บทที่ 35 เหมือนที่คิดไว้ Ink Stone_Romance
“ปั้นฉิน!”
เสียงเรียกจากคนด้านนอก
“อืม” สาวใช้ที่กำลังนั่งตัดกิ่งดอกไม้ที่งอกใหม่อยู่ตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น
“นี่ตับหมูกับตับแพะที่เจ้าต้องการ” สาวใช้ตัวน้อยยื่นศีรษะเข้ามาพร้อมกับบีบจมูก แล้วยื่นถุงกระดาษเคลือบน้ำมันให้นางด้วยมือข้างเดียว
สาวใช้ลุกขึ้นยิ้มแล้วรับถุงมา
“เอ่อ…พี่สาวเอาของพวกนี่ไปทำอะไรกัน ข้าตกใจหมดเลย” สาวน้อยถามด้วยความขยะแขยง
“นายหญิงข้าอยากกิน” สาวใช้กล่าว
สาวน้อยเบ้ปาก
“อาหารดีๆ ที่ส่งมาจากห้องครัวไม่ยอมกิน แล้วนี่กินอะไร คนบ้าก็คือคนบ้าอยู่วันยังค่ำ ” นางเอ่ย
“นายหญิงของพวกข้าไม่ใช่คนบ้า” สาวใช้สวนกลับ
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยิน
บทสนทนานี้และชื่อนี้…
ตลอดหนึ่งเดือนที่พวกนางอยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ทั้งที่เปลี่ยนสาวใช้ไปแล้วหลายชุด
แต่ราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“เจ้าไม่กลัวคนบ้า แต่ข้ากลัว ข้าไปก่อนนะ” นางโบกมือลาแล้วรีบวิ่งออกไป
สาวใช้เดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษเคลือบน้ำมัน
“พี่สาว ไฟพร้อมแล้วจ้ะ” สองสาวใช้ที่อยู่ในห้องครัวชะโงกหัวออกมาบอก ทั้งสองมองไปที่ของในมือนาง
พร้อมกับแสดงท่าทางรังเกียจเล็กน้อย “จะกินอันนี้จริงๆ หรือ”
“ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไปบอกนายหญิงสิว่าอย่ากินเลย” สาวใช้ยิ้มกล่าว
“ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ…ข้าไม่ไปหรอก” สาวใช้คนหนึ่งยิ้มกล่าว พร้อมกับเดินถอยหลัง
“แม้แต่ชื่อของเจ้า นางยังเปลี่ยนให้เลย ข้าไม่อยากถูกเปลี่ยนชื่อ” สาวใช้คนหนึ่งพูดขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัว
แป้งพร้อมแล้ว เตาที่ก่อด้วยอิฐก้อนเล็กก็ร้อนแล้ว ตับกับไตก็ถูกนึ่งจนสุกเละแล้วเช่นกัน สาวใช้สามคนที่นั่งอยู่ในห้องครัว สองคนห่อไส้ อีกคนนำไปอบในเตาถ่าน
“พิศดารเช่นนี้ คิดออกได้อย่างไรกัน”
“ขนมแป้งอบอร่อยๆ ที่มีอยู่ในครัวก็ไม่กิน อยากจะกินอันนี้แทน เครื่องในพวกนี้เขาเก็บไว้ป้อนสุนัข…”
สองสาวพึมพำแต่ก็หยุดพูดทันที
เพราะกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วครัว
“ร้อนๆ ” สาวใช้วางขนมที่เพิ่งอบเสร็จลงในถาดไม้ไผ่กล่าวพร้อมกับเป่านิ้วมือ
“หอมเสียจริง” สาวใช้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้ามองขนมแป้งอบทรงกลมขนาดเล็กที่มีสีทองทั้งสองชิ้น
สาวใช้เม้มปากยิ้มและใช้มือหักแบ่งขนมหนึ่งชิ้น
“อยากลองชิมรสชาติของขนมนี้หรือไม่” นางถาม
เมื่อมองเห็นไส้ สองสาวใช้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สาวใช้อีกนางหนึ่งหยิบเข้าไปปากเรียบร้อยแล้ว
“อืม” สาวใช้เบิกตาโพรงพยักหน้า “อร่อยมาก”
นางพูดเสียงอู้อี้แล้วรีบกัดเพิ่มอีกคำ ทว่าขนมนั้นร้อนจนต้องสูดลมเย็นเข้าปาก
“ไหนข้าลองชิมดูซิ ข้าเป็นคนปรุงไส้นี้เอง ลองดูซิว่ารสชาติเป็นอย่างไร” สาวใช้คนหนึ่งอดไม่ไหว จึงเอามือเปื้อนน้ำมันเช็ดกับผ้าคลุมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบขนมที่เหลืออยู่ครึ่งชิ้นเข้าปาก
ลานหน้าบ้านของเฉิงเจียวเหนียงมีคนเดินผ่านน้อยมาก เว้นแต่จำเป็นต้องเดินผ่านจริงๆ
ณ เวลานี้มีสาวใช้สองนางที่จำใจต้องเดินผ่าน ทั้งสองแทบอยากจะก้าวกระโดดข้ามลานนี้ไปเสียให้พ้น แต่กลับต้องหยุดฝีเท้าลงในทันที
“อืม หอมมาก” นางสูดกลิ่นแล้วเอ่ยออกมา
“จริงด้วย” สาวใช้อีกคนก็ได้กลิ่นเช่นกัน ก่อนจะมองไปทางลานหน้าบ้าน
นางทั้งสองสบตากัน
“ทำอาหารให้กับคนบ้าอีกแล้วหรือ เอาอกเอาใจยิ่งกว่านายหญิงท่านใดเสียอีก พวกนางเม้มปากกล่าว “ไม่รู้ว่ากินแล้วมันดีอย่างไร”
สาวใช้เดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับกล่องอาหาร นางคุกเข่าลงแล้วจัดโต๊ะกับวางกล่องอาหาร จากนั้นจึงย้ายโต๊ะอาหารไปที่ริมหน้าต่าง
“นายหญิง อาหารพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยความเคารพแล้วดันโต๊ะเข้ามาใกล้
หญิงสาวที่กำลังหลับตานั่งหันข้างเองกายกับพิงโต๊ะเตี้ยริมหน้าต่างลืมตาขึ้น ก่อนจะยืดขาที่ชันอยู่ลงมาเพื่อนั่ง
“นายหญิงลองชิมดูก่อนนะเจ้าคะว่ารสชาติใช้ได้หรือไม่” สาวใช้กล่าว
เฉิงเจียวเหนียงยื่นมือหยิบขนม นางฉีกขนมเข้าปากแล้วกินอย่างช้าๆ
สาวใช้ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น เพราะนางได้ชิมก่อนหน้านี้แล้วมั่นใจกับอาหารนี้มาก
“มันหอมเกินไป” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางส่ายหน้า นางกินเพียงแค่ชิ้นเดียวก็วางลง
“อะไรนะเจ้าคะ” สาวใช้สงสัย
“แล้ว…หอมไม่ดีหรือเจ้าคะ” สาวใช้ถามอย่างงวยงง
“ไม่ดีสิ ไส้มันกระจายไป ต้องให้แน่นถึงจะดี ไม่ใช่ดมแล้วหอม แต่ต้องกินแล้วอร่อย” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางกินโจ๊กด้วยช้อนอย่างช้าๆ
ด้วยความพิถีพิถันนี้เองจึงทำให้รสชาติที่จะถูกปากนายหญิงต้องมีมาตราฐานที่สูงมาก การเลือกกินเช่นนี้
นายหญิงฝึกมาจากที่ไหนกัน
คนสูงศักดิ์ก็เช่นนี้แล
สาวใช้จนปัญญา หรืออาจเป็นเพราะปั้นฉินทำอาหารอร่อยมากก็เป็นได้
“ข้าโง่เขลาเองเจ้าค่ะ” นางโค้งตัวลงกล่าว
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นิดเดียว ข้าจะช่วยให้เจ้าไม่โง่เขลาเอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวโดยไม่ได้มองไปที่นาง ก่อนจะหยุดพูดไปชั่วขณะ “หากเจ้าต้องการนะ…”
ใบหน้าของสาวใช้มีความสุขมาก นางก้มลงคำนับอีกครั้ง
“ปั้นฉินขอบคุณนายหญิง คงต้องรบกวนนายหญิงแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าว
เฉิงเจียวเหนียวหยุดพูด และกินข้าวต่ออย่างช้าๆ สาวใช้จัดเตรียมสำรับอย่างระมัดระวัง
“นายหญิง นี่คืออะไรหรือเจ้าคะ” นางคิดอะไรออกก็ถามเลย “ที่แท้แล้วอาหารชั้นต่ำที่ใครก็ไม่กิน สามารถนำมาทำอาหารที่เลิศรสได้ถึงเช่นนี้เลยหรือเจ้าคะ”
เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองเห็นเค้กทองคำในจานไม้ไผ่สีเขียว
“ไท่ผิง ” นางพูดโพล่งออกมาแล้วหยุดนึกชื่อเต็มของขนมนั้น ความทรงจำค่อยๆ ชัดเจนขึ้น “ไท่ผิงหมั่นโถว”
“ไท่ผิงหรือเจ้าคะ” สาวใช้ยิ้มแล้วพูดตาม “ชื่อเรียกเป็นมงคลมากเจ้าค่ะ หากกินทุกวัน คงจะมีแต่ความสงบสุขตลอดไปนะเจ้าคะ”
หากไม่ได้กินขนมนี้ จะเกิดความวุ่นวายหรือไม่เจ้าคะ
“ท่านแม่!” แม่นางเฉิงเจ็ดส่งเสียงเรียกพร้อมเดินยกชายกระโปรง
ฮูหยินรองเฉิงรีบบอกให้เงียบ
“น้องชายของเจ้าเพิ่งเข้านอน” นางกล่าว
แม่นมที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบรับเด็กทารกจากอ้อมแขนนาง พร้อมกับโค้งตัวแล้วเดินออกไป
หากมีแม่นางเจ็ดอยู่ที่นี่ เด็กน้อยคงนอนไม่หลับเป็นแน่
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านป้าลำเอียงเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าว พร้อมกับนั่งคุกเข่าลงข้างๆ แล้วแกว่งแขนของนางไปมา
“เกิดอะไรขึ้นอีก ท่านป้าลำเอียงเข้าข้างใครอีกล่ะ” ฮูหยินรองเฉิงถาม
ก็ต้องลำเอียงไปทางครอบครัวของพวกเขาสิเจ้าคะ นางตอบในใจ แม้จะเป็นลูกที่มีแม่คนเดียวกัน แต่ท่านแม่ก็ชอบลำเอียง ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวเราที่มีศักดิ์เป็นแค่พี่น้อง
ไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อก่อนข้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร คิดว่าสะใภ้ใหญ่เหมือนดั่งแม่ แค่เหมือนแม่ แต่ไม่ใช่แม่ที่แท้จริง
“คนบ้านางนั้น!” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าว
“คนบ้านางนั้นหรือ” ฮูหยินรองเฉิงขมวดคิ้วพร้อมกับหยิบพัดขึ้นมาโบกเบาๆ “นางประจบอะไรอีก เงินที่ใช้ก็ไม่ใช่เงินของตัวเองสักหน่อย”
แม่นมที่อยู่ข้างๆ ส่งเสียงกระแอมเตือนสตินาง
ต่อหน้าเด็กอย่าพูดอะไรที่ไม่เหมาะสม คำพูดของเด็กก็ไม่ควรถือสา
“ท่านป้าของเจ้าดูแลนาง เพราะนางป่วย อาจลำเอียงไปบ้างก็สมควรอยู่” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว เพื่อตัดบทสนทนาทก่อนหน้านี้
“นางเป็นคนบ้า ไม่ได้ล้มป่วยเหมือนพี่ชายสี่ วันๆ เอาแต่เปลี่ยนลูกไม้ไปเรื่อยๆ กินอาหารรสเลิศ มีประโยชน์อะไร หากป่วยก็กินของบำรุง ร่างกายก็จะหายป่วย คนบ้าหากกินของดีบำรุง ก็จะหายบ้าอย่างนั้นหรือ” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกนพร้อมกับกอดแขนแม่ของนาง “ท่านแม่ ข้าก็อยากได้เหมือนกัน! ข้าสู้คนบ้าบ้านนั้นไม่ได้เลยหรือ”
ฮูหยินรองเฉิงถูกเขย่าจนมึนเล็กน้อย
“นางเปิดเตาทำอาหารเองเลยหรือ” นางถามแม่นม
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ “นอกจากอาหารสามมื้อและของหวานสองมื้อแล้ว ทางครัวยังส่งพวกผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไปบ่อยๆ ซึ่งล้วนแต่ซื้อแยกจากที่ใช้ประจำวันเจ้าค่ะ
“ท่านแม่ ข้าก็อยากทำอาหารกินเองบ้างเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากกินอาหารจากครัวแล้ว” นางแม่เฉิงเจ็ดรีบพูดขึ้น
หากเงินส่วนนี้เบิกจ่ายจากเงินส่วนรวม บรรดาลูกคนอื่นๆ ก็ต้องทำได้เช่นกัน
ฮูหยินรองเฉินกำพัดใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เอาล่ะ ในเมื่อนางได้กิน เจ้าก็ต้องได้กิน เจ้าอยากกินอะไรก็ไปบอกคนครัว” นางเอ่ยขึ้นพลางมองลูกสาวที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
…………………………………………………………………….