บทที่ 29 การสอบสวน

ตอนนี้เป็นเวลาตี 2 แล้ว เซียวเฟิงมองไปตามรายชื่อ เถียซูกับเจ๋าซือยังคงออนไลน์อยู่ ทีแรกเขาอยากที่จะไปพูดคุยกับทั้งคู่เรื่องเปลี่ยนคลาสสักหน่อย แต่แล้วก็ตัดสินใจที่จะออกจากเกมแทน ในคืนมืดที่ไร้แสงจันทร์ แสงเพียงหนึ่งเดียวในเวลานั้นมาจากไฟสลัวๆ ตามริมถนนเท่านั้น

เขาลืมตาขึ้นมา ถอดหมวกเล่นเกมออกแล้วหายออกไปจากห้องในทันที อพาร์ทเม้นท์เก่าๆ ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า ยามค่ำคืนนั้นไร้แสงสีไร้เสียงใดๆ โดยสิ้นเชิงต่างจากเขตเมืองใหม่ แต่กลับมีรถสี่ล้อสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่หัวมุมถนนของอพาร์ทเม้นท์ จากอุณหภูมิที่มันปล่อยออกมาบ่งบอกว่ามันเพิ่งจะถูกดับเครื่องไปหมาดๆ และรถคันนี้เป็นรถแต่ง ข้างในรถมีพื้นที่กว้างขวางมาก ข้างในนั้นมีชายวัยกลางคนที่กำลังซ่อมคอมพิวเตอร์ที่หน้าจอมืดสนิทในสภาพเหงื่อท่วมตัว

“ก๊อกๆ!”

ตอนนั้นใครบางคนเคาะกระจกรถสองครั้ง ชายในรถใจหายวูบก่อนที่จะมองไปข้างนอกด้วยอาการตื่นกลัว

“นั่นใครน่ะ!”

ด้วยแสงไฟที่สลัวมาก ทำให้เขาไม่สามารถเห็นใครหรืออะไรข้างนอกได้เลย ชายวัยกลางคนมองออกไปด้านนอกแต่ก็พบแค่ความว่างเปล่า

“นั่นใคร! ใครอยู่ตรงนั้น?”

เสียงที่ถามออกไปเริ่มสั่นแล้ว แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ

ที่ถนนนั้นเงียบมาก มีแค่เสียงแมลงเท่านั้น ชายวัยกลางคนคิดแค่ว่าตนน่าจะคิดไปเอง มันน่าจะเป็นเสียงจากการทำงานของกล้องรักษาความปลอดภัยเฉยๆ

เขากลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ รวบรวมความกล้าแล้วเปิดประตูออกไป แต่ก็ยังไม่พบใครอยู่ดี เขาโล่งอก จากนั้นจึงปิดประตูแล้วหันกลับมาตรวจตราการทำงานของกล้องตรวจตราที่อยู่ดีๆ ก็ไม่ทำงาน แต่นอกจากตนเองแล้วเขาก็พบว่ามีคนมากำลังนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาอยู่คนเดียว!

“อ้ากกกกก! ผีหลอกกกกกก!”

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นมาอย่างสติแตก สะดุ้งโหยงจนหัวกระแทกหลังคารถ แต่ความเจ็บนั้นเรียกสติเขากลับมาได้พอสมควร

“แกจริงๆ ด้วยสินะ…”

ถึงแม้ว่าเขาจะสติกลับมาแล้ว แต่ในดวงตายังคงมีความหวาดหวั่นอยู่ หัวใจของชายวัยกลางคนเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะหันไปดูชายคนหนึ่งที่มานั่งอยู่กับเขาอย่างกะทันหัน

“นายรู้จักฉันสินะ แถมยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ มาตั้งนานแล้วด้วย…”

คนคนนั้นคือเซียวเฟิง ในมือของเขามีกล้องโดรนที่เขาเจอบนอพาร์ทเม้นท์ แล้วเขาก็พูดออกมาอย่างใช้ความคิด

“แก…แกคือใครวะ…”

พอมองกล้องในมืออีกฝ่าย ชายวัยกลางคนก็เลิ่กลั่กเหงื่อท่วมตัวยิ่งกว่าเดิม เขาเป็นคนที่เอาโดรนมาไว้ที่นี่เองแต่มันดันทำงานผิดพลาดเลยมาตรวจสอบ แต่ตอนนี้เป้าหมายที่ว่าก็นั่งอยู่กับเขาในรถเสียแล้ว

“ดูท่าจะอ่านสถานการณ์ไม่ออกสินะ นายต่างหากที่ต้องตอบคำถามมา แล้วห้ามโกหกด้วย เข้าใจไหม?”

เซียวเฟิงพูดออกมาอย่างเรียบๆ แล้วก็ขยี้กล้องโดรนจนเละ

“ฉันไม่รู้ว่าแกพูดถึงเรื่องอะ…”

ชายวัยกลางคนยังคงโต้เถียงอยู่ แต่ทันทีที่พูดออกไป… ความเจ็บปวดก็เเล่นมาจากมือข้างขวา!!

“อ้ากกกกกก…”

เขาร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หากแต่ปากกลับโดนเซียวเฟิงปิดไว้ ด้วยความเจ็บปวดทำให้เขาเถียงต่อไม่ได้ แล้วพอยกมือขึ้นมาก็พบว่านิ้วของตนเองนิ้วหนึ่งหักไปแล้วเรียบร้อย! กระดูกที่หักออกมาและเลือดที่คั่งอยู่ในนิ้วได้อย่างชัดเจน เขาแทบจะสลบในทันทีด้วยความเจ็บปวด!

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำ ตอบคำถามมาซะ ถ้าทำอะไรตุกติก นิ้วแกหักเพิ่มแน่”

แต่เซียวเฟิงไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายสลบไปง่ายๆ เขาพูดประโยคเดิมอย่างใจเย็น ภายในรถคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทันที แต่ท่าทีของชายหนุ่มก็ยังคงเหมือนเดิม

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว…”

ชายวัยกลางคนพูดออกมาทันที เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาห้ามเลือดในจุดที่นิ้วหัก ความเจ็บปวด และการเสียเลือดทำให้เขาหน้าซีด แต่เขาไม่กล้าที่จะร้องออกมา ทำได้แค่จ้องมองคนตรงหน้าเท่านั้น

“ใครส่งแกมา?”

“ฉัน……”

เขาลังเลที่จะพูดออกมา ก่อนที่นิ้วของเขาจะถูกหักเพิ่มอีกทันที

“อ้ากกกกก!!! บอกแล้วๆ!”

เขาร้องออกมา ตอนนี้นิ้วของเขาหักไป 2 นิ้วแล้ว เลือดออกมาเยอะมากจนผ้าเช็ดหน้าเริ่มซับไม่หมดแล้ว

“ความอดทนฉันมีจำกัด แกอาจจะไปไม่ถึงโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”

ท่าทีใจเย็นของเซียวเฟิงทำให้คนตรงหน้านั้นไม่กล้าทำอะไรอีกนอกจากบอกเรื่องทั้งหมดออกมาอย่างสั่นกลัว

แผลที่เปิดออกมานั้นแตกต่างจากแผลมีดบาด มันเจ็บกว่า และห้ามเลือดได้ยากกว่า

“หัวหน้าของมิดซัมเมอร์กรุ๊ปจ้างฉันให้มาตามดูเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวของเขาเท่านั้น!” ชายวัยกลางคนหน้าซีดแล้วรีบพูดออกมา และยังเสริมอีกว่า “ฉันเป็นแค่นักสืบเอกชน ปล่อยฉันไปเถอะ!”

“มิดซัมเมอร์กรุ๊ป? ฉันจำได้ว่าประธานฆ่าตัวตายไปแล้ว ประธานคนใหม่รึไง?”

ตาของเซียวเฟิงหรี่ลง

“ใช่ ใช่ หุ้นส่วนได้ถูกโอนย้ายไปให้กับภรรยาของเขาแล้ว ด้วยอำนาจของอดีตประธาน ทำให้เธอกลายเป็นประธานคนใหม่แล้ว!”

ชายวัยกลางคนพูดออกมาแล้วลอบมองเซียวเฟิง ข่าวนี้ไม่เคยได้รับการเผยแพร่ออกไป แล้วเขารู้ได้ยังไงกัน?

ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก คนตรงหน้าเขาก็ดูไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เป็นคนดีด้วยซ้ำ แล้วทำไมยังต้องจับตาดูเขาอีก?

“ทำงานให้พวกมิดซัมเมอร์มานานแค่ไหนแล้ว?” เซียวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อ

“มิดซัมเมอร์กรุ๊ปเป็นลูกค้าเก่าแก่ ฉันทำงานให้พวกเขาอยู่… มาหลายปีแล้ว…”

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ถามออกมาแบบนั้น แต่เขาก็ตอบไปตามตรง

“รู้ไหมว่าใครเป็นคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังมิดซัมเมอร์กรุ๊ป?” เซียวเฟิงมองลึกลงไปในดวงตาของนักสืบ ชายหนุ่มดูไม่ใจเย็นเหมือนตอนแรกๆ แล้ว นักสืบเลยตอบออกไป “5 ปีก่อน มิดซัมเมอร์เป็นผู้สนับสนุนทีมของฮัวเซียในการแข่งขันเกมในรอบชิงชนะเลิศ รู้จักกัปตันของทีมชาติจีนไหมล่ะ ที่ชื่อออลเรเลียน่ะ?”

“แก…”

เขามองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น ความตกใจในดวงตานั้นเป็นของจริง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เร่งเร้าให้เล่าต่อ แต่พูดให้ถูกก็คือเซียวเฟิงพอที่จะเดาคำตอบได้แล้ว ชายหนุ่มกำหมัดของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

“มิดซัมเมอร์มีคนชักใยอยู่แน่นอน ฉันรู้จากการทำงานในอาชีพนี้ แต่ก็ไม่รู้แน่นอนหรอก เพราะถ้าเราไล่สืบเรื่องนายจ้าง… พวกเขาก็คงไม่เอาเราไว้…”

เขาว่าแล้วลอบดูท่าทีของอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าจะไม่พอใจในคำตอบ และชายวัยกลางคนก็พูดต่อไป “แต่ฉันคิดว่า 5 ปีก่อนคงจะไม่มีอะไรในกอไผ่ ในตอนนั้นกัปตันทีมของจีนได้แบกรับความหวังของทั้งประเทศเอาไว้ พวกเขาคงจะไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งหรอก… เดี๋ยวนะ…”

เขามองไปที่เซียวเฟิงทันที แล้วก็ถามออกมาด้วยท่าทีเหลือเชื่อ

“หรือว่า… นายคือคนคนนั้นที่หายตัวไปเมื่อ 5 ปีก่อน…”

แต่ก่อนที่จะพูดจบ เขาก็คิ้วแตกจากเศษซากของโดรนที่พุ่งเข้ามาหากะโหลก!

ใบหน้าของเซียวเฟิงยังคงมีท่าทางไม่เชื่ออยู่

“จากการใช้มิดซัมเมอร์เป็นเหยื่อล่อ ดูท่าว่าไอ้ชั่วนั่นจะได้ของที่มันอยากได้แล้ว ขอดูหน่อยสิว่าหลังจากนี้จะทำยังไงต่อไป”

เซียวเฟิงเดินออกไปจากรถที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ

เซียวเฟิงดัดนิ้วไปมา เมื่อไม่มีโดรนแล้ว พวกกล้องที่ติดอยู่ตามถนนก็ไม่ทำงานไปด้วย จากนั้นชายหนุ่มจึงมานั่งที่นั่งสำหรับคนขับแล้วขับออกไปจากเมืองเก่า

คงต้องเอารถไปทำลายหลักฐานแล้วแฮะ

ตอนที่เขากลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ก็เป็นเวลาตี 5 แล้ว และเขาก็กลับมาเข้าเกมต่อตอนเวลา 7 โมงเช้า

คู่นิโคลัสยังคงเล่นอยู่ เขาเลยส่งข้อความไปหาทั้งสอง หลังจากที่รู้ที่อยู่แล้วชายหนุ่มก็ตั้งใจที่จะมุ่งไปหาทั้งสองคนเลย แต่ก่อนหน้านั้นคงจะต้องจัดการกับสิ่งของก่อน

กระเป๋าเก็บของตอนนี้มีแค่ 20 ช่องเท่านั้น และถูกใช้ไปกว่าครึ่งแล้ว มีของเลเวล 10 อยู่ 2 ชิ้นจากภารกิจทดสอบ และมีของบางชิ้นที่โยนทิ้งไม่ได้ด้วย รวมทั้งพวกใบรับรอง และกุญแจผนึก ไหนจะยังมีพวกของที่ได้มาจากการฆ่ามอนสเตอร์ธรรมดา และที่ฉวยมาจากพวกกิลด์ดูมส์เดย์ลีกด้วย โดยระดับต่ำสุดที่เขาจะเก็บไว้คือของระดับเขียว

การที่กระเป๋าเก็บของไม่เพิ่มตามเลเวลมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แล้วเขาก็ต้องการที่จะเอายาไปให้ 2 คนที่กำลังจะเจอด้วย ดังนั้นเซียวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะขายของบางชิ้นทิ้งไปและวิ่งไปที่จัตุรัสเมือง

“ขายขนหมาป่า 10 เหรียญทองแดงต่อชิ้น!”

“ขายดอกไม้จิตบริสุทธิ์! 1 เหรียญเงินต่อชิ้น! มีแค่ 10 ชิ้นเท่านั้น! มาก่อนได้ก่อน!”

“เร่เข้ามา! อาวุธดาบมือเดียวระดับเขียวเลเวล 5! ความสามารถระดับสุดยอด! ราคา 10 เหรียญทองเท่านั้น! หรือเอาไม้เท้าที่มีความสามารถใกล้เคียงมาแลกก็ได้นะ!”

“หรือจะเอาธนูเลเวล 6 มาแลกก็ได้นะ 20 เหรียญเงินอาจจะแพงไปสำหรับของระดับทั่วไป! ฉันขายให้สัก 15 แล้วกัน!”

“วอร์สปิริตฮอลล์ต้องการของชิ้นนี้! อัตราส่วน 1 ต่อ 4 จ่ายเท่าไหร่เราก็จ่าย! ขายให้พวกเราเถอะ!”

จัตุรัสของเมืองเริ่มต้นควรจะเป็นจุดที่เงียบสงบที่สุด เพราะว่ามันปลอดภัย และกว้างขวาง เป็นจุดที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ ตอนนี้มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขายของอยู่ ทำให้เป็นปัญหาในการเดินไปมามาก มีเสียงพูดคุยต่อราคากันดังอื้ออึงไปหมด

เซียวเฟิงมองไปรอบๆ แผงขายของ แต่ของที่เลเวลสูงสุดที่ถูกนำมาขายอยู่ที่เลเวล 6 ระดับขาว หายากมากที่จะมีของระดับเขียว แต่ราคาก็แพงสุดๆ หรือไม่ก็ต้องเอาของดีๆ มาแลก

เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ตอนนี้เลเวลสูงสุดของผู้เล่นอยู่ที่ 8 เขาคิดว่าของเลเวล 10 ของเขาคงจะขายไม่ได้แน่ๆ เพราะไม่มีใครใช้ได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากที่จะขายมันไปในราคาถูกเพราะว่าระดับต่ำสุดของมันก็เป็นระดับเขียวเข้าไปแล้ว