บทที่ 11.3 เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หยุดจังหวะหนึ่งและมองไปยังโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่ดูซับซ้อน แต่ทว่าสิ่งที่หญิงสาวเห็นกลับเป็นสีหน้าเบิกบานใจของโจวเหว่ยชิง นั่นทำให้เธอพูดต่อด้วยความหงุดหงิด “ข้ากำลังคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าอยู่นะ!! นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?!”

โจวเหว่ยชิงขยิบตา “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านดีต่อข้ามากจริงๆ ท่านใส่ใจข้าถึงขนาดนี้ ข้าเลยอดจะตื่นเต้นดีใจไม่ได้ ดังนั้นข้าตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าจะยากขนาดไหนข้าก็จะฝึกฝนอย่างหนักและกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่น่าเกรงขามให้ได้ หลังจากนั้นข้าถึงจะสามารถปกป้องท่านได้ยังไงล่ะ…”

ใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ส่ายหัวพูดว่า “ข้าไม่ได้ห่วงเจ้าสักหน่อย…ข้าทำเพื่ออาณาจักรต่างหาก! แล้วข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าปกป้องด้วย!!”

โจวเว่ยชิงพูดอย่างหนักแน่น “แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้า สามีจะไม่ปกป้องภรรยาได้อย่างไร?”

“เจ้า…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คำรามด้วยความโกรธ จากนั้นเท้าข้างหนึ่งก็กระโจนไปเตะเข้าที่แผ่นหลังของคนไร้ยางอาย เธอกล่าวด้วยสีหน้าโมโห “ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไร เจ้าก็สามารถลากเข้าเรื่องน่าอายหรือเรื่องไร้สาระได้ตลอด! ช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ!”

โจวเหว่ยชิงม้วนตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะยิ้มตอบ “แล้วสามีปกป้องภรรยานั้นไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม และจริงจังหรือ? อ้ากกก!! อย่าเพิ่งลงมือๆๆๆ ให้ข้าพูดให้จบก่อนนน! เอาล่ะๆ ท่านเพิ่งจะพูดก่อนหน้านี้ว่า ยกเว้นเสียแต่ว่า อะไรนะ ?”

เมื่อเห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังจะจู่โจมเขาอีกครั้ง โจวเหว่ยชิงที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ขนาดใหญ่ริมถนนรีบโผล่หัวออกมาถามทันที

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักครู่หนึ่งด้วยสายตาลังเล เธอหยุดเคลื่อนไหวและพูดกับเขาว่า “เจ้าอ้วนน้อยโจวออกมานี่”

เมื่อเห็นใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูจริงจังมาก โจวเหว่ยชิงก็อดประหลาดใจไม่ได้  ไม่ช้าเขาก็เดินออกจากหลังต้นไม้พลางยกมือขึ้นโบกไปมาต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก่อนจะถาม “เฮ้ ผู้บัญชาการกองพัน ท่านสบายดีไหม?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “อ้วนน้อยโจว แม้ว่าเจ้าจะเจ้าเล่ห์และไร้ยางอาย คำพูดคำจาก็น่ารำคาญมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องจำไว้ว่าเรามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เรื่องอื่นๆ ข้ายังทนได้ แต่ถ้าเจ้าละเมิดสัญญาและทรยศอาณาจักร ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวเองแน่ ไม่ว่าตอนนั้นเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!”

“ได้ๆ ข้าสัญญา” โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและรำพึงอยู่ในใจของเขา แน่นอน เรื่องแบบนี้ต้องให้เจ้าพูดด้วยหรือ? จักรพรรดิของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เป็นพ่อทูนหัวของข้า และพ่อของข้าก็ยังเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักร  ความคิดนี้ผุดมาในใจของเขาทันทีก่อนเธอจะพูดจบด้วยซ้ำ ทันใดนั้นสมองของเขาก็เริ่มคิดไปถึงคำพูดที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้กล่าวออกมาก่อนหน้า ‘เรื่องอื่นข้ายังพอทนได้…’ เรื่องอื่นนี่มันเรื่องไหนกันน้า…จอมมารน้อยเริ่มฝันกลางวันทันที โชคดีที่เขารู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จริงจังมาก ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกออกมา

เมื่อเห็นว่าเขาตอบค่อนข้างตรงไปตรงมา ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย เธอกล่าวต่อ “เจ้าอ้วนน้อยโจว ตอนนี้ข้าจะพูดต่อแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ”

“เข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า “สำหรับจ้าวมณีทั่วๆ ไป มันยากมากที่จะเข้าร่วมกับวังกักเก็บทักษะ เพราะในการเข้าร่วมกับพวกเขา สิ่งพื้นฐานอันดับแรกก็คือคนๆ นั้นจะต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์ และพวกเขาก็ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดด้วย

อาณาจักรใหญ่ๆ แต่ละแห่งก็จะมีวังกักเก็บทักษะเป็นของตนเอง ซึ่งเจ้าของก็คือเหล่าราชวงศ์ของอาณาจักร นั้นๆ จ้าวมณีสวรรค์ที่เข้าร่วมวังกักเก็บทักษะจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรของพวกเขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บธาตุมณี อาณาจักรของพวกเขาจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จ้าวมณีสวรรค์คนนั้นต้องสาบานตนว่าจะภักดี และทำงานให้กับอาณาจักรของพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ

อย่างไรก็ตาม อาณาจักรของเราไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะสร้างวังกักเก็บทักษะ แต่อาณาจักรเฟยหลี่มีอยู่ 1 แห่ง หากในอนาคตพวกเขาพยายามจะชักชวนเจ้า เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่?”

ในขณะที่ถาม ในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เธอรู้จักโจวเหว่ยชิงแค่เพียงผิวเผินเท่านั้นและยังไม่รู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะคิดต่อไปว่า หากเจ้าอ้วนน้อยโจวคิดทรยศอาณาจักรเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็จะไม่ช่วยเหลือเขาต่อไปอีก และแม้ว่าเธอจะไม่ฆ่าเขา แต่เธอก็จะทำลายมณีสวรรค์ของเขาทิ้งซะ

โจวเหว่ยชิงกล่าวโดยไม่ลังเล “แน่นอนว่าเข้าร่วมอยู่แล้วสิ! ทำไมข้าถึงจะไม่เข้าร่วมล่ะ?”

“เจ้า…” รังสีฆ่าฟันของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงทันที “เจ้ามันไร้ยางอาย!!!”

โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ข้าไร้ยางอายตรงไหน? ข้าจะเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะของพวกเขาก่อน จากนั้นก็รอให้ข้าฝึกฝนมณีสวรรค์ให้สำเร็จขั้นสูงสุด จากนั้นค่อยกลับไปที่อาณาจักรของเรา นั่นใช้ไม่ได้หรือ? ตราบใครที่ข้าแข็งแกร่งมากพอจนไม่มีใครสู้ได้ ใครจะสนว่าข้าเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรไหน “

“หึ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแม้จะกำลังโมโหอยู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนน้อยโจวนี่ช่างมีมุมมองที่แปลกประหลาดเสียจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นจิตสังหารของเธอก็มอดลงไปในทันที “เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่หรือ! เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อควบคุมเจ้างั้นหรือ? ในการเข้าร่วมวังกักเก็บทักษะ เจ้าจะต้องทำสัญญาผูกมัดจิต หากว่าเจ้าหักหลังวังกักเก็บทักษะหรือราชวงศ์ของอาณาจักรแล้ว เจ้าจะต้องตายสถานเดียว!”

เมื่อโจวเหว่ยชิงได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีทันที “ช่างขี้งกซะจริง! ว่าแต่อะไรคือสัญญาผูกมัดจิตล่ะ?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แต่ถามตัวเองในใจว่า หากก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงตอบว่าเขาตั้งใจจะเข้าร่วมกับวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่จริงๆ เธอจะกล้าสังหารเขาหรือไม่? คำถามนั้นเธอไม่สามารถตอบได้อย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีข้อบกพร่องมากมาย แต่เขาก็เป็นผู้ชายคนแรกของเธอ…ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าบางครั้งเด็กหนุ่มผู้นี้จะทำตัวน่าหงุดหงิดไปเสียหน่อย แต่เวลาไม่กี่วันที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้ร่วมกับเขานั้น เธอก็รู้สึกว่าตนเองได้แสดงความรู้สึกเช่นโมโหและหัวเราะออกมามากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ก่อนๆ

“พูดไปด้วยเดินไปด้วยเถอะ…สัญญาผูกมัดจิตเป็นผลมาจากทักษะระดับสูงของจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมืด ภายใต้ความร่วมมือของอีกฝ่าย จ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมืดสามารถประทับตราของตนลงบนคำสาบานที่อีกฝ่ายได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ และเมื่อคนๆ นั้นละเมิดคำสาบาน เขาจะต้องจบกับจุดจบ นั่นจึงเป็นทักษะที่โหดมากเลยทีเดียว!…”

พวกเขาเดินทางต่อไปจนกระทั่งค่ำ ก่อนจะออกจากป่าดาราได้สำเร็จในที่สุด

ทว่าก่อนพวกเขาจะออกจากป่า โจวเหว่ยชิงก็ทำซุปหน่อไม้น้ำค้างอีกถ้วยให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดื่ม นั่นเป็นเพราะว่าหากทั้งคู่ออกจากป่าดาราไปแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถหาหน่อไม้พวกนี้ได้อีก เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ดื่มซุปแสนอร่อยที่เขาทำนั้น เธอก็ทำตัวดีกับเขามากขึ้น แต่ทว่าก็ยังไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์ตามใจชอบอยู่ดี

12 วันให้หลัง

“อ้วนน้อยโจว ไปหาอะไรมากินหน่อยสิ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ปัดทำความสะอาดพื้นที่เล็กๆ ตรงหน้าของเธอ และนั่งลง

โจวเหว่ยชิงถอนหายใจ “ชีวิตอันน่าสงสารของข้า! ข้าอีกแล้วรึ!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขาก่อนจะพูด “เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้า การรับใช้ผู้บังคับบัญชาไม่ใช่งานของเจ้าหรือ?”

โจวเหว่ยชิงตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ได้! ได้! ข้ากำลังไปแล้ว!”

หลังจากเดินทางมาได้ 12 วัน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยังคงสดใส และงดงามเหมือนเดิม แต่โจวเหว่ยชิงนั้นกลับมีใบหน้าซีดเซียวราวกับศพ แสดงให้เห็นถึงอาการเหนื่อยล้าของเขาจากการเดินทาง

ตอนที่พวกเขาเพิ่งออกจากเมืองเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็คิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ช่างเป็นคนมัธยัสถ์เหลือเกิน แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มเชื่อสุดใจแล้วว่าผู้บัญชาการกองพันหญิงที่งดงามคนนี้เป็นคนที่ขี้เหนียวสุดๆ จนไม่ยอมใช้เงินแม้แต่เหรียญเดียว!

12 วันที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้เดินผ่านมาเมืองต่างๆ มาหลายเมืองแล้ว แต่พวกเขาก็ได้แต่ร่อนเร่ และตั้งกระโจมอยู่ข้างนอกเมืองเท่านั้น ไม่ได้แวะเข้าไปในเมืองเลย ดังนั้นอย่าแม้แต่จะพูดถึงโรงเตี๊ยมใดๆ มีท้องฟ้าเป็นผ้าห่ม มีพื้นดินเป็นเตียง พวกเขาไม่ได้ใช้เงินสักเหรียญตลอดการเดินทาง แม้กระทั่งอาหารแห้งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็คิดว่าเธออาจจะนำมันมาจากโรงอาหารทหาร!

สิ่งที่ทำให้โจวเว่ยชิงเศร้ายิ่งกว่าเดิมก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ แถมยังพึงพอใจมากอีกต่างหาก เพราะปกติหญิงสาวก็มักจะเดินทางเช่นนี้ตลอดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เธอยังมีพ่อครัวเพิ่มอีกด้วย ดังนั้นจะไม่ให้เธอพึงพอใจได้อย่างไร?

แม้ว่าอ้วนน้อยโจวจะทำตัวน่าโมโหอยู่ตลอดเวลา แต่เขามีความสามารถที่น่าประทับใจ เขาสามารถสรรหาวัตถุดิบตามรายทางเพื่อนำมาปรุงอาหารให้อร่อยล้ำเลิศได้เสมอ นอกจากนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังยึดมั่นในกฎของตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือพูดกับโจวเหว่ยชิงให้น้อยที่สุดไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม และนั่นทำให้เขาไม่สามารถใช้กลอุบายอะไรกับเธอได้นั่นเอง

………………………………………………………………….