เล่มที่ 2 บทที่ 40 ฝีปากของเซี่ยยวี่หลัวช่างร้ายกาจนัก

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวฝีปากกล้า ต่างก็ตะลึงงันไป ต้องรู้ว่าแต่ก่อนเซี่ยยวี่หลัวรังเกียจการสนทนากับพวกนาง

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เถียนเอ๋อเหน็บแนมเซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวกลับโต้ตอบ ทำให้ทุกคนรู้สึกผิดคาด ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ว่าคนอื่นจะดูหมิ่นเหยียดหยามเซียวยวี่อย่างไร เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังได้เห็น ก็ทำราวกับไม่ได้ยินและมองไม่เห็น

เคยทำเหมือนวันนี้ที่เสียที่ไหน วาจาที่เซี่ยยวี่หลัวกล่าวเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่ากำลังทำให้เถียนเอ๋อตกที่นั่งลำบาก เพื่อเอาคืนเรื่องก่อนหน้านั้น

เซี่ยยวี่หลัวน่ะหรือจะเอ่ยวาจาช่วยปกป้องเซียวยวี่ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่

ดวงหน้าของนางงดงามอย่างมิอาจหาใดเทียม ทว่าตอนที่นางแสดงสีหน้าเย็นชา ก็ประหนึ่งบัวหิมะบนเขาเทียนซาน แม้จะงดงามน่าหลงใหล แต่ก็เย็นยะเยือกราวกับวันที่หนาวเหน็บที่สุดในฤดูหนาว เย็นเยียบเสียดกระดูก ทำให้ผู้อื่นไม่กล้ามองแม้แต่แวบเดียว

ด้วยเกรงว่าหากมองแวบหนึ่ง ก็จะถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น

เซี่ยยวี่หลัวเพียงกวาดสายตามองด้วยแววตาเรียบสงบ คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ต้นหวายขนาดใหญ่ต่างก็พากันเงียบกริบประหนึ่งจักจั่นในฤดูหนาว ไม่กล้ากล่าวอะไรแม้แต่คนเดียว

เมื่อเห็นเถียนเอ๋อไปแล้ว ต่างก็เก็บข้าวของเดินจากไปทันที

บรรยากาศรอบตัวเซี่ยยวี่หลัวน่ากลัวเกินไป เพียงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล่าวอะไรก็ทำให้รู้สึกราวกับโดนบีบคั้นกดดัน เมื่อนางปริปากเอ่ยวาจา ก็ยิ่งดูทรงพลังเหมือนมีหนามทั่วตัว น่ากลัวเกินไปแล้ว

ฟ่านซื่อแย้มรอยยิ้มให้เซี่ยยวี่หลัวอย่างมีมารยาท อุ้มบุตรกำลังจะเดินจากไป

เซี่ยยวี่หลัวกลับรู้สึกขอบคุณคนผู้นี้

เมื่อครู่เถียนเอ๋อเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง คนผู้นี้ก็ว่ากล่าวอย่างเที่ยงธรรม

“พี่ฟ่าน…” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง

ถึงอย่างไรฟ่านซื่อก็มาจากในตัวเมือง แม้ว่าครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยสูงส่ง แต่ก็ถือว่าพอมีฐานะ ตามหลักแล้ว นางที่ใช้ชีวิตอยู่ในตัวเมืองมาตลอด ควรจะมีบุคลิกทรงพลังกว่าสตรีในชนบท แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ ฟ่านซื่อกลับรู้สึกว่าตนเองต้อยต่ำจนติดดิน

“เจ้าคือ…” ฟ่านซื่อไม่เคยพบเซี่ยยวี่หลัวมาก่อน แต่ฟังจากวาจาเมื่อครู่ของนาง เหมือนจะคาดเดาฐานะของคนผู้นี้ได้

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ข้าคือภรรยาของเซียวยวี่ ข้าแซ่เซี่ย”

ฟ่านซื่อรู้จักเซียวยวี่ นั่นคือบุรุษที่เซียวยิงเอ่ยถึงเป็นประจำ

ทว่าเรื่องที่เขาเอ่ยถึงบ่อยและรู้สึกปลงอนิจจังที่สุด ล้วนเป็นความรู้สึกเสียดายและสงสาร

น่าเสียดายบุรุษผู้นี้ มีความรอบรู้ร่ำเรียนมามาก แต่จนถึงตอนนี้ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว กลับยังสอบเป็นบัณฑิตไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะโชคไม่เข้าข้าง หรือชะตากลั่นแกล้ง สรุปแล้วสิ่งที่คนผู้นี้ต้องเผชิญ ก็ยากลำบากเกินไป

ได้ยินมาว่าเดิมทีพวกเขาเป็นคนในตัวอำเภอ แต่เป็นเพราะบิดามารดาป่วยหนัก เสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อยเพื่อการรักษา หลังจากใช้เงินเก็บทั้งหมดที่มี ทั้งยังขายเรือนที่อยู่ในตัวเมืองทิ้งไป แล้วจึงย้ายกลับบ้านเก่า

แต่สุดท้ายก็ไม่อาจยื้อชีวิตบิดามารดาของเขาไว้ได้

เด็กอายุเพียงสิบสี่ปี พาน้องชายอายุห้าขวบและน้องสาววัยสามขวบ ลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านสกุลเซียว

ชั่วพริบตาเดียว ก็ผ่านไปสามปี

เพราะต้องทำหน้าที่แทนทั้งบิดาและมารดา ทั้งยังต้องอ่านตำรา เซียวยวี่ที่เดิมทีมีความมั่นใจในการสอบอย่างเต็มเปี่ยม สอบติดต่อกันมาหลายปีก็ยังสอบไม่ติด ตอนนี้อายุสิบเจ็ดปีแล้ว แม้แต่บัณฑิตก็ยังไม่ได้เป็น

เซียวยิงสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตตอนอายุสิบห้า สอบบัณฑิตระดับมณฑลติดต่อกันหลายปีก็ไม่ผ่าน จึงไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือ ช่วงวันหยุดก็คัดตำราอยู่ที่ร้านหนังสือ แม้จะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยสูงส่ง แต่ฟ่านซื่อมองว่า ไม่มีพ่อแม่สามีคอยทำให้วุ่นวายใจ ตนเองแต่งมาก็เป็นนายหญิง แม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยนัก แต่ถึงอย่างไรครอบครัวฝั่งตัวเองก็พอมีฐานะ สามีมีความพยายาม ครอบครัวตนก็คอยช่วยเหลือเป็นครั้งคราว จึงยังใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

ฟ่านซื่อเดิมทีก็เป็นคนพึงพอใจได้ง่าย ชีวิตอย่างทุกวันนี้ นางรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก

ส่วนเซียวยวี่ที่เดิมอาศัยอยู่ในตัวอำเภอ ผู้คนในหมู่บ้านต่างชื่นชม ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา ต้องตกอยู่ในฐานะน่าอึดอัดนัก

ปีนี้เซียวยวี่อายุสิบเจ็ดปีแล้ว หากปีนี้ยังสอบไม่ติดอีก…

ปีหน้าก็อายุสิบแปดแล้ว

เหมือนที่หญิงชาวบ้านเหล่านั้นกล่าวไว้ หากสอบเป็นบัณฑิตไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่มีแรงกาย ก็เทียบกับชาวนาทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

ชีวิตในอนาคตจะยิ่งยากลำบาก

ฟ่านซื่ออุ้มลูกพลางพยักหน้าให้เซี่ยยวี่หลัว ถือเป็นการทักทาย “แม่นางเซี่ย…”

เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า คิ้วงามโก่งโค้ง แย้มยิ้มตลอดเวลา “เมื่อครู่ขอบคุณพี่ฟ่านที่ช่วยว่ากล่าวแทนสามีข้า”

ฟ่านซื่อมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางนิ่งอึ้งเล็กน้อย

สตรีผู้นี้ แม้ว่าฟ่านซื่อจะไม่รู้จัก แต่ก็ได้ยินเซียวยิงเอ่ยถึงอยู่หลายครั้ง แม้เซียวยิงจะอายุมากกว่าเซียวยวี่หลายปี แต่ทั้งสองคนเป็นสหายที่ดีต่อกัน แม้เซียวยวี่จะไม่เคยเล่าเรื่องเซี่ยยวี่หลัวให้เซียวยิงฟัง แต่เซียวยิงกลับได้ฟังจากปากชาวบ้านในหมู่บ้านว่าภรรยาที่เขาเพิ่งแต่งงานด้วยผู้นี้ ไม่ใช่คนน่าคบหา!

เซียวยิงบอกว่าภรรยาที่เซียวยวี่แต่งด้วย แม้จะมีรูปโฉมงดงาม แต่น่าเสียดายที่เป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจ เห็นแก่ตัว ทั้งยังหยิ่งทะนง เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งยังดูแคลนเซียวยวี่อย่างแท้จริง

ทว่า…

ใบหน้าของเซี่ยยวี่หลัวดูงดงามจริง ผิวละเอียดดูสง่าประหนึ่งภาพวาดก็มิปาน บุคลิกสูงส่งเหมือนเทพธิดา บุคลิกเช่นนี้ หากเดินออกไปข้างนอก ย่อมก่อให้เกิดความอลหม่านได้ ต้องมาอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้ ช่างน่าเสียดายนัก

เพียงแต่ ในเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ต้องยึดมั่นใจเดียว ต่อให้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงเพียงใด ก็ต้องอาศัยความสามารถของบุรุษ!

ฟ่านซื่อคิดได้ดังนี้ จึงกล่าว “สามีของข้าเป็นสหายของเซียวยวี่ คนอื่นกล่าววาจาเหน็บแนมสหาย หากสามีของข้าอยู่ ก็ต้องโต้แย้งแน่นอน เพียงแต่ที่พวกนางกล่าวก็มีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง หากเซียวยวี่สอบเป็นบัณฑิตไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ยังเป็นคนมีมือมีเท้า ขอเพียงสามีภรรยาร่วมแรงร่วมใจ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็ถือว่าดี อย่างน้อยก็ดีกว่าใช้ชีวิตด้วยเล่ห์เหลี่ยม สามีภรรยาร่วมเตียงแต่มีฝันต่างกัน ชีวิตย่ำแย่ลงเรื่อยๆ กลายเป็นที่น่าขันในสายตาผู้อื่น จริงหรือไม่ แม่นางเซี่ย…”

เซี่ยยวี่หลัวผงะไป “ข้า…”

 “พวกเราต่างเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ชีวิตแต่ละวันจะดีหรือไม่ ล้วนต้องอาศัยสามี สามีคือฟ้าของพวกเรา หากท้องฟ้าถล่ม สตรีอย่างเราก็มีแต่ต้องร่างกายแหลกเป็นผุยผง”

ฟ่านซื่ออุ้มลูกพร้อมพยักหน้าให้เซี่ยยวี่หลัว แล้วเดินจากไป

เซี่ยยวี่หลัวยืนอยู่ใต้ต้นหวาย คลำจมูกตัวเอง รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย

เมื่อครู่นี้ เหมือนนางจะโดนฟ่านซื่อสั่งสอน

เหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมนางให้ใช้ชีวิตกับเซียวยวี่ดีๆ ต่อให้เซียวยวี่สอบเป็นบัณฑิตไม่ได้ สามีภรรยาก็ยังมีมือมีเท้า หากร่วมแรงร่วมใจ ย่อมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้

เซี่ยยวี่หลัวไม่มีความคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเซียวยวี่ ในหนังสือบรรยายไว้ว่าเซียวยวี่เป็นคนเลือดเย็น โหดเหี้ยมอำมหิต นางไม่ชอบคนประเภทนี้

ดังนั้น นางต้องอาศัยจังหวะที่เซียวยวี่ไม่อยู่บ้าน ดูแลเด็กสองคนดีๆ หลังจากเขาประสบความสำเร็จ เช่นนั้นนางก็สามารถถอนตัวได้

ถึงแม้เซี่ยยวี่หลัวจะมีความใฝ่ฝัน แต่ก็รู้ว่ายุคสมัยนี้ไม่ใช่ยุคที่หญิงชายเท่าเทียม

บุรุษสามารถทำงานหนักอยู่ข้างนอกได้ สตรีได้แต่อยู่บ้านปรนนิบัติสามีดูแลลูก ดังนั้นใต้หล้านี้เป็นสถานที่ของบุรุษ เซี่ยยวี่หลัวไม่คิดจะไปแย่งชิง ต่อไปหาหมู่บ้านเล็กในสถานที่สงบอันห่างไกล ใช้ชีวิตอย่างอิสระก็เพียงพอแล้ว

มหาสมุทรกว้างใหญ่มีไว้ให้มัจฉาแหวกว่าย ท้องนภากว้างไกลมีไว้ให้วิหคโผบิน นางอยากไปที่ไหนก็สามารถไปได้

ขอเพียงไม่ล่วงเกินเซียวยวี่ ขอเพียงเซียวยวี่ไม่แค้นนาง ไม่มีอคติต่อนาง เช่นนั้นนางย่อมสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้