เซียวหมิงจูเพิ่งตื่น เปิดประตูก็เห็นเซียวจื่อเซวียนเดินผ่านประตูบ้านตัวเอง ตะกร้าเปียกโชกมีน้ำหยด “ติ๋งๆๆ” ไม่หยุด หยดไปตลอดทาง
ผักตีนไก่สีเขียวชอุ่มในตะกร้า มองแวบเดียวก็รู้ว่าเพิ่งเก็บมา
“อาเซวียน…” เซียวหมิงจูเดินมากล่าวทักทายเซียวจื่อเซวียนอย่างสนิทสนม
เซียวจื่อเซวียนหยุดฝีเท้า หันไปกล่าวทักทายเซียวหมิงจู “พี่หมิงจู…”
ตอนนี้ยังเป็นช่วงเดือนสอง ตื่นเช้ายังรู้สึกหนาวเย็น แต่บนหน้าผากเซียวจื่อเซวียนกลับมีเหงื่อซึมเล็กน้อย เขาคงตื่นแต่เช้ามาทำอะไรหลายอย่าง
“ทำไมถึงตื่นเช้านัก ดูเจ้าสิ ทำไมถึงโง่นัก นางให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำตามงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้จักอู้งานบ้าง เจ้าเพิ่งแปดขวบเป็นวัยกำลังโต สตรีผู้นั้นทำไมถึงทำได้ลงคอ…” เซียวหมิงจูกล่าวด้วยความรู้สึกสงสาร กล่าวถึงช่วงท้าย น้ำเสียงก็เริ่มสะอื้น
เซียวจื่อเซวียนมองเซียวหมิงจู ส่ายหน้าพร้อมกล่าว “นางไม่ได้ให้ข้าทำ! แต่ข้าจะทำเอง”
เซียวหมิงจูแสดงสีหน้าปวดใจ “เด็กโง่ เจ้ากับอาเมิ่งคิดจะกินแต่ผักตีนไก่อีกแล้วใช่หรือไม่? อีกเดี๋ยวเจ้าพาอาเมิ่งมาหาข้า พี่หมิงจูจะต้มไข่ไก่ให้เจ้ากับอาเมิ่งกิน”
จะไม่ตื่นแต่เช้ามาเก็บผักป่าได้หรือ หากไม่เก็บผักป่าพวกเขาก็ไม่มีอะไรให้กิน!
“ไม่ต้องแล้ว พี่หมิงจู ข้าต้องกลับไปก่อน พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยสบาย จื่อเมิ่งอยู่บ้านคนเดียวเกรงว่าจะดูแลไม่ไหว”
พี่สะใภ้ใหญ่?
เซียวหมิงจูมองเซียวจื่อเซวียนด้วยท่าทางตกตะลึง “อาเซวียน เจ้า… เจ้าเรียกนางว่าพี่สะใภ้ใหญ่งั้นหรือ? นางทำเช่นนั้นกับเจ้าและอาเมิ่ง เจ้ากับอาเมิ่งยังจะปกป้องนางอีก!”
เมื่อวานอาเมิ่งเรียกเซี่ยยวี่หลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่ ก็ทำให้เซียวหมิงจูตกใจแล้ว ตอนนี้ได้ยินเซียวจื่อเซวียนเรียกเซี่ยยวี่หลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่เหมือนกัน ทำให้เซียวหมิงจูรู้สึกตะลึงงันราวกับโดนอสนีฟาดใส่ก็มิปาน
“พี่หมิงจู นาง… ตอนนี้นางดีกับพวกเรามาก!” เซียวจื่อเซวียนจับตะกร้าไว้แน่น เพียงบอกกับเซียวหมิงจูว่ายังมีธุระที่บ้าน ก็หันขวับเดินไปทางบ้านตัวเองแล้ว
เซียวหมิงจูมองส่งแผ่นหลังของเซียวจื่อเซวียนที่เดินไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตกตะลึง อายวี่เพิ่งไปแค่กี่วัน เด็กสองคนก็โดนเซี่ยยวี่หลัวซื้อใจแล้วงั้นหรือ?
สมกับเป็นนางจิ้งจอก เป็นเลิศด้านการล่อลวงบุรุษ แม้แต่การหลอกล่อเด็กก็มีฝีมือเป็นเลิศเช่นกัน
นางกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เซียวจื่อเซวียนหิ้วตะกร้า สาวเท้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เห็นแต่ไกลว่าปล่องควันบ้านตัวเองมีควันขาวลอยขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สายลมอ่อนโบกพัดในเดือนสอง ควันขาวลอยเอื่อยๆ ไปตามสายลมที่โชยมา
มีคนกำลังทำอาหารอยู่ที่บ้าน!
เซียวจื่อเซวียนหิ้วตะกร้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ วิ่งเหยาะๆ กลับบ้านไป
บางทีในเวลานี้ เซียวจื่อเซวียนยังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ว่าตัวเองเหมือนจะไม่ได้กลัว และไม่ได้รังเกียจเซี่ยยวี่หลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เมื่อวานนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ทั้งยังได้ดื่มน้ำต้มน้ำตาลทรายแดงสองถ้วยใหญ่ ได้พักเต็มที่ และกินอาหารมีประโยชน์ วันนี้ตอนตื่นขึ้น แม้ร่างกายเซี่ยยวี่หลัวจะยังไม่กระปรี้กระเปร่านัก แต่ความเจ็บปวดเจียนตายนั่นก็หายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
เดิมทีนางคิดจะลุกขึ้นเอง แต่คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งพลิกตัว ก็ทำให้เซียวจื่อเมิ่งสะดุ้งตื่น “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ!”
เจ้าเด็กไร้เดียงสาคนนี้ ลืมตาตื่นขึ้นมา ประโยคแรกก็ถามว่านางสบายดีหรือไม่
เซี่ยยวี่หลัวลูบศีรษะนางพร้อมกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ดีขึ้นมากแล้ว ไม่ปวดท้องเลยสักนิด”
เมื่อคืนนี้ โถน้ำร้อนที่ร้อนจนเดือดเพียงหนึ่งเดียว เดิมทีเซี่ยยวี่หลัวจะให้เซียวจื่อเมิ่งใช้ แต่เด็กคนนี้พูดอย่างไรก็ไม่ยอมใช้ นำมาแนบตรงท้องของเซี่ยยวี่หลัว มีเสื้อซับในชั้นหนากั้นไว้ โถน้ำร้อนที่ร้อนจนเดือดอังจนท้องอุ่นเสียยิ่งกว่าอะไร
จนนางตื่นนอนในตอนเช้า โถน้ำร้อนยังร้อนอยู่ ตอนนั้นเซี่ยยวี่หลัวก็ประหลาดใจ เหตุใดผ่านไปหนึ่งคืน โถน้ำร้อนถึงยังร้อนอยู่ หลังจากถามดู จึงได้รู้ว่าหลังจากเซียวจื่อเซวียนตื่นขึ้นก็เปลี่ยนให้รอบหนึ่ง
เซี่ยยวี่หลัวฟื้นฟูจนเป็นปกติ จึงหวีผมให้เซียวจื่อเมิ่ง ภายหลังล้างหน้าบ้วนปากจึงไปห้องครัวเริ่มทำอาหารเช้า เช้านี้ต้มโจ๊ก เซี่ยยวี่หลัวขัดไข่ไก่สามฟองจนสะอาด ใส่ลงไปในโจ๊กเพื่อต้มพร้อมกัน จากนั้นจึงกอดเซียวจื่อเมิ่งไว้ นั่งอยู่ด้านหลังเตาไฟคอยใส่ฟืน
ไฟส่องแสงสว่าง สาดส่องจนใบหน้าของทั้งสองคนดูสว่างแจ่มชัด เซียวจื่อเมิ่งมองเซี่ยยวี่หลัว ฟังเซี่ยยวี่หลัวเล่านิทาน ดวงตาเหมือนจะเปล่งประกายแสงได้อย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่เซียวจื่อเซวียนเข้ามา ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้
ในห้วงภวังค์หวนนึกถึงท่าทางเมื่อคืนของเซียวจื่อเมิ่งที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเซี่ยยวี่หลัว นอนอยู่ภายใต้ผ้านวมชั้นหนา มีเพียงศีรษะเล็กที่โผล่ออกมา เซียวจื่อเซวียนขยับปาก เดิมทีคิดจะถามเซี่ยยวี่หลัวว่ายังปวดท้องหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกมา วางตะกร้าไว้บนเขียง
เซี่ยยวี่หลัวเงยหน้าขึ้น คิ้วงามเลิกขึ้น “จื่อเซวียนกลับมาแล้วหรือ? เอาล่ะ เราผัดผักเสร็จก็กินได้แล้ว”
โจ๊กในหม้อเดือดแล้ว ได้กลิ่นข้าวหอมกรุ่นเป็นระลอก
เซี่ยยวี่หลัวล้างกระทะด้านในจนสะอาด เมื่อกระทะร้อนแล้ว เหยาะน้ำมันเล็กน้อย ผัดผักจี้ช่ายที่เพิ่งเก็บกลับมาหนึ่งจานใหญ่ จากนั้นใช้น้ำร้อนลวกชามกับตะเกียบ ทั้งสามคนลงมือพร้อมกัน ยกอาหารเข้าไปในห้องของเซี่ยยวี่หลัว ก่อนเริ่มกินข้าว
แต่ละคนมีไข่ไก่หนึ่งฟอง โจ๊กชามใหญ่หนึ่งชาม และมีผักจี้ช่ายหนึ่งจาน ทั้งสามคนกินเสร็จแล้ว ต่างก็กินจนอิ่ม
ยังคงเป็นเซียวจื่อเซวียนที่ไปล้างชามกับตะเกียบในห้องครัว แม้ว่าเซี่ยยวี่หลัวจะไม่ปวดท้องแล้ว แต่เพราะเซียวจื่อเมิ่งร้องขออย่างหนัก สุดท้ายก็กลับไปนอนบนเตียง
เมื่อวานนอนแทบทั้งวัน เซี่ยยวี่หลัวจึงนอนไม่หลับอีก จึงให้เซียวจื่อเซวียนนำเสื้อจำนวนหนึ่งที่นางใส่ไม่ได้แล้วออกมาจากตู้ เทียบขนาดตัวเซียวจื่อเมิ่ง เย็บแก้ให้เล็กลงเพื่อให้เซียวจื่อเมิ่งใส่
เมื่อเซียวจื่อเซวียนล้างชามและตะเกียบเสร็จ จึงออกไปเก็บผักป่าอีก เซี่ยยวี่หลัวอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จึงให้เซียวจื่อเมิ่งตามเซียวจื่อเซวียนออกไปเก็บผักป่า ช่วยกันสองคนจะได้เร็วขึ้น
เซียวจื่อเซวียนไม่เห็นด้วย ก็ให้เซียวจื่อเมิ่งอยู่บ้านกับเซี่ยยวี่หลัว
“เจ้าอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ ห้ามไปไหนเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?” เซียวจื่อเซวียนกำชับเซียวจื่อเมิ่งเสียงเบา
ภายหลังเซียวจื่อเมิ่งบอกสิ่งที่โดนกำชับมาให้เซี่ยยวี่หลัวฟัง
เซี่ยยวี่หลัวฟังอย่างไรก็รู้สึกว่าวาจานั้นมีปัญหา รู้สึกไม่ค่อยรื่นหูนัก
แต่นางไม่ได้คิดมาก เพียงคิดว่าเซียวจื่อเซวียนเกรงว่านางจะไม่สบายตัว อยู่บ้านคนเดียวจะจัดการเรื่องต่างๆ ไม่ได้ จึงจงใจให้เซียวจื่อเมิ่งอยู่เป็นเพื่อนนาง
เซี่ยยวี่หลัวเย็บแก้เสื้อเสร็จหนึ่งตัว เทียบขนาดร่างกายเซียวจื่อเมิ่ง พอดีตัวยิ่งนัก นั่งนานจึงเมื่อยเอวปวดหลัง เซี่ยยวี่หลัวนั่งไม่ไหวแล้ว เซียวจื่อเมิ่งจึงเสนอให้ออกไปเดินเล่น จะได้ยืดเส้นยืดสายและตากแดดบ้าง ซึ่งตรงกับความต้องการของเซี่ยยวี่หลัวพอดี ทั้งสองคนจึงปิดประตูออกไป
ทั้งสองคนมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นว่าใต้ต้นหวายขนาดใหญ่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านมีหญิงชาวบ้านนั่งอยู่หลายคน มีทั้งคนที่กำลังเลี้ยงเด็ก คนที่กำลังเย็บพื้นรองเท้า และคนที่กำลังเด็ดผัก นั่งกันอยู่ห้าถึงหกคน หนึ่งในสตรีจำนวนนั้นที่เลี้ยงเด็ก ดึงดูดความสนใจของเซี่ยยวี่หลัว
ใช่ว่าเป็นเพราะหญิงชาวบ้านที่เลี้ยงเด็กผู้นั้นดูดี แต่เป็นเพราะ เสื้อผ้าที่สตรีผู้นั้นสวมใส่ แตกต่างจากผู้คนในหมู่บ้าน มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่