เล่ม 1 ตอนที่ 42 เทียนหยวนฝูต้ง

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

“มา ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมสำนักเทียนลู่!”

ไป๋เชินทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ เขาแทบรอไม่ไหวจึงรีบรับฉู่หลิวเยว่มาเป็นศิษย์

สุดยอดอัจฉริยะด้านปรมาจารย์เช่นนี้ ถ้าเขาพลาดไป ช่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง!

เดิมทีเขาไม่พอใจเพราะถูกส่งตัวไปเป็นผู้คุมสอบ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก!

ใครมือยาวสาวได้สาวเอา เขาต้องชนะใจนางก่อนที่ตาแก่พวกนั้นจะรู้จักพรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่

เมื่ออดฉู่หลิวเยว่เห็นท่าทางของเขาก็หัวเราะเจื่อนๆ ไม่ได้

“อาจารย์ไป๋เชิน นี่มันเร็วไปหน่อยหรือ”

“ไม่เร็วๆ! ไม่เร็วไปเลยสักนิด เดิมทีเจ้าเข้าเรียนไม่ทันตั้งแต่เดือนแรกแล้ว ตอนนี้ผ่านไปครึ่งปีการศึกษาแล้ว เจ้าช้ากว่านักเรียนคนอื่นครึ่งปีเต็ม เจ้าต้องรีบไขว่คว้าถึงจะถูก อย่างน้อยที่สุด เจ้ามาทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศกับข้าดีกว่า”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วตบเขาฉาด

“จริงสิ หลังจากเข้าเรียนแล้ว เจ้าจะอยู่บ้านหรืออยู่ที่สำนัก หากเจ้าจะอยู่ที่สำนักล่ะก็ ข้าจะรีบสั่งให้คนไปจัดการที่พักให้เจ้าเดี๋ยวนี้!”

ปกติศิษย์สำนักเทียนลู่สามารถเลือกได้อย่างอิสระ

ซึ่งโดยทั่วไปลูกศิษย์ที่มีบ้านอยู่ในเมืองหลวงก็มักจะเลือกอยู่บ้านมากกว่า

คนที่มาจากนอกเมืองหลวงส่วนใหญ่มักจะพักอยู่ในสำนัก

สำนักเทียนลู่เป็นสำนักแห่งแรกในแคว้นเย่าฉิน และแน่นอนว่าสภาพไม่เลวร้ายย่ำแย่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรือนตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงแล้วกลับดูเรียบง่ายกว่ามาก

ดังนั้นลูกศิษย์จำนวนมากจากครอบครัวชนชั้นสูง นอกเหนือจากการฝึกฝนในวันธรรมดาแล้ว มักจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากกว่า

จะว่าไป อันที่จริงฉู่หลิวเยว่ก็เป็นถึงทายาทคนโตของตระกูลฉู่ แต่ไป๋เชินรู้ดีแก่ใจ นางถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไร้ความสามารถมานับสิบปี ชีวิตของฉู่หลิวเยว่คงไม่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับองค์ชายรัชทายาท และตอนนี้กำลังอยู่ท่ามกลางคลื่นลมที่ไม่สงบ

เกรงว่าคนในตระกูลฉู่น้อยคนนักที่จะปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ

เมื่อเห็นว่าไป๋เชินมีน้ำใจเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ เมื่อรู้ว่าเขาพิจารณาเรื่องนี้แทนตัวนางเอง ดังนั้นนางจึงโค้งคำนับให้แก่เขา

“เช่นนั้น ข้าขอบคุณอาจารย์ไป๋เชินมากเจ้าค่ะ”

ไป๋เชินรู้สึกปลาบปลื้มและโบกมือ

“จากนี้ไป ข้าก็ถือว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้มีอะไรน่าขอบคุณกันล่ะ หากเจ้าไม่มีธุระอื่น เดี๋ยวเข้าสำนักไปกับข้าเลยดีหรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า

“ดี”

เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็พากันเดินเข้าไปในสำนักเทียนลู่

ในเวลานี้ ทุกคนที่รายล้อมก็ได้นึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมองไปที่เด็กหญิงร่างผอมบาง ทันใดนั้นพวกเขาก็ถึงกับพูดไม่ออก!

ใครจะไปคาดคิดว่านางทำสำเร็จมาจนถึงก้าวนี้ได้

เมื่อดูจากท่าทางของไป๋เชิน เห็นได้ชัดว่านางมีความสำคัญต่อเขามาก!

ต่อไปฉู่หลิวเยว่คงไม่ใช่คนไร้ความสามารถของตระกูลฉู่ที่ใครจะรังแกก็ได้คนนั้นเหมือนอดีตอีกแล้ว

เมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็มาถึงหน้าประตู ฉู่หลิวเยว่หยุดฝีเท้า แล้วนางก็ค่อยๆ กวาดสายตามองคำสี่คำที่เขียนว่า “สำนักเทียนลู่”

นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในที่สุดนางก็ได้เข้าสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นเย่าเฉิน!

แต่นี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

หลังจากฉู่หลิวเยว่ตามไป๋เชินเข้ามาในสำนักเทียนลู่แล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้แพร่สะพัดราวกับนกสยายปีกที่ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง

เมื่อก้าวผ่านเขตอาคมของประตูเข้ามาแล้ว ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้เข้ามาเหยียบสำนักเทียนลู่อย่างเป็นทางการสักที

ทันทีที่นางเข้ามา นางสัมผัสได้ทันทีว่าความเข้มข้นของพลังแห่งฟ้าดินโดยรอบนั้นแข็งแกร่งกว่าข้างนอกมากมายหลายเท่า

ตอนที่นางยังอยู่ด้านนอก นางก็สังเกตเห็นได้แล้วว่าด้านนอกของสำนักเทียนลู่มีเขตอาคมขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่

เห็นได้ชัดว่าเขตอาคมถูกสร้างขึ้นด้วยค่ายกลชั้นสูง และหลอมรวมเข้ากับสำนักได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ฉู่หลิวเยว่มองขึ้นไปก็สัมผัสได้ถึงพลังของค่ายอาคมนั่น

นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และรู้สึกประหลาดใจ

ระดับของค่ายอาคมของสำนักเทียนลู่แข็งแกร่งกว่าที่นางคิด…

ในแคว้นเล็กๆ อย่าแคว้นเย่าเฉิน คาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือขนาดนี้

ดูเหมือนการมาสำนักเทียนลู่จะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง

ไป่เชินลอบสังเกตฉู่หลิวเยว่เป็นระยะๆ เมื่อเห็นสีหน้านางแปลกไปเล็กน้อย เขาก็รู้สึกหวาดหวั่น

“เสี่ยวหลิวเยว่ เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือ”

แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขากำลังจับสังเกตนางอยู่ นางจึงยิ้มกลบเกลื่อน

“ภายในสำนัก…ดูเหมือนจะแตกต่างกับโลกภายนอก ดูเหมือนจะเป็น…พลังของค่ายอาคม”

“เจ้าสังเกตเห็นได้จริงๆ ด้วย”

ไป๋เชินตื่นเต้นมากแล้วลอบถอนหายใจ ฉู่หลิวเยว่เป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์มากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอในรอบหลายปีมานี้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า

“เสี่ยวหลิวเยว่ เจ้ามีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์ถึงเพียงนี้ ทำไมก่อนหน้านี้…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แม้แต่ไป๋เชินก็ยังกระอักกระอ่วนเล็กน้อยที่จะพูดต่อ

ใครไม่รู้บ้างว่าฉู่หลิวเยว่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนพิการไร้ความสามารถมาสิบกว่าปี แม้กระทั่งก่อนสอบวันนี้เขายังคิดเช่นนั้นอยู่เลย

หากกล่าวกันตามเหตุผล ตระกูลขุนนางอย่างตระกูลฉู่จะไม่มีทางพลาดอัจฉริยะเช่นนี้ถึงจะถูก…

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก

“นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็เพิ่มบังเอิญค้นพบว่าตัวเองพอมีพรสวรรค์นิดๆ หน่อยๆเจ้าค่ะ”

ไป๋เชินลอบคิดในใจ นี่เรียกว่า “นิดหน่อย” หรือ หากเช่นนั้นก็เกรงว่าคนในแคว้นเย่าเฉินคงมีไม่กี่คนที่เป็นอัจฉริยะกระมัง

น่าเสียดายที่ค้นพบพรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่เมื่อสายเกินไป!

หากเป็นไปได้เมื่อสองสามปีก่อน ความสามารถของนางต้องมากกว่านี้อย่างแน่นอน!

จะว่าไป ก็ล้วนเป็นเพราะถูกตระกูลฉู่ถ่วงความเจริญแท้ๆ

ไป๋เชินคิดในใจดังนี้ เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ค่อยอยากพูดถึงพวกนี้เท่าไหร่ เขาก็ไม่ถามต่อ จากนั้นจึงเริ่มแนะนำสำนักให้นางฟังอย่างละเอียด

“ไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้แล้ว! จากนี้ไปในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์สำนักเทียนลู่แล้ว ย่อมแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง! เจ้าควรจะรู้สึกว่าพลังในสำนักแข็งแกร่งกว่าโลกภายนอก! และทั้งหมดนี้เป็นเพราะในสำนักมีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าเทียนหยวนฝูต้งหรือถ้ำกำเนิดพลัง ซึ่งเทียนหยวนฝูต้งสามารถก่อเกิดพลังแห่งฟ้าดินได้อย่างต่อเนื่อง เดิมทีเจ้าสำนักคนแรกของเราใช้ค่ายอาคมนี้ในการกดข่มพลังของเทียนหยวนฝูต้ง ดังนั้น ความเร็วในการฝึกฝนในสำนักจึงเร็วกว่าโลกภายนอกมาก”

แววตาของฉู่หลิวเยว่เป็นประกายวูบไหว

นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางที่มายังสำนักเทียนลู่