ฉู่หลิวเยว่หางตากระตุก
เสี่ยวหลิวเยว่?
เมื่อครู่นี้ยังทำหน้าเหลืออดอยู่เลย เผลอหน่อยเดียวก็เปลี่ยนทัศนคติร้อยแปดสิบองศาในชั่วพริบตา!
เปลี่ยนสีเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเสียอีก!
“เอ่อคือ…อาจารย์ไป๋เชิน ท่านไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้…”
“นี่จะเรียกว่าสุภาพได้ยังไงกัน! ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเทียนลู่แล้ว ดูแลเจ้าดีๆ ถือเป็นหน้าที่ในฐานะอาจารย์”
ไป๋เชินกุลีกุจอพูด
ขณะที่พูดเขาก็มองดูสีหน้าของฉู่หลิวเยว่อย่างระมัดระวัง แล้วก็แอบนึกเสียใจภายหลัง
ก่อนหน้านี้เขาเสียมารยาทกับนางได้อย่างไร
เสี่ยวหลิวเยว่ต้องเสียความรู้สึกกับเขาแน่นอน
หากรู้ตั้งแต่แรกว่านางมีพรสวรรค์ด้านปรมาจารย์อันน่าทึ่งเช่นนี้ล่ะก็ เขาจะต้อนรับนางเป็นอย่างดีเชียวล่ะ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงอดนึกถึงตระกูลฉู่รุ่นที่สิบแปดไม่ได้
คนไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ
ตระกูลฉู่โง่แล้วอวดฉลาด
มีตาหามีแววไม่ ไม่รู้จักอัจฉริยะตัวจริงซะแล้ว แถมยังพลอยทำให้เขาเดือดร้อนอีกต่างหาก!
ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวลือนั่น เขาคงไม่ทำเสียมารยาทกับนางเช่นนี้แน่
“เสี่ยวหลิวเยว่…เมื่อครู่นี้อาจารย์เสียมารยาทกับเจ้าไป เจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ!”
ไป๋เชินเกาศีรษะและพูดด้วยความกระดากอาย
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้จะเห็นว่าเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่แววตาเขากลับจริงใจมาก
เขาขอโทษจากใจจริง
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
คนผู้นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
ก่อนหน้านี้ที่ดูถูกเหยียดหยามนางเป็นเรื่องจริง แล้วตอนนี้อยากตีสนิทกับนางก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
เปลี่ยนจากหน้ามือเช่นนี้ เป็นเพราะว่านางแสดงความสามารถด้านปรมาจารย์ใช่หรือไม่
แต่นางก็พยายามควบคุมแล้วนี่นา…
การแก้หมากกระดานนั้นง่ายดายยิ่งนัก นางเริ่มเรียนรูปขบวนเชิงยุทธวิธีหรือค่ายกลกระบี่มาตั้งแต่สี่ขวบ เมื่ออายุได้ห้าขวบนางก็สามารถสร้างค่ายกลขั้นสูงได้ด้วยตัวเอง ส่วนค่ายกลดังกล่าวเมื่อครู่นี้นางยังขี้เกียจดูเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้สงสัย…นางคงต้องถ่อมตัวสักหน่อยแล้ว…
“ผู้แข็งแกร่งถือเป็นที่เคารพ หลิวเยว่ทราบจุดนี้ดี อาจารย์ไป๋เชินไม่ต้องสนใจหรอกเจ้าค่ะ”
สถานะของไป๋เชินก็ถือว่ามีเกียรติเช่นกัน แต่เนื่องจากเขาเต็มใจที่จะขอโทษนางต่อหน้าคนจำนวนมาก มันก็ถือเป็นความจริงใจของเขาด้วย ซึ่งทำให้ทัศนคติของฉู่หลิวเยว่ที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
คนเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนไม้แก่ดัดยาก แค่ทำให้เขาเห็นถึงความสามารถที่แท้จริงถึงจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของเขาได้
เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ในที่สุดไป๋เชินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และถามอย่างกระตือรือร้น
“แล้วการสอบหมอเทวดาเล่า เจ้ายังต้องการสอบต่อไปหรือไม่”
หมอเทวดายากเสียยิ่งกว่าปรมาจารย์อีก
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฉู่หลิวเยว่ทำเป็นอวดดีเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาแอบมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
บางที….นางอาจจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านหมอเทวดาจริงๆ ก็ได้
ฉู่หลิวเยว่หรุบตาต่ำเล็กน้อย
เดิมที่คิดว่าการสอบปรมาจารย์เป็นการประลองฝีมือธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ทุกคนตกตะลึง มองปฏิกิริยาของไป๋เชินแค่ผ่านๆ ก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน
เมื่อชื่อเสียงโด่งดังไปแล้ว การสอบหมอเทวดาคราวนี้…จะต้องระวังตัวแล้วล่ะ
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ไปต่อ”
นางพูดพลางเปิดกล่องดำกล่องที่สามแล้วหยิบโจทย์ขึ้นมา
“ใช้ตัวยาที่ให้มาสิบชนิด ปรุงยาออกมาหนึ่งตำรับ”
ฉู่หลิวเยว่มองกล่องไม้ที่ถูกแบ่งออกเป็นสิบช่อง ซึ่งแต่ละช่องบรรจุวัสดุตัวยาที่แตกต่างกัน
นางชำเลืองมองอย่างรวดเร็วและจำสิ่งเหล่านี้ได้ทันที
ส่วนใหญ่เป็นตัวยาสมุนไพรทั่วไป แต่ลักษณะของพวกมันแตกต่างกันอย่างมาก บางชนิดออกฤทธิ์เย็นและบางชนิดออกฤทธิ์ร้อน
หนึ่งในนี้มีจักจั่นน้ำแข็งสีเงินหรือที่เรียกว่าหันสือจื่อซึ่งมีพิษร้ายแรง
ผู้เข้าสอบจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับตัวยาเหล่านี้ และปรับสมดุลฤทธิ์ยาของกันและกันเพื่อปรุงให้ได้ยาที่ดีออกมาหนึ่งตำรับ
มิฉะนั้นก็จะล้มเหลวถ้าคุณไม่ระวัง ไม่เพียงแต่จัดยาได้ไม่ดีเท่านั้น แต่อาจจะกลายเป็นอยาพิษอีกด้วย
ในกล่องยานี้ เห็นได้ชัดว่าการจัดการของหันสือจื่อนั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะขับพิษของหันสือจื่อนี้ออกไปได้ แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางจะทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและหยิบยาชนิดเดียวกันออกมา มีทั้งแบบผงและสกัดออกมาเป็น และผสมให้เข้ากันในสัดส่วนที่ต่างกัน
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมด การเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ดูเหมือนลังเลบ้างและช้าไปบ้าง และบางครั้งก็มีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้น
ไป๋เชินยืนดูอยู่ข้างๆ แล้วแอบส่ายหน้า
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หมอเทวดา แต่เขาก็ยังพอมีความรู้ความเข้าใจอยู่บ้าง
แม้ฉู่หลิวเยว่จะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่ามีขีดจำกัด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงอย่างรวดเร็ว ฉู่หลิวเยว่ก็จัดยาเสร็จและยื่นให้ไป๋เชิน
ไป๋เชินเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า
“นี่เจ้า…ถือว่าผ่านคุณสมบัติแบบเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ว่า…” แต่ก็ได้แค่นี้เท่านั้น
พรสวรรค์ดังกล่าว มากสุดก็คงเป็นได้แค่หมอธรรมดาคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถเป็นหมอเทวดาที่แท้จริงได้!
อันที่จริง หมอธรรมดาก็หายากอยู่แล้ว ถ้าคนอื่นสอบผ่านได้ก็คงเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ไป๋เชินเคยเห็นพรสวรรค์อันน่าทึ่งของฉู่หลิวเยว่ในด้านปรมาจารย์มาก่อน เมื่อเห็นสิ่งนี้อีกแน่นอนว่าเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“อาจารย์ไป๋เชิน สอบครั้งนี้ถือว่าผ่านหรือไม่”
ไป๋เซินปัดเป่าความคิดดังกล่าวในใจออกไป เขามองหน้าฉู่หลิวเยว่ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ จากนั้นก็หัวเราะร่วน
“แน่นอน ผ่านแล้ว! เสี่ยวหลิวเยว่ สามผ่าน เจ้าสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้แล้ว ในแคว้นเย่าเฉินของเรามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!”
เสียงแหบต่ำของเขาแผ่ขยายออกไปทันที! และก้องกังวานไปทั่วจัตุรัส!
ทุกคนต่างมีสีหน้ามึนงง
อะไรนะ
เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่…ไม่เพียงแค่สอบเข้าสำนักเทียนลู่สำเร็จเท่านั้น แต่ยังสอบผ่านทั้งสามแขนงวิชาอีกด้วยอย่างนั้นหรือ!
โลกนี้คงบ้าไปแล้วกระมัง!