บทที่ 36 ไม่ยุติธรรม Ink Stone_Romance

เมื่อปลายเดือนวนมาถึงอีกครั้ง บรรยากาศตรงลานหน้าบ้านของฮูหยินใหญ่เฉิงก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง

เสียงปังดังขึ้น

เหล่าแม่บ้านของท่านหญิงทั้งหลายต่างนั่งคุกเข่าทำสงครามเย็นกันในบ้าน

“บ้านนี้ไม่ต้องมีข้าเป็นนายหญิงแล้วใช่หรือไม่” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วตะโกน

สมุดบัญชีที่ถูกโยน กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น

“ฮูหยินเจ้าคะ นี่เป็นคำสั่งของฮูหยินรองเจ้าค่ะ จริงๆ แล้ว…” แม่บ้านหลายนางหมอบกล่าวด้วยเสียงสั่น

พวกนางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อดี กลัวว่าคำพูดที่พูดออกมานั้น จะสร้างความไม่ร้าวฉานให้แก่ทั้งสองเรือน

ของนางอีกแล้วหรือ เหตุใดชิงเหนียงยิ่งอยู่วุฒิภาวะยิ่งน้อยลงเช่นนี้

เหตุใดนางถึงไม่ยอมมาพูดเอง นางไม่ได้ทำบัญชีต่อแล้วจึงไม่เห็นรายจ่ายของบัญชีทั้งหมด ไม่เช่นนั้นครั้งก่อนเบิกซื้อของหัตถกรรมราคาแพง ครั้งนี้ซื้ออาหารอันโอชะเพิ่มตามที่ต้องการ ซึ่งหากรายจ่ายทั้งหมด หักจากบัญชีของนางเองคงไม่เป็นไร แต่นางกลับเบิกจากบัญชีกลาง ครั้งหน้าไม่รู้จะเบิกไปซื้ออะไรอีก

“เชิญฮูหยินรองมาพบข้าที” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “พวกเจ้าออกไปเถอะ”

“เจ้าค่ะ” แม่บ้านรีบตอบ พร้อมกับเก็บสมุดบัญชีที่ตกอยู่อย่างระมัดระวัง

พวกนางกระพริบตาให้กันและแลบลิ้นเมื่อก้าวออกจากประตู

หลบไปไกลๆ ก่อนเถอะ.

ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเมื่อได้ยินคำเชิญจากฮูหยินใหญ่

“เหตุใดพี่สะใภ้ถึงเรียกเจ้าให้ไปหา” นายรองเฉิงที่พิงโต๊ะผิงจีและนั่งอ่านหนังสืออยู่บนพื้นถาม

“อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้เจอหน้าข้ามาหลายวัน คงคิดถึงข้า” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มกล่าว พร้อมกับลุกขึ้นยืน

นายรองเฉิงหัวเราะเสียงดัง

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจงรีบไปเถอะ ไปพูดคุยกันให้หายคิดถึง” เขากล่าว

เมื่อเห็นฮูหยินรองเฉิงเดินจากไป นายรองเฉิงที่กำลังพลิกหนังสืออ่านอยู่ก็จาม และได้ยินเสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านนอกกำลังหัวเราะ ท้องฟ้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงสูงโปร่ง อากาศเย็นสบาย อีกทั้ง เสียงหัวเราะจากด้านนอกฟังดูน่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ

เขาวางหนังสือลง แล้วลุกเดินออกไป ไม่นานเสียงหัวเราะจากด้านนอกก็เงียบลง และสาวใช้ที่อยู่ลานหน้าบ้านก็ไม่เห็นนายรองเฉิงกลับมาอีกเลย

“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง” สาวใช้นางหนึ่งเม้มปากยิ้มถาม

สาวใช้นางหนึ่งที่อยู่หน้าประตูเบะปาก

“เป็นคนของอนุภรรยาจากเรือนบูรพา” นางกระซิบ

“อนุภรรยานางนี้มีดวงตาเฉียบคมยิ่งนัก” สาวใช้ก่อนหน้านี้ยิ้มกล่าว

สาวใช้ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มโดยไม่ออกเสียง

ฮูหยินรองเฉิงนำเหล่าสาวใช้เดินบนถนนอย่างไม่เร่งรีบ ซึ่งไปเรือนฮูหยินใหญ่ต้องผ่านสระบัว

“ไม่ได้ผ่านมาหลายวัน ดอกเบญจมาศบานเร็วมาก” นางพูดพลางมองไปที่ดอกเบญจมาศข้างสระดอกไม้

“ใช่เจ้าค่ะ ปีนี้ดอกเบญจมาศบานไวกว่าปกติเจ้าค่ะ” สาวใช้ยิ้มกล่าว

ฮูหยินรองเฉิงชะลอเดิน

“อืม ดีมาก ข้าดูสิ” นางกล่าว

สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังสบตากันด้วยความกังวลและงวยงงเล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าฮูหยินใหญ่เรียกหาหรือ เหตุใดฮูหยินรองถึงยังไม่รีบไป

ทว่าพวกนางไม่บ้าพอที่จะออกเสียงเตือน เพราะฮูหยินรองเฉิงไม่ใช่คนบ้า!

“ท่านแม่” เสียงของแม่นางเฉิงเจ็ดดังมาจากฝั่งตรงข้าม

ฮูหยินรองเฉิงมองไปทางเสียงที่ได้ยิน แล้วมองเห็นแม่นางเฉิงเจ็ดกับแม่นางท่านอื่นๆ กำลังชมดอกไม้อยู่

“เล่นให้สนุก ระมัดระวังด้วย และห้ามตกน้ำล่ะ” นางกล่าว

“รู้แล้วเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเก็บมือตะโกน แล้วมองท่านแม่พาสาวใช้เดินจากไป

“ช่างน่าเบื่ออะไรเช่นนี้” นางกล่าว พร้อมกับโยนกิ่งไม้ลงสระ

แม่นางเฉิงห้ากับแม่นางเฉิงสี่กำลังเลือกมงกุฎดอกเบญจมาศให้แก่แม่นางเฉิงหกอยู่

“ข้าได้ยินมาว่าแม่นางต่งจะจัดงานเลี้ยงน้ำชา” แม่นางเฉิงหกกล่าว

“แล้วอย่างไรเล่า พวกเราไปไม่ได้สักหน่อย หากไป ก็คงถูกหัวเราะเยาะใส่เป็นแน่” แม่นางเฉิงเจ็ดพูดพลางนั่งลงบนหิน และมองไปที่ดอกเบญจมาศที่อยู่ตรงหน้า “คนบ้านางนั้นเมื่อไหร่จะไปสักที”

“อย่าพูดมั่วเช่นนี้ นางจะไปไหนได้” แม่นางเฉิงห้ากล่าว

“ดอกเบญจมาศของบ้านเราบานสะพรั่ง แต่บ้านของแม่นางต่งไม่มี นางจะจัดงานเลี้ยงน้ำชา ข้าก็สามารถจัดงานดอกเบญจมาศได้” แม่นางเฉิงหกกล่าวด้วยแววตาที่สดใส

“พี่สาวเจ้าคะ ออกไปยังถูกหัวเราะเยาะเลย นี่จะเชิญคนมาดูคนบ้าหรือเจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดเบ้ปากกล่าว พร้อมกับยื่นมือไปเด็ดดอกเบญจมาศที่บานอยู่ครึ่งดอกขยี้จนเละแล้วโยนทิ้งกับพื้น

“ถูกของเจ้า” แม่นางเฉิงหกกล่าวอย่างหดหู่

“เหตุใดถึงยังไม่ส่งนางไปวัดเต๋า พ่อข้าบอกว่า ในเวลานั้นนักพรตเต๋ากล่าวไว้ว่า ส่งนางไปวัดเต๋านั้นดีกับนาง” แม่นางเฉิงเจ็ดกล่าวด้วยความโกรธ ขณะที่ถือดอกเบญจมาศอยู่

แม่นางเฉิงหกทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ และมองไปที่ดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่งไปทั่วลาน

“พวกเจ้ากำลังชมดอกไม้กันอยู่หรือ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

พี่สาวน้องสาวทุกนางต่างมองไปทางเสียงนั้น และทุกคนก็ยิ้มด้วยความประหลาดใจ

“พี่ชายสี่!”

หนึ่งเดือนที่ไมได้เจอหน้าท่านชายเฉิงสี่ ท่านผอมไปมาก แต่ยังดูสดใสอยู่ ซึ่งท่านยืนเกาะสาวใช้อยู่ด้านข้าง

บรรดาพี่สาวน้องสาวยืนล้อมท่านชายสี่ พร้อมกับกล่าวทักทาย

“พี่สี่ท่านยังกล้ามาที่สวนนี้อีกหรือ ไม่กลัวโดนผีสาวจับตัวไปอีกหรือเจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดยิ้มกล่าว

พี่น้องที่เหลือต่างรีบเรียกนาง

ท่านชายเฉิงสี่หัวเราะเสียงดัง

“ข้าไม่กลัวหรอก ผีกลัวคนชั่ว ครั้งที่แล้วนางไม่กล้าจับข้าไป ครั้งนี้ก็ไม่กล้าเช่นกัน” เขายิ้มกล่าว พร้อมกับลูบศีรษะแม่นางเฉิงเจ็ด

“ พี่ชายเจ้าคะ ผีรูปร่างน่ากลัวหรือไม่เจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดถามด้วยความสนใจปนสงสัย

“ ไม่น่ากลัวเลย” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มตอบ

“พอแล้ว พอแล้ว ปล่อยให้พี่ชายสี่ค่อยๆ เดินผ่อนคลายเถอะ พวกเราไปที่โน้นกัน” แม่นางเฉิงห้ากล่าว

แม้ว่าแม่นางเฉิงเจ็ด ยังอยากถามเรื่องผีสาวอยู่ แต่ก็หมดหนทางเพราะเหล่าพี่น้องเดินไปกันแล้ว และนางก็ไม่อยากเที่ยวเล่นคนเดียวตามลำพัง ดังนั้น นางจึงเดินตามออกไปอย่างไม่เต็มใจ

“ท่านชายเหนื่อยแล้วใช่ไหมเจ้าคะ พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ” ชุนหลานถาม

“ข้าไม่เหนื่อย” ท่านชายเฉิงสี่มองไปข้างหน้าที่ไม่ไกลมาก และกล่าวว่า “เดินต่ออีกหน่อย”

“ได้เจ้าค่ะ” ชุนหลานตอบ พร้อมกับพยุงท่านชายเฉิงสี่ แล้วทั้งสองก็เดินอย่างช้าๆ

เมื่อเดินมาถึงข้างหินก้อนใหญ่ ทั้งสองก็หยุดพร้อมกัน

ท่านชายเฉิงสี่อยากพูดพูด จึงหันหน้าไปมองชุนหลาน เห็นนางกำลังจ้องมองก้อนหินนั้นอย่างเหม่อลอย

นางก็มองหรือ

ท่านชายเฉิงสี่มองไป ในระหว่างที่ใจลอยก็มองเห็นสาวนางนั้นนั่งมองตรงอยู่ แล้วหายไปในพริบตา

“ชุนหลาน เจ้าเคยมาที่นี่ขอผีสาวใช่หรือไม่” เขาพูดอย่างกะทันหัน “หรือว่าเจ้าเห็นอะไรตรงนี้หรือ”

ชุนหลานตัวสั่น

“ที่ตรงนี้ ข้าทาสพบกับคนที่บอกวิธีช่วยท่านชายเจ้าค่ะ” นางกล่าว

“อืม” ท่านชายเฉิงสี่เปล่งเสียงออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย

บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนในจินตนาการของเขาเองก็เป็นได้ ซึ่งขณะนั้นเขากำลังป่วยอยู่

“เป็นสาวใช้ของตระกูลโจวล่ะสิ” เขากล่าวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณนางเลย นางก็ไปซะแล้ว”

ชุนหลานพยักหน้า

“ใช่เจ้าค่ะ” นางกล่าว พร้อมกับมองไปที่ก้อนหินนั้นอีกครั้ง ช่างแปลกอะไรเช่นนี้ นางจำคำอธิบายของสาวใช้ไม่ได้แล้ว แต่ภาพของหญิงสาวที่คลุมผ้าสีดำกลับปรากฏเด่นชัดขึ้น นางส่ายหัว “ท่านชายเพิ่งจะหายดี และวันนี้อากาศก็เย็น พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”

“ได้” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว พร้อมกับเกาะนาง แล้วหันหลังเดินกลับช้าๆ

ขณะนี้ ฮูหยินรองเฉิงนั่งลงตรงหน้าของฮูหยินใหญ่เฉิง

“พี่สะใภ้เจ้าคะ ดอกเบญจมาศที่นี่กำลังบานพอดีเลยเจ้าค่ะ” นางพูดพลางมองไปที่ดอกเบญจมาศดอกหนึ่งที่จัดไว้ตรงหน้าฉากกั้นห้อง

“ดอกไม้ในสวนบานหมดแล้ว หากเจ้าชอบก็เด็ดกลับไปได้” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

ฮูหยินรองเฉิงรับน้ำชาจากสาวใช้แล้วจิบ

“ดอกไม้ของตระกูลเราดี แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุด มีคนสวนคนใหม่มาจากในเมือง แล้วปลูกดอกเบญจมาศที่ล้ำค่าและขึ้นชื่อไว้จำนวนมาก” นางกล่าว“ ทุกคนต่างรีบแย่งกันซื้อ โชคดีที่ข้าซื้อมาได้สองต้น หากถึงตอนนั้น พี่สะใภ้ใหญ่ลองมาชมนะเจ้าคะ พี่ต้องชอบแน่ๆ เจ้าค่ะ”

หัวใจของฮูหยินใหญ่เฉิงสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า “ล้ำค่า”

“เท่าไหร่หรือ” นางถามอย่างไม่รีรอ

ได้ยินมาว่าดอกไม้ที่ล่ำค่ามีราคาแพงมาก

“ไม่แพงเจ้าค่ะ แค่สามร้อยกว่าน เจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว “พี่สะใภ้เจ้าคะ หากถึงตอนนั้นก็ปลูกไว้ในสวน แล้วพวกเราจัดงานชมดอกไม้กันนะเจ้าคะ”

นางยังพูดไม่จบ ฮูหยินใหญ่ก็ตะโกนเรียกชื่อชิงเหนียง

ฮูหยินรองเฉิงมองหน้านาง โดยไม่ได้พูดต่อ

“คืนดอกไม้ไป” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าวพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายที

“พี่สะใภ้เจ้าคะ ท่านยังไม่เห็นดอกเบญจมาศเลย หากท่านเห็นมัน ท่านต้องชอบแน่ๆ เจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับจับพัดงาช้างที่เพิ่งซื้อมาใหม่ โดยพัดนี้ทำขึ้นด้วยความปราณีตและพิถีพิถันเป็นอย่างมาก และข้าก็ชอบมันมาก “อีกอย่าง ข้าจ่ายค่ามัดจำไปแล้ว จะคืนได้อย่างไรเจ้าคะ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงเฉิงกัดฟันมองนาง

“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าชอบ ก็จงซื้อด้วยเงินของเจ้าเอง” นางกล่าว

“พี่สะใภ้พูดอะไรออกมาเจ้าคะ” ฮูหยินรองเฉิงหัวเราะพลางแกว่งพัดที่อยู่ในมือ “ต่างเป็นคนในครอบครัว เงินของครอบครัว เหตุใดข้าถึงใช้ไม่ได้เจ้าคะ “

“เจ้า!” นางเฉิงตะโกนอย่างเกรี้ยวโกรธ

นับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลเฉิงมา นี่คงเป็นครั้งแรกที่เผิงชิงเหนียงพูดกับตนเช่นนี้!

เกิดอะไรขึ้นกับนาง เหตุใดนางถึงทำตัวแปลกเช่นนี้ ผีเข้าสิงหรือ

……………………………………………………….