ซี่ยยวี่หลัวถามเซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ “ที่เลี้ยงเด็กนั่นคือใคร?”
เซียวจื่อเมิ่งรู้จัก “นั่นคือภรรยาของพี่เซียวยิงเจ้าค่ะ”
“เซียวยิงคือใคร?”
เซียวยิงเป็นคนในหมู่บ้านสกุลเซียว หลังจากสอบติดบัณฑิตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ไม่อาจสอบเป็นบัณฑิตระดับมณฑลได้เลย จึงรู้สึกท้อแท้ใจ ไม่ได้สอบอีก
แม้จะสอบไม่ติดบัณฑิตระดับมณฑล แต่อย่างน้อยสอบติดบัณฑิตก็ถือว่าดีมาก ในภายหลังได้เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาแห่งหนึ่งในตัวเมือง และแต่งงานกับภรรยาที่เป็นคนในเมือง มีบุตรร่วมกันหนึ่งคน ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุข
ปกติเซียวยิงจะอาศัยอยู่ในตัวเมืองตลอด เมื่อถึงช่วงวันหยุดก็จะพาภรรยาฟ่านซื่อที่เป็นคนในเมืองและบุตรที่เพิ่งเดินได้กลับมา
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง “เอาล่ะ ไปกัน เราลองไปฟังดูว่านางกล่าวอะไรบ้าง”
นางยังไม่คุ้นชินกับยุคสมัยนี้เท่าไหร่ ได้แต่อาศัยคำพรรณนาจากปากบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้ได้ความรู้ส่วนหนึ่ง
ฟ่านซื่อเป็นสตรีในตัวเมือง การแต่งกายย่อมต่างจากคนในพื้นที่ เวลานี้นางถูกผู้คนรายล้อมราวกับหมู่ดวงดาราที่ห้อมล้อมจันทรา จึงมีคนกล่าวด้วยความอิจฉาตาร้อน “ตอนนี้เซียวยิงกลายเป็นคนมีวาสนาดีที่สุดในหมู่บ้านของเราแล้ว”
“ก็ใช่น่ะสิ มารดาของเซียวยิงจากไปเร็ว บิดาของเขาก็ชอบดื่มสุรา ดื่มจนเมามายก็มักจะไล่ตีเซียวยิง บอกว่าเขาไม่เหมาะกับการเรียนหนังสือ เร่งเร้าให้ไปทำไร่ทำนากับเขา แต่เซียวยิงก็ไม่ลดละความพยายาม ดูสิ อายุแค่สิบห้าก็สอบติดบัณฑิต ตอนนี้ยังได้เป็นอาจารย์สอนหนังสือในสำนักศึกษาอีก แต่งภรรยาจากตัวเมือง ทั้งยังมีลูกน้อยตัวอวบอ้วน ดูชีวิตในแต่ละวันของเขาสิ! หากบิดาของเซียวยิงมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหลายปี แบบนั้นต่อให้กำลังนอนฝันอยู่ก็ต้องตื่น”
“ดูเสื้อผ้าที่พวกเราใส่ แล้วดูเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ พวกเราเทียบกับพวกเขา ต่างแบบเทียบกันไม่ติด ตอนนี้คนเขาแค่ขยับปาก เขียนหนังสือไม่กี่ตัว ก็สามารถหาเลี้ยงทั้งครอบครัวได้ ทั้งยังดูดีมีฐานะเสียด้วย!” มีคนกระแนะกระแหนด้วยวาจาเหน็บแนม
ฟ่านซื่อไม่ใช่คนชอบโอ้อวด เพียงแค่คิดว่าสามีของตนเป็นคนหมู่บ้านสกุลเซียว เมื่อตามมาด้วยจะอยู่แต่ในบ้านทั้งวันก็ไม่ดี จึงพาบุตรชายออกมาเดินเล่น คนเหล่านี้อยากฟังนางเล่าเรื่องราวในตัวเมือง จึงเล่าให้ฟัง ทว่าเมื่อกล่าวถึงสามีของนาง ทั้งยังเอ่ยถ้อยคำเหน็บแนมเช่นนี้ ฟ่านซื่อก็ไม่ยอมทน
“เซียวยิงก็เหนื่อยเหมือนกัน ไม่ได้สบายกว่าคนอื่นๆ เท่าไหร่ พวกท่านอาศัยแรงกายในการหาเลี้ยงชีพ เขาเองก็เหมือนกัน เมื่อเขียนหนังสือมากไปก็ปวดแขนจนยกมือกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าต้องเป็นคนป้อนติดต่อกันหลายมื้อ!” ฟ่านซื่อสงสารสามีของตน จึงกล่าวด้วยความปวดใจ
“ก็ยังดีกว่าสามีของพวกเรา ไม่ต้องตากลมตากฝน นั่งทำงานอยู่ในบ้าน อยากเย็นสบายก็ได้ อยากอบอุ่นก็ได้ ดีกว่าสามีของพวกเราที่ต้องตากลมตากแดดอยู่ข้างนอกเป็นไหนๆ” มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ
ฟ่านซื่อขมวดคิ้วมุ่น
มีคนเห็นเซี่ยยวี่หลัวกำลังเดินมาทางนี้พอดี จึงปิดปากกลั้นหัวเราะ “ดูสิ มีภรรยาบัณฑิตมาอีกคนแล้ว!”
“เจ้ากล่าวแบบนี้ก็ไม่ถูกนัก ฟ่านซื่อเป็นภรรยาบัณฑิตอย่างแท้จริง แต่เซี่ยยวี่หลัวนั่นถือเป็นอะไร ยังไม่มีแววว่าจะได้เป็นเลย ภรรยาบัณฑิต? ถุย เซียวยวี่นั่นแบกไม่ได้หามไม่ไหว หากสอบเป็นบัณฑิตไม่สำเร็จ กลับมาทำไร่ทำนา แรงแค่นั้นยังเทียบสามีพวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ!” มีคนกล่าววาจาเยาะเย้ย
คนที่กล่าววาจานี้คือเถียนเอ๋อที่เสียท่าให้เซี่ยยวี่หลัวครั้งก่อน นางกล่าววาจาเย้ยหยันดูหมิ่น แค้นจนอยากเหยียบเซี่ยยวี่หลัวให้จมดิน จะได้แก้แค้นเรื่องครั้งก่อน
ฟ่านซื่อได้ฟังวาจาของเถียนเอ๋อก็มุ่นคิ้ว กล่าวด้วยท่าทางไม่พอใจ “ท่านป้าเถียนเอ๋อ ทุกคนล้วนเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน อย่าได้กล่าวเช่นนี้”
เซี่ยยวี่หลัวเดินมาพอดีก็ได้ยิน “วาจาจากใจ” ของเถียนเอ๋อทันที!
“ท่านป้าเทียนเอ๋อก็อยู่หรือ ต้าหมินหายดีหรือยัง? ท่านสั่งสอนต้าหมินดีๆ หรือยัง?” เซี่ยยวี่หลัวถาม
ท่านป้าเถียนเอ๋อใบหน้าขึ้นสีแดง “ข้า… ข้า…”
หญิงชาวบ้านที่มุงอยู่ต่างไม่เข้าใจ “สั่งสอนต้าหมิน ต้าหมินทำอะไรผิดงั้นหรือ?”
“ข้า…”
เซี่ยยวี่หลัวชิงพูดก่อน “ท่านป้าเทียนเอ๋อบอกว่า ปกติต้าหมินกระทำผิดก็จะโดนตี ต้องตีจนกว่าเขาจะสำนึกผิด! ครั้งก่อนต้าหมินกลั่นแกล้งจื่อเมิ่งจนตกใจแทบแย่ นางมาหาข้าถึงบ้าน บอกว่าจะสั่งสอนต้าหมินดีๆ!”
นี่เป็นถ้อยคำเดิมของเถียนเอ๋อ
ข้างๆ มีคนหัวเราะจนกุมท้อง “สั่งสอนต้าหมิน? เถียนเอ๋อ ปกติเจ้ารักใคร่เอ็นดูต้าหมินประหนึ่งสมบัติล้ำค่า เจ้าจะทนแตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้วได้เชียวหรือ? มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ได้คอยประคบประหงม ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้าตีต้าหมินของเจ้าด้วย!”
“ไม่ตี? เช่นนั้นเหตุใดนางจึงกล่าวว่านางตีต้าหมินแต่เล็กจนโต! ยังให้ข้าเอานางเป็นแบบอย่าง สั่งสอนจื่อเซวียนของข้าให้ดีๆ!” เซี่ยยวี่หลัวเพิ่งเข้าใจ “อ้อ ท่านป้าเทียนเอ๋อ หรือว่าท่านจะหลอกข้า ท่านไม่อาจทนตีลูกชายของตัวเองได้ กลับให้ข้าตีจื่อเซวียน ทำไมท่านถึงใจร้ายใจดำนัก!”
เซี่ยยวี่หลัวเน้นคำว่าใจดำ ใบหน้าเถียนเอ๋อยิ่งขึ้นสีแดง “ลูกชายของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง!”
“เดิมทีข้าก็ไม่อยากยุ่ง แต่ตอนนี้ไม่ยุ่งก็คงไม่ได้” เซี่ยยวี่หลัวแบมือกล่าวด้วยท่าทางจนใจ “เพื่อท่านป้าเทียนเอ๋อ ข้าจึงจำเป็นต้องถาม!”
เถียนเอ๋องุนงง “เพื่อข้า? เกี่ยวอะไรกับข้า?”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ต้องเกี่ยวกับท่านแน่นอน ครั้งก่อนท่านบอกว่า เด็กเล็กกลั่นแกล้งคนอื่นให้ตกใจ โตมาก็จะฆ่าคน! ฆ่าคนเชียว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก หมู่บ้านของเราตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นยังไม่เคยมีผู้ร้ายฆ่าคน! เพื่อชื่อเสียงหมู่บ้านของเรา และเพื่อชีวิตในบั้นปลายของท่านป้าเทียนเอ๋อ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ควรถามไถ่จริงหรือไม่? ท่านมีเซียวต้าหมินเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว ต่อไปหากเขาฆ่าคนจริง นั่นเป็นความผิดถึงขั้นประหารชีวิต แบบนี้ท่านก็กลายเป็นคนผมขาวต้องส่งคนผมดำมิใช่หรือ?”
เถียนเอ๋อโมโหจนแทบกระอักเลือด “เจ้า…”
นางมีบุตรชายที่เป็นแก้วตาดวงใจเพียงคนเดียว เซี่ยยวี่หลัวกลับบอกว่าต่อไปเขาจะโดนประหาร แบบนั้นเท่ากับบอกว่านางจะไร้ผู้สืบสกุลไม่ใช่หรือ? เถียนเอ๋อโมโหจนถลึงตามองเซี่ยยวี่หลัวด้วยความแค้น
เซี่ยยวี่หลัวไม่เกรงกลัว นางกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ท่านป้าเทียนเอ๋อ ท่านก็อย่าเสียใจไป เด็กยังเล็ก สั่งสอนให้มาก ต้องดูแลให้ดี อย่าให้เขากลายเป็นคนเลว หากต่อไปกลายเป็นคนเลว มันช่าง…”
เซี่ยยวี่หลัวทำเสียง “จุ๊จุ๊” ก่อนทอดถอนใจ ใบหน้างามไร้ที่ติฉายประกายบ่งบอกว่าน่าเสียดาย ราวกับเซียวต้าหมินสังหารคนแล้ว และเถียนเอ๋อก็เป็นคนผมขาวส่งคนผมดำแล้วจริงๆ
เถียนเอ๋อไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้ หากยังอยู่ต่อ นางคงต้องวิวาทกับเซี่ยยวี่หลัว หากเพียงแต่เมื่อดวงตาคู่งามของเซี่ยยวี่หลัวมองทอดมาที่ตัวนางด้วยแววตาเรียบสงบ ท่านป้าเถียนเอ๋อก็ไม่มีใจโต้กลับอีก
แววตาเซี่ยยวี่หลัวน่ากล้วเกินไป มองแวบเดียวก็รู้สึกเหมือนจะตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
นางหวาดกลัวจนไม่กล้ามองเซี่ยยวี่หลัวแม้แต่แวบเดียว
สุดท้าย เถียนเอ๋อยกกระจาดของตัวเองขึ้น ไม่กล่าวอะไรแม้แต่ประโยคเดียว เดินหนีไปโดยอ้อมให้ห่างเซี่ยยวี่หลัว
หากไม่เดินหนีละก็ ปากของเซี่ยยวี่หลัวผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะเอ่ยวาจาร้ายกาจอะไรออกมา!
ช่างเหลือเชื่อนัก เหตุใดอยู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวถึงปกป้องน้องชายและน้องสาวสามีล่ะ