ่มพูดคุยกัน
“บ้านเจ้ามีน้ำใจ ก่อนจะลี้ภัยยังช่วยมาบอกข่าวกับทุกคน ไม่ว่าอย่างไร น้ำใจนี้ทำให้พวกผู้ชายในหลายครอบครัวไม่ต้องไปเป็นทหาร เปรียบเสมือนเป็นการช่วยชีวิต พวกเราต่างจดจำไว้ในใจ…
…ลูกสามของเจ้า สมแล้วที่เป็นคนที่มีอนาคตไกล แม้แต่หลานสาวคนเล็กก็ฉลาดกว่าเด็กคนอื่น เมื่อถึงวัยแต่งงานคงมีคนมาสู่ขอต่อแถวกันยาว เจ้าคอยดูเถอะ”
ท่านย่าหม่ารีบตัดบท “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตยังไง เจ้าก็อย่าได้พูดไป ยังจะมีการแต่งงานสู่ขออีกหรือ? ตอนนี้เอาชีวิตให้รอดก่อนเถอะ”
ท่านยายหวังไม่พูดพร่ำแล้ว นางควักไข่ไก่ออกมาสี่ฟอง
ท่านย่าหม่ารีบพูดขึ้นมา “นี่เป็นเพราะสถานการณ์วุ่นวาย มิเช่นนั้นหลานสาวคนเล็กของข้า อีกสองปีก็สามารถหาคู่ได้แล้ว บ้านเจ้ายังไม่กินข้าวอีกหรือ ลูกเขยข้าพาลูกชายคนโตของเจ้าไปจับกระต่ายมา? เจ้าไม่ได้ส่วนแบ่ง?” สีหน้าของนางดีขึ้น
ท่านยายหวังคิดในใจ หญิงคนนี้แผนสูงนัก ถ้าไม่ให้ไข่ไก่ก็คงไม่ยิ้มแย้มแบบนี้
นางยิ้มตอบ “ก็เพราะได้บ้านเจ้าไง ทั้งลูกสามกับลูกเขยบ้านเจ้าช่างเป็นคนดีมีน้ำใจ”
……
เถียนสี่ฟากับชายหลายคน กำลังมองดูซ่งฝูเซิงทำเตาเผาถ่านใหม่
ตอนนี้มีโคลนพอกปกคลุมไม้ที่มากองสุมเป็นทรงกรวยและกำลังเริ่มจะจุดไฟแล้ว
พวกเขายืนล้อมรอบเตาเผาที่ทำจากโคลน ต่างสอบถามกันและเดินสำรวจไปมา ในใจก็ครุ่นคิด ยิ่งฟังยิ่งงง ในใจคิดว่าคงไม่สำเร็จ
ถ่านที่มีสีดำพวกนี้สามารถขายแลกเงินได้ แต่ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะทำได้ง่ายๆ
อย่าว่าแต่คิดจะทำเลย โดยปกติแล้วก็คงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเผา คนร่ำรวยในเมืองเท่านั้นถึงจะเผาถ่านพวกนี้ได้
ซ่งฝูเซิงใช้ไฟแช็คจุดไฟกับใบไม้แห้ง วางลงในช่องด้านบนของเตาโคลน เมื่อแหงนหน้าขึ้นมาก็ถึงกับตกใจ
ดวงตาสิบกว่าคู่จ้องมองมาที่ไฟแช็คของเขา
ซ่งฝูเซิงรีบอธิบาย “นี่คือสินค้าของเมืองฟานกั๋ว ท่านพ่อตามอบให้ข้าไว้ มีอยู่ไม่กี่อัน”
หลานชายคนโตพูดขึ้น “อาสาม ท่านให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” เขารับมาและมองดูกับหลานชายคนรอง พวกเขาลองกดไฟแช็ค “จุดไฟได้เร็วมากเลย!”
“นี่พวกเจ้าสองคนจะดูก็ได้ ให้ใครมาดูก็ได้ แต่อย่าลองจุดไฟสิ เห็นน้ำข้างในนั้นหรือไม่? ถ้ามันหมดไปก็จะใช้ไม่ได้แล้วนะ”
ผู้ชายสิบกว่าคนเลิกดูเตาเผาถ่าน ทั้งหมดหันมาสนใจไฟแช็คแทน
บางคน ก่อนที่จะรับของมาดู เขาก็ไม่ลืมเช็ดมือกับเสื้อผ้าก่อน เช็ดจนสะอาดแล้วจึงยื่นมือมารับไฟแช็คไป
สิ่งนี้ทำมาจากอะไร? พวกเขาไม่รู้จักพลาสติก ยุคโบราณยังไม่มีพลาสติก
ข้างในเป็นน้ำจริงหรือ?
ซ่งฝูเซิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า
เขาจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างไรว่าของเหลวที่บรรจุอยู่ข้างในคือ ‘บิวเทน’ ซึ่งเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในสมัยของพวกเขายังมีน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันเบนซินยังแบ่งออกเป็นเบนซิน 92 95 97
เขาทำถ่านแล้วยังไง เขายังขับรถยนต์เป็นด้วยนะ
บ้านเขามีตู้เย็นขนาดใหญ่ มีชักโครก มีแอร์ สิ่งของอีกมากมาย
ในชาติภพก่อนของเขา อยากจะกินอะไรก็ได้กิน หากไม่กินเนื้อ ไม่อยากทำกับข้าวก็สามารถสั่งอาหารมาส่งได้ แค่สามสิบนาทีก็มีคนขี่รถจักรยานยนต์มากดกริ่งส่งอาหาร ถ้าพูดออกไปคงทำให้พวกเขาช็อคตายได้ เฮ้อ อยากจะคุยโม้โอ้อวดอีกสักครั้งจริงๆ
มันไม่ใช่การคุยโม้ แต่เป็นการพูดความจริง แต่เกรงว่าในยุคนี้ ถ้าพูดความจริงไปก็คงไม่มีคนเชื่อ คงคิดว่าเขาโดนผีเข้า
ตอนนี้มีคนมามุงซ่งฝูเซิงมากมายเพราะไฟแช็ค ส่วนเฉียนเพ่ยอิงก็มีผู้หญิงหลายคนมาล้อมวงมุงนางเช่นกัน
ซ่งฝูหลิงนำถุงพลาสติกสีดำออกมา ใส่น้ำเต็มถุงพลาสติกและแขวนไว้บนต้นไม้ หลังจากนั้นก็เจาะรูตรงถุงด้านล่างเพื่อให้แม่ของนางใช้สระผม นางสระเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ใช้อะไรสระน่ะหรือ
เมื่อหลายปีก่อน ไม่รู้ว่าเป็นพ่อหรือแม่ของนางที่มักไปอบซาวน่าโดยซื้อบริการเป็นแพ็คเกจ สำหรับแพ็คเกจนี้ เมื่อเดินเข้าประตูมา ลูกค้าจะได้รับผ้าขนหนูฟรีรวมทั้งแชมพูและครีมอาบน้ำในซองถุงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก
ได้ของแถมมาก็ไม่ได้ใช้ เพราะตนเองพกเครื่องอาบน้ำไปเอง จึงนำยาสระผมซองเล็กๆ พวกนี้กลับมาบ้านด้วยและวางทิ้งไว้บนชั้นวางของในห้องน้ำ
ครั้งนี้ซ่งฝูหลิงให้พ่อเข้าไปพื้นที่พิเศษเพื่อหากล่องเล็กๆ ที่ไว้ใส่แชมพู พ่อของนางค้นจนไปเจอซองอาบน้ำกับซองแชมพู เขาบอกว่าใช้แบบซองอย่างนี้ค่อนข้างสะดวก จึงให้ใช้แบบนี้ไปก่อน
มันหอมมาก อย่าไปคิดว่าผ่านมาหลายปีแล้วอาจจะหมดอายุ แต่ก็ไม่หยุดความหอมได้ มันคือแชมพูยี่ห้อรีจอยส์ ผู้หญิงหลายคนได้กลิ่นหอมก็ถึงกับยื่นจมูกมาสูดดม
ถุงสีดำนั่นคืออะไรกัน
บอกไปหลายครั้งแล้วว่าสมัยโบราณไม่มีพลาสติก อะไรที่ทำมาจากพลาสติกพวกเขาเลยรู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่
เฉียนเพ่ยอิงที่ถูกมุงเริ่มรู้สึกเคอะเขิน
ก่อนหน้านั้น นางบอกว่าจะไม่สระผม อยู่ในช่วงอพยพลี้ภัยจะจุกจิกเรื่องกลิ่นไปทำไมกัน
บุตรสาวพยายามพูดให้นางชำระล้างร่างกาย “ท่านแม่ ท่านไม่ได้กลิ่นบนร่างกายของท่านหรือ? ท่านอยู่บนรถลาก ทำอาหารและยังทำเต็นท์ให้ข้าจนเหงื่อท่วม ตอนนี้ท่านไม่ได้กำลังเดินทางลี้ภัยแล้ว และไม่ใช่เวลาเร่งรีบเดินทาง ในสถานการณ์ที่มีโอกาสเราก็ควรอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ข้ากลัวจะเป็นเหา เลี่ยงไม่ให้เหาขึ้นหัวแค่หนึ่งวันได้ก็ยังดี”
นางรู้สึกว่าที่บุตรสาวพูดมาก็มีเหตุผล จึงไปหามุมเพื่อชำระล้างร่างกาย
ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “ซ้อสาม เดี๋ยวถุงนี้ขอข้ายืมใช้บ้างได้ไหม? ข้าก็อยากจะสระผมเหมือนกัน”
หญิงคนนี้อายุยังน้อย จึงยังรักสวยรักงามอยู่
มีคนบอกว่าเลือกสถานที่นี้ดี จะได้ให้พวกเด็กสาวมาล้างหน้า เช็ดคอกับเช็ดแขนกัน
เฉียนเพ่ยอิงตอบตกลง เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “ถุงนี้ใครใช้เสร็จคนสุดท้ายก็ต้องเก็บมาให้ข้าด้วย ข้ายังต้องใช้ และอย่าได้ทำมันขาด”
เมื่อหันหลังกลับมา นางก็ถอนหายใจ พูดกับซ่งฝูหลิง “มาอยู่ในยุคโบราณ ถุงที่เมื่อก่อนพวกเราใช้ใส่ขยะกันกลับกลายมาเป็นของดีมีค่าเสียแล้ว เฮ้อ คาดไม่ถึงจริงๆ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็คงซื้อมาไว้เยอะกว่านี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ บ้านเราก็จำเป็นต้องตุนสิ่งของไว้ให้มาก”
ซ่งฝูหลิงแหงนหน้ามองฟ้า คิดในใจ ถ้านางเข้าไปในพื้นที่พิเศษได้ก็จะดี หากสวรรค์เมตตาคนใสๆ ซื่อๆ น่าจะทำให้นางเข้าเว็บไซต์เถาเป่าเพื่อซื้อของได้บ้างก็จะดีมาก