บทที่ 11.4 เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่ (4)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเหว่ยชิงก็ไปหาเก็บมันเทศมาจนได้ เขานำมันไปเผาจนสุกและแบ่งปันกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ วัตถุดิบที่อยู่ในมือของเขานั้น แม้ว่าจะเป็นมันเทศธรรมดาๆ เขาก็ยังสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาหารอันโอชะได้ หลังจากลอกเปลือกที่ไหม้เกรียมเล็กน้อยออกไปแล้ว เด็กหนุ่มก็โรยเกลือป่นเล็กน้อย ทันใดนั้นรสชาติของมันเทศก็อร่อยขึ้นทันทีอย่างคาดไม่ถึง

สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงเศร้าที่สุดก็คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ปล่อยให้เขาล่าสัตว์ตลอด 12 วันที่ผ่านมาเลย ตลอดการเดินทางเขากลายเป็นสัตว์กินพืชอย่างเต็มรูปแบบจนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะกลายเป็นมันเทศไปในไม่ช้าแล้ว

“ผู้บัญชาการกองพัน ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าเรากำลังจะถึงเมืองภูเขาลอยฟ้าในอีกไม่กี่ไมล์ไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเราไม่ไปทานอาหารในเมืองแทนล่ะ?” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างไม่พอใจเมื่อเขากัดมันเผาในมือ

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตามองเขา “กินอาหารในเมืองย่อมเสียเงิน ดังนั้นกินอาหารที่นี่จะช่วยให้เราประหยัดค่าอาหารไปหนึ่งมื้อ”

โจวเหว่ยชิงกรอกตาขึ้นก่อนจะพูด “ช่างเถอะ! ในอนาคตข้าจะหาเงินเยอะๆ ไม่อย่างนั้นข้าต้องอดตายเพราะท่านแน่”

“หึ” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้กล่าวตอบ นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก

การเดินทางที่ผ่านมานั้นถือเป็นการฝึกที่ดีสำหรับโจวเหว่ยชิง การใช้ทักษะธาตุลมอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้เขาคุ้นเคยกับการใช้งานปราณสวรรค์มากขึ้น แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้มันได้คล่องแคล่วเท่ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมปราณสวรรค์ก่อนใช้งานมณีอีกต่อไป

วิชาเทพอมตะค่อยๆ เผยความยอดเยี่ยมของมันออกมา ปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเปรียบปริมาณปราณสูงสุดที่เขาเคยมีเป็นขนาดของไข่นกพิราบ ตอนนี้มันมีขนาดเท่าไข่ไก่แล้ว การเร่งเดินทางโดยไม่หยุดทุกๆ วันทำให้หลุมดำทั้ง 4 จุดดูดกลืนพลังภายนอกเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุดตลอดเวลา และนั่นมีผล อย่างมากต่อการระดับปราณสวรรค์ในร่างของเขา อย่างไรก็ตาม มันก็ยังค่อนจะข้างห่างไกลจากการเลื่อนระดับถัดไปของวิชาเทพอมตะ ซึ่งนั่นก็คือการทะลวงจุดตายหยงฉวนนั่นเอง

จุดตายหยงฉวนเป็นจุดตายสุดท้ายในการฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรก ซึ่งจุดนี้ทะลวงผ่านได้ยากที่สุด เส้นชีพจรที่ทับซ้อนอยู่กับจุดตายนี้ก็ยังซับซ้อนมากอีกด้วย โจวเหว่ยชิงเคยลองชักนำปราณสวรรค์ไปยังจุดตายนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ปรานของเขาก็ไม่สามารถไปถึงจุดตายหยงฉวนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องสะสมปราณสวรรค์ให้มากขึ้นกว่านี้จึงจะสามารถทำได้สำเร็จ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของโจวเหว่ยชิง และซ่างกวนปิงเอ๋อร์

กำแพงเมืองขนาดมหึมานี้ดูราวกับจะทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดในสายตาของพวกเขา มันมีความสูงประมาณ 40 เมตร จนทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเมืองนี้ดูเล็กจ้อยลงไปราวกับมดตัวน้อยเลยทีเดียว ที่ใจกลางเมืองมีสัญลักษณ์ประจำอาณาจักรเฟยหลี่ประดับอยู่ มันคือดาบไขว้คู่ที่ระบายด้วยสีดำซ้อนทับด้วยสีทอง สัญลักษณ์นี้ติดอยู่บนธงที่สะบัดไหวท่ามกลางสายลม บ่งบอกถึงความสง่างามของอาณาจักร

มีสะพาน 3 สายทอดยาวผ่านคูน้ำกว้าง 50 เมตรที่ไหลอยู่รอบเมืองภูเขาลอยฟ้า สะพานนี้เชื่อมต่อกับประตูเมืองขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างโค้งสูงทั้ง 3 บาน และมีชื่อของเมืองที่สลักด้วยลายเส้นเปี่ยมพลังแขวนอยู่เหนือประตูตรงกลาง ผู้คนที่เดินทางเข้าออกจากเมืองนั้นพลุกพล่านราวกับไม่มีจำนวนที่สิ้นสุด และแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะยังไม่ได้เข้าไปในเมือง แต่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงความคึกคักจอแจภายในนั้น

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เนื่องจากเธอพาเขาข้ามสะพานตรงกลางเข้าไปภายในเมืองและพาเขาเดินลึกเข้าไปข้างในด้วยความคุ้นเคย

ภายในเมืองภูเขาลอยฟ้านั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและผู้คนมากมายเบียดเสียดกันจนไม่มีที่ว่าง โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ อย่างไม่หยุดหย่อน เขารู้สึกราวกับว่ามองอะไรแทบจะไม่เห็นเลย นี่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรใหญ่อย่างเฟยหลี่อย่างแท้จริง! แม้เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นจะมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับเมืองภูเขาลอยฟ้าแล้ว เมืองของเขาแทบจะเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

“ผู้บัญชาการกองพัน เราจะไปที่ไหนกันเหรอ? โจวเหว่ยชิงก้มลงมองดูชุดนักธนูที่ค่อนข้างสกปรกของตัวเองและพูดด้วยท่าทางระมัดระวัง

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตอบ “เราจะไปวังกักเก็บทักษะก่อน”

ใบหน้าของโจวเหว่ยชิงสว่างไสวขึ้นทันที “เราจะไปผนึกทักษะกักเก็บธาตุมณี?”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เธอเร่งก้าวไปสู่ส่วนลึกของเมืองแทน แม้ว่าเธอจะไม่ได้เร่งความเร็วเหมือนกับที่พวกเขาทำมาตลอดระหว่างทางที่ผ่านมา แต่เธอก็ยังเคลื่อนไหวค่อนข้างเร็ว นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงต้องรีบวิ่งตามเธอให้ทันจนไม่ได้สำรวจร้านค้าที่เรียงรายไปตามทางเลย

เมืองภูเขาลอยฟ้านั้นใหญ่มาก ทั้งคู่เดินทางเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะชะลอตัวลงในที่สุด เมื่อโจวเหว่ยชิงมองตามสายตาของเธอไปข้างหน้า เขาก็เห็นว่าไม่ไกลจากพวกเขานั้นมีปราสาทขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนราชวังตั้งอยู่ แม้เขาจะไม่คุ้นเคยกับเมืองภูเขาลอยฟ้า แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่านี่คือย่านใจกลางเมือง ด้านหน้าของปราสาทมีเสาสีขาวขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบเมตรตั้งอยู่จำนวน 12 ต้น ตรงกลางมีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองขนาดใหญ่แขวนอยู่อย่างโดดเด่น เพียงแค่มองด้วยตาเปล่าก็ยากที่จะตัดสินว่าสถานที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหน

ด้านหลังเสาใหญ่ทั้ง 12 ต้นมีประตูบานใหญ่อยู่ 1 บาน บริเวณนั้นมีทหาร 8 นายสวมชุดเกราะเงินส่องแสงเป็นประกายกำลังยืนประจำการที่ประตูทั้งสองด้านนั้น  อาวุธของพวกเขาคือดาบหนักซึ่งยาวกว่า 1.5 เมตรและหนาเกือบ 1 ฟุต ปลายดาบหนักนั้นตั้งอยู่กับพื้นขณะที่มือทั้งสองข้างของพวกเขาจับด้ามดาบเอาไว้ สายตาเย็นชาของทหารพวกนั้นกำลังสอดส่องมองดูทุกคนเดินผ่านไปมา เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ รัศมี 50 เมตรรอบๆ สำนักจึงไม่มีคนเดินอยู่เลย นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของปราสาทนี้อย่างชัดเจน

หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดพักครู่หนึ่ง เธอก็พาโจวเหว่ยชิงมุ่งหน้าเข้าไปในปราสาทแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่านี่คือวังกักเก็บทักษะที่เธอพูดถึงก่อนหน้า

“หยุดก่อน” ทหารเกราะเงิน 2 คนที่อยู่ด้านนอกสุดของประตูตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ พวกเขายกดาบหนักสองเล่มนั้นขึ้นจากพื้นเพื่อขวางทางซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงเอาไว้ จากลักษณะท่าทางของพวกเขา โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารแผ่ออกมาอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าทหารเหล่านี้เป็นพลทหารราบชั้นเยี่ยมที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวท่ามกลางสมรภูมิรบอันดุเดือดมาแล้ว อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขานั้นไม่มีทหารราบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่เลยเนื่องจากค่าใช้จ่ายในฝึกพลทหารเช่นนี้สูงเกินไป แต่ทว่า อาณาจักรเฟยหลี่ถึงกับใช้ทหารชั้นยอดพวกนี้เฝ้าปราสาท!!

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดชะงักทันที เธอยกมือขวาขึ้นมาพร้อมกับมีแสงสว่างวาบขึ้น หยกหินมังกรสีเขียวบริสุทธิ์ 2 ดวงของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา พวกมันเปล่งประกายระยิบระยับเหนือข้อมือสีขาวราวกับน้ำนมของเธอ

ทหารเกราะเงินถอนดาบในมือคืนทั้งคู่ ดาบสองเล่มกลับไปตั้งอยู่ข้างหน้าของพวกเขาตามเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวด้วยความเคารพ “ยินดีต้อนรับจ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับกลาง เชิญเข้าไปได้”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า และหันไปหาโจวเหว่ยชิง “แสดงมณียุทธ์ของเจ้า”

“โอ้” โจวเหว่ยชิงมองดูเกราะเงินของทหารสองคนนั้นด้วยความอิจฉาขณะที่ยกมือขวาของขึ้นมาเพื่อแสดงมณี เขาแอบคิดในใจว่าเกราะเงินนี้น่าจะแข็งแกร่งมาก หากเขาได้ใส่มันล่ะก็…แม้จะเป็นลูกศรจากระยะไกลก็อาจจะเจาะไม่เข้า นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยนี่นา!

มณียุทธ์อย่างหยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นรอบข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิง แสงแวววาวจากมณียุทธ์ของเขาดูราวกับไอเย็นเยือกจากน้ำแข็งกำลังจะปะทุออกมา

“จ้าวมณีสวรรค์ขั้นพื้นฐานระดับแรก เชิญเข้าไปได้” ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังจะยกดาบหนักๆ ขวางทางโจวเหว่ยชิง แต่หลังจากได้เห็นมณีสวรรค์บริสุทธิ์บนข้อมือขวาของเขา พวกเขาก็ย่อมเข้าใจว่าโจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์ ทหารเกราะเงิน 2 คนจึงพร้อมใจกันถอยออกไป เผยให้เห็นเส้นทางเข้าสู่ด้านในของปราสาท

………………………………………………………..