ตอนที่ 45 สวนผลไม้อันเขียวชอุ่ม

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

บทที่ 45 สวนผลไม้อันเขียวชอุ่ม

 

“ถ้าเขากลับไปทำงานไม่ได้แล้วก็อย่าไปเลยค่ะ ครอบครัวของเราต้องการใครสักคนมาดูแลสวนผลไม้ เมื่อเด็กคนนี้เกิดมาแล้ว ฉันจะไม่สามารถจัดการงานทั้งหมดได้ ดีแล้วล่ะค่ะที่เจี้ยนอวิ๋นกลับมาในเวลานี้” ซูตานหงพูดออกมาอย่างดีใจ

 

“แต่ถ้าเจี้ยนอวิ๋นกลับมาแล้ว เขาก็ไม่มีเงินเดือนในทุกเดือนแล้วนะ” คุณแม่จี้พูดอย่างเสียดาย

 

“เงินแค่นั้นไม่มากมายอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้าเขากลับมาช่วยดูสวนผลไม้และดูแลลูกได้ ฉันจะปักผ้าสองชุดได้ในหนึ่งเดือน มันได้เงินมากกว่าเงินเดือนของเขาอีกค่ะ” ซูตานหงพูดอย่างมั่นใจ

 

คุณแม่จี้ชะงักไปครู่หนึ่งและพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นก็จริง!”

 

สะใภ้สามของนางสามารถขายผ้าปักได้ในราคา 100 หยวน และการปักผ้าหนึ่งงานในหนึ่งเดือนนี้ก็เท่ากับเงินเดือนเกือบครึ่งปีของทั้งครอบครัวแล้ว

 

“แม่จะเข้าเมืองเพื่อซื้อไก่มาเลี้ยง พอเลี้ยงไปสักสองสามเดือนก็เอาลงหม้อกินได้แล้ว หรือเธอจะตุ๋นไก่พวกนี้ให้เจี้ยนอวิ๋นเพื่อบำรุงร่างกายก็ได้นะ” คุณแม่จี้ออกความเห็น

 

ซูตานหงพยักหน้า “วันนี้ฉันกินไก่ตุ๋นไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้คุณแม่เชือดไก่อีกตัวก็ได้ ฉันจะตุ๋นให้เจี้ยนอวิ๋นกิน”

 

“ได้สิ” คุณแม่จี้ตกลงด้วยความยินดี

 

จากนั้นหญิงชราก็เข้าไปดูลูกชาย เมื่อเห็นว่าเขายังคงนอนหลับอยู่นางจึงกลับไป

 

จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาคราวนี้เขาใช้เวลาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน 10 วัน ในช่วง 10 วันนี้ภรรยาของเขาไม่ได้ทำอาหารให้เขากินมากนักในช่วง 3 วันแรก แต่มีไก่ตุ๋นให้เขากินวันละ 1 ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย

 

ผ่านไป 3 วัน เขาก็รู้สึกว่าสุขภาพของเขาดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

 

แต่ดูเหมือนว่าภรรยาของเขาจะเป็นคนทำแผลให้กระมัง?

 

เพราะแผลหายเร็วมากและขาของเขาก็ฟื้นตัวดีมาก แม้จะมีอาการปวดเสียดจากแผลผ่าตัดเป็นครั้งคราว แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามันก็สมานตัวดีขึ้นมาก ปากแผลค่อย ๆ ประสานตัวกันแล้วจนมีเพียงอาการคันเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่ามันเป็นเพราะแผลกำลังสมานตัว

 

แผลที่หน้าอกของเขาเป็นจุดที่ชัดเจนมากที่สุด เมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะตัดไหมออกด้วยตัวเอง พอมาวันนี้ก็ดูเหมือนมันจะสมานตัวได้ถึง 7-8 ส่วนแล้ว เกรงว่าพรุ่งนี้แผลที่หน้าอกของเขาคงจะสมานตัวดีถึง 8-9 ส่วนเลยทีเดียว

 

เขาไม่รู้เลยว่าเหตุที่ร่างกายของเขาฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้เป็นเพราะน้ำพุวิเศษที่ซูตานหงไม่กล้านำออกมาใช้นี่เอง

 

ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบาดแผล หุงโจ๊ก หรือตุ๋นไก่ เธอมักใช้น้ำพุวิเศษผสม และผลที่เกิดขึ้นก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนภายในเวลาไม่กี่วัน

 

ในช่วง 3 วันแรกเขากินไก่ตุ๋นทุกวัน นอกจากนี้เขายังกินผักผลไม้

 

และโจ๊กมากขึ้น

 

3 วันต่อมาอาการบาดเจ็บของเขาก็พื้นตัวแล้ว ซูตานหงจึงเริ่มเปลี่ยนอาหารที่ให้เขารับประทานให้มีอาหารจานเนื้อมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อซี่โครง ต้มกระดูกหมู ทั้งหมดนี้เธอล้วนทำให้เขากิน

 

หลังได้กินอาหารทุกวัน อาการบาดเจ็บบนร่างของจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ดีขึ้น แม้แต่คุณแม่จี้ก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ โดยบอกว่าเขามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในเพียงไม่กี่วัน

 

ในเวลาเพียง 10 วัน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ฟื้นตัวดีขึ้นมาก เขาสามารถลุกขึ้นเองได้แล้ว อันที่จริงเขาฟื้นตัวเต็มที่ตั้งแต่วันที่ 7 แต่ซูตานหงปฏิเสธที่จะให้เขาลุกขึ้น เธอให้เขานอนพักอีก 3 วันก่อนที่จะเต็มใจให้เขาลุกออกจากเตียง

 

ตอนนี้แผลที่หน้าอกหายดีแล้ว อาการบาดเจ็บที่หัวเข่ายังไม่หายดียังเจ็บบ้างนิดหน่อย แต่ก็เกือบจะเป็นปกติดีแล้ว อย่างน้อยซูตานหงก็ไม่ขัดข้องที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจะออกไปข้างนอกห้อง

 

จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกทรมานนักกับการต้องอยู่รักษาตัวในห้องมา 10 วัน อันดับแรกเขาจึงไปที่บ้านใหญ่ตระกูลจี้ ซึ่งตอนนี้คุณแม่จี้กำลังเลี้ยงไก่อยู่ในสวนหลังบ้าน ทันทีที่นางเห็นเขามาหา นางก็ยิ้มและเอ่ยทัก “เจี้ยนอวิ๋น แกลุกออกจากเตียงได้แล้วเหรอ?”

 

“ครับ ผมลุกออกจากเตียงได้นานแล้วแหละ แต่ตานหงก็ไม่ให้ผมลุก” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจและอดบ่นไม่ได้

 

“สะใภ้สามเอาใจแกขนาดนั้นแกยังไม่มีความสุขอีกเหรอ? งั้นต้องเสียใจด้วยนะ” คุณแม่จี้ตอบ

 

“ แม่ ทำไมเลี้ยงไก่ไว้เยอะขนาดนี้ล่ะครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามขณะมองดูไก่ในเล้าไก่

 

“ไก่เหล่านี้แม่ชื้อมาเอง แม่วางแผนที่จะตุ๋นให้ตานหงกินหลังคลอดน่ะ กินวันละตัวก็ถือว่าไม่เยอะแล้ว” คุณแม่กี้ตอบ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ฉันเลี้ยงไว้

 

เยอะเหมือนกัน แต่ก็ให้ตานหงเอามาตุ๋นบำรุงร่างกายให้แกเสียก่อน”

 

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินแล้วก็นึกถึงเนื้อไก่และไก่ตุ๋นที่มีกลิ่นหอมน่ารับประทานเป็นพิเศษ

 

“ภรรยาของแกเป็นห่วงดูแลแกมากกว่าห่วงเรื่องดูแลตัวเองหลังคลอดเสียอีกนะ” คุณแม่จี้เอ่ยกับลูกชายอย่างไม่เกรงใจเขา

 

จุดนี้เองที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแม่กับภรรยา

 

สำหรับภรรยาแล้ว สามีคือคนของเธอ และเขาจะต้องอยู่กับเธอไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงความห่วงใยที่มีต่อเขาเลย ส่วนคุณแม่จี้นั้นแม้จะรักลูกชายและหวังว่าลูกชายจะปลอดภัย แต่นางก็ปฏิบัติในแบบของนาง

 

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นนี้จากแม่ของเขา แต่กลับรู้สึกได้ชัดเจนจากภรรยาของตน

 

หลังจากคุยกับแม่ของเขาสักพัก จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เดินขึ้นไปบนภูเขาด้วยตัวเอง

 

แม้ว่าขาของเขาจะยังไม่หายดี แต่เขาก็สามารถเดินช้า ๆ ไปได้ สวนหลังภูเขาอยู่ไม่ไกลนัก ไม่นานเขาก็เดินไปถึง

 

ทันทีที่จี้เจี้ยนอวิ๋นขึ้นไปบนภูเขา เขาก็ตะลึงกับสวนผลไม้ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาได้ยินเรื่องสวนผลไม้มาจากภรรยาของเขาแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยตาของตนเองมันก็ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่า

 

ช่างเขียวชอุ่มเหลือเกิน สวนผลไม้แห่งนี้เพิ่งจะลงต้นกล้าไปภายในปีนี้ไม่ใช่หรือ? แม้แต่สวนผลไม้ที่ปลูกมา 2 หรือ 3 ปีก็ยังไม่เจริญเติบโตดีอย่างเห็นได้ชัดเท่ากับสวนผลไม้ของเขาเลยนะ!

 

ดูพุ่มต้นพุทราผืนเล็ก ๆ นั่นสิ มันเจริญเติบโตดีขนาดไหน?

 

ไม่ต้องพูดถึงต้นเชอร์รี่นับสิบ ๆ ต้นที่ดูเขียวชอุ่มและแตกกิ่งก้านสาขาใหม่อีกมากมายเลย

 

ส่วนต้นแอปเปิ้ลก็เจริญเติบโตดี เช่นเดียวกับต้นเกาลัด ต้นพลับ ต้นมะเดื่อ และอื่น ๆ

 

จี้เจี้ยนอวิ๋นถึงกับยืนโง่ไปชั่วขณะหนึ่ง

 

ตอนนั้นพ่อแม่ของเขาต้องการที่บนภูเขานี้เพื่อปลูกไม้ผล แต่พวกเขาไม่สามารถปลูกได้เลย เพราะพื้นที่บนภูเขานั้นช่างแห้งแล้งเหลือเกิน แต่มาดูสถานการณ์ปัจจุบันนี้สิ? ไม่เพียงแต่ต้นผลไม้จะมีชีวิตรอด แต่ยังมีวัชพืชขึ้นปกคลุมอยู่ใต้ต้นไม้ด้วย มองไปทางไหนก็ดูมีชีวิตชีวาไปหมด จะเป็นภูเขาอันแห้งแล้งกันดารไปได้อย่างไร?

 

โดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากได้เห็นสวนผลไม้แห่งนี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รู้สึกราว

 

กับว่ามีน้ำหล่อชโลมภายในใจ จนรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่

 

ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้สึกได้ถึงแรงขับเคลื่อนในใจที่ไม่เคยมีมาก่อน!

 

ภรรยาของเขาพูดถูก ต่อให้เขาไม่ได้ทำงานอะไร ตราบใดที่เขาจัดการสวนผลไม้เป็นอย่างดี มันก็เพียงพอที่จะเลี้ยงภรรยาและลูกของเขาได้!

 

เมื่อได้ยินเสียงคนกำลังทำงาน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เดินไปดู

 

จากนั้นเขาก็เห็นคุณพ่อจี้กำลังทำงานอยู่กับจี้เจี้ยนกั๋ว จี้เจี้ยนเยี่ย สวี่อ้ายตั๋ง และจี้หงจวิน

 

จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยกำลังผสมปูน ขณะที่คุณพ่อจี้กับคนที่เหลือกำลังก่อกำแพง ทั้ง 5 คนทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เมื่อจี้เจี้ยนอวิ๋นมาถึง พวกเขาทั้งห้าก็หยุดมือ แต่หลังจากนั้นก็ทำงานกันต่อพลางพูดคุยกับเขาไปด้วย

 

เขาจึงได้รู้ว่า นอกเหนือจากคุณพ่อจี้ที่ทำงานโดยไม่ได้ค่าแรงแล้ว อีก 4 คนที่เหลือต่างได้ค่าแรงกันคนละ 13 หยวนต่อเดือน

 

ทุกวันนี้จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งไม่ต้องขนน้ำขึ้นภูเขาทุกวันแล้ว เพราะต้นไม้ผลสามารถเจริญเติบโตได้ด้วยตัวของมันเอง พวกเขาจึงได้เปลี่ยนงานมาสร้างกำแพงแทน บางครั้งพวกเขาถึงจะได้ขนน้ำกับปุ๋ยขึ้นเขาบ้าง โดยที่เรื่องนี้ซูตานหงจะจ้างพวกเขาโดยตรงและคิดค่าแรงเป็นรายวัน

 

“เจี้ยนอวิ๋น นายไม่ต้องกลับไปทำงานที่กองทัพแล้วเหรอ?” จี้เจี้ยนกั๋วถาม

 

การกลับมาของจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ชาวบ้านต่างรู้กันทั่วโดยไม่ต้องคิดไปเองเพราะคุณแม่จี้เป็นคนบอกว่าลูกชายของนางได้รับบาดเจ็บหลังจากการปฏิบัติภารกิจ ทางกองทัพจึงอนุญาตให้เขาลาออกกลับมาอยู่ที่บ้าน ตอนนี้เขากำลังรักษาตัวและจะอยู่ทำสวนในหมู่บ้านหลังจากนี้

 

ชาวบ้านคนอื่นไม่ได้พูดอะไร แต่คุณป้าหยางที่อยู่บ้านข้าง ๆ รู้สึกเสียดายอยู่นิดหน่อย นางเห็นว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นกำลังมีอนาคตที่ดี แต่แล้วเขาก็ต้องกลับมาดูแลสวนผลไม้แห่งนี้ และพื้นที่ปลูกผลไม้ตอนนี้ก็ปลูกไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ยังเหลือพื้นที่อีกสองในสามที่ยังไม่ได้ปลูก นั่นแสดงให้เห็นว่าสวนผลไม้แห่งนี้กินพื้นที่มากขนาดไหนกันล่ะ?

 

ดังนั้นชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าครอบครัวจะต้องอยู่รอดให้ได้!

 

…………………………………………………………………