ตอนที่ 36 ถูกพึ่งพาแล้ว?

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ท้องฟ้าที่เดิมทีมืดสนิทก็กลายเป็นสว่างจ้าทันที หลิงหลานรู้สึกแค่ว่าตรงหน้าพร่าเบลอ รอจนเธอมองเห็นได้ชัดเจนแล้วก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนพื้นดินทราย เวลานี้ลู่วิ่งที่มีอยู่แต่เดิมนั้นได้หายไปแล้ว

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้พวกเด็กๆ ต่างตะลึงงันอ้าปากกว้างทำตัวไม่ถูก

สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่สนามกีฬากลางแจ้งที่พวกเขาเพิ่งจะเห็นไปเมื่อสักครู่นี้ ทว่าพวกเขาอยู่ในห้องปิดสนิทที่มีขนาดเจ็ดแปดร้อยตารางเมตร ภายในห้องกว้างโล่ง ไม่มีอะไรเลย และทั่วทั้งพื้นต่างก็เป็นตะกอนดินทราย เนื่องจากถูกน้ำฝนทำให้เปียก และยังถูกพวกเขาเหยียบย่ำอีก เวลานี้เลยกลายเป็นกองเลนที่น่าอนาถยากจะทนมองได้

นอกจากนี้บนเพดานยังมีสปริงเกอร์นับไม่ถ้วนติดตั้งอยู่อย่างเนืองแน่นไปทั่วทุกมุม คาดว่าฝนห่าใหญ่ในระหว่างที่พวกเขาวิ่งก็คือสิ่งที่สปริงเกอร์พวกนี้สร้างออกมา

ตรงกันข้ามกับเด็กคนอื่นๆ ที่ตกตะลึง หลิงหลานกับหานจี้จวินสบตายิ้มให้กัน ในใจต่างก็รู้แจ่มแจ้ง

การเปลี่ยนแปลงของสถานที่ได้พิสูจน์แล้วว่าการคาดเดาของพวกเขาถูกต้อง พวกเขาเข้ามาในห้องจำลองสภาพแวดล้อมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวตามที่คาดไว้จริงๆ

ผู้คุมสอบไม่ได้พาพวกหลิงหลานออกไปจากทางเข้าที่เขาเข้ามา หากแต่พาพวกเขาเดินไปตามทางและเปิดประตูห้องด้านนั้นเพื่อบ่งบอกให้พวกเขาออกไป

หลิงหลานก้าวเท้าออกจากห้อง สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาก็คือสนามหญ้าอันคุ้นเคยที่เธอเข้ามาในตอนแรก พวกเขากลับไปที่จุดรวมกลุ่มในเวลานั้นอีกครั้ง

หลิงหลานเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เธอหันหน้าไปเห็นผู้คุมสอบที่ยืนอยู่บนลู่วิ่งกำลังพยักหน้าให้พวกเขาเพื่อบอกลา เวลานี้สีหน้าของเขาไม่ได้เคร่งขรึมอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามเขากลับมีสีหน้ายิ้มแย้มเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็หันตัวค่อยๆ เดินจากไปไกล ก่อนจะหายไปที่ปลายทางของลู่วิ่ง

ที่แท้ห้องพวกนี้ก็เริ่มเปิดการจำลองสภาพแวดล้อมตั้งแต่ด้านนอกแล้ว ความจริงแล้วตอนแรกที่เจ้าหน้าที่พาพวกเขาเข้าไปยังลู่วิ่งเพื่อเตรียมตัวจะสอบ พวกเขาก็ถูกพาเข้าไปในห้องที่แตกต่างกันเพื่อทำการทดสอบ

เด็กสิบคนปรากฏตัวขึ้นจากในลู่วิ่งจำลองกะทันหัน เจ้าหน้าที่ที่รออยู่ด้านนอกอดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างไม่ได้ ถึงอย่างไรนี่ก็ห่างจากตอนเริ่มสอบไปไม่ถึงสามชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าเวลาสิ้นสุดในการสอบตามปกติไปเกือบหนึ่งชั่วโมง หรือว่าเด็กห้องนี้จะไม่ผ่านและถูกไล่ออกจากห้องสอบแล้ว?

ตอนที่พวกเขากำลังงุนงงอยู่นั้น พวกเขาก็พบว่าป้ายหมายเลขดิจิทัลที่อยู่ข้างตัวพวกเด็กๆ ส่องแสงสีเขียวสลัวที่สื่อความหมายว่าสอบผ่านขึ้นมา พวกเขาเผยรอยยิ้มตื่นเต้นยินดี นี่หมายความว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ไม่ใช่เหรอ

เอาเถอะ ต่อให้เป็นสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่ดีที่สุดก็ยังต้องการคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นมากอยู่ดี

เจ้าหน้าที่พาพวกเขาออกจากสถานที่สอบอย่างกระตือรือร้น หลิงหลานเดินออกจากประตูหลักก็เห็นหลิงฉินมีสีหน้าตื่นเต้นกังวล ในใจเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

อืม อย่างไรอยู่กับคนในครอบครัวก็สบายกว่า! ตอนนี้หลิงหลานค่อยรู้สึกปวดเอวปวดหลัง ถึงแม้ว่าเธอจะเก็บงำพลังในการต่อสู้อย่างรุนแรงเมื่อสักครู่นี้ แต่การเคลื่อนไหวมากเกินไปก็ทำให้กล้ามเนื้อของเธอได้รับบาดเจ็บจนตอนนี้มันก็เลยประท้วงเธอออกมา

ผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ อีกหลายคนก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นเช่นกัน เมื่อเห็นพวกเขาปรากฏตัวขึ้นก็ทยอยกันเข้ามารุมสอบถามเรื่องการสอบ ผลการสอบที่ดีและไม่ดีในการสอบครั้งนี้ไม่เพียงจะแสดงถึงอนาคตของเด็กเท่านั้น มันยังแสดงถึงอนาคตของครอบครัวนี้ด้วย

พอรู้ว่าพวกเขาสอบผ่าน ผู้ปกครองทุกคนต่างก็ดีใจมาก ส่วนพวกเด็กๆ เองก็ได้สร้างมิตรภาพของเพื่อนร่วมรบที่พิเศษไม่เหมือนใครในการสอบครั้งนี้ ทุกคนต่างพากันสัญญาว่าจะมารวมกลุ่มกันอีกครั้งในวันเปิดเรียน หลังจากนั้นพวกเขาก็ค่อยบอกลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์

หลิงหลานทยอยบอกลาเด็กอีกเก้าคน ท่าทีของเธอดูมีมารยาทและสำรวม ไม่มีการกระทำที่ลืมตัวเสียกิริยาเลย นี่ทำให้พ่อบ้านหลิงฉินพอใจและทอดถอนใจ ไม่ว่าจะดูอย่างไรบุคลิกของคุณชายเขาก็ดูดีสมภาคภูมิที่เป็นลูกของพลตรีหลิงเซียวจริงๆ

พอหลิงหลานรู้สึกว่าตัวเองจัดการเรื่องราวได้เรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจจากไปพร้อมกับหลิงฉิน ทว่าเธอเพิ่งจะหันตัวไปและเดินไปไม่ถึงสองก้าว เธอก็รู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อร่างกายของหลิงฉินที่อยู่ข้างๆ แข็งทื่อก่อนจะผ่อนคลายลงอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงคนที่ฝ่าลมมาอย่างรุนแรงจากทางด้านหลัง มีคนลอบโจมตี!?

หลิงหลานไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายอะไร เธอเพียงแต่ขยับไปทางด้านซ้ายง่ายๆ หนึ่งก้าวก็หลบการลอบโจมตีของอีกฝ่ายที่กระโจนเข้ามาอย่างดุเดือดได้พ้น

ปัง! เสียงหนึ่งดังลั่น คนลอบโจมตีทำท่าหมอบคารวะคว่ำหน้าอยู่แทบเท้าของหลิงหลาน

ร่างที่ดูคุ้นเคยอย่างหาใดเปรียบทำให้ขอบตาของหลิงหลานกระตุกขึ้นมาฉับพลัน เธอตวาดอย่างรุนแรงว่า “ฉีหลง! นายก่อเรื่องอะไรอีก”

เวลานี้ตัวของฉีหลงเต็มไปด้วยฝุ่นผง เขารีบลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันมาบอกลานาย”

หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ หน้าผากก็เต็มไปด้วยขีดดำ “เมื่อตะกี้นี้ฉันไม่ได้บอกลานายหรือไง” แม่งเอ๊ย ไอ้เด็กนี่เรียนรู้การตอแหลแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ฉีหลงถูกหลิงหลานเปิดโปงคำโกหกก็ไม่ได้รู้สึกอับอายเลยสักนิด เขาพูดเถียงข้างๆ คูๆ โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนและไม่มีความลุกลี้ลุกลนว่า “เมื่อตะกี้นี้เป็นการบอกลาแบบกลุ่ม แต่ว่าคราวนี้เป็นการบอกลาส่วนตัวของฉัน”

ฉีหลงเงยหน้าเอ่ยถามด้วยเสียงหัวเราะว่า “แหะๆ หลิงหลาน นายตื้นตันใจไหมล่ะ”

“ไม่รู้สึกตื้นตันใจเลยสักนิด ตกใจกลัวนิดหน่อยละสิไม่ว่า” หลิงหลานโจมตีฉีหลงด้วยสีหน้าเยือกเย็นไร้ความรู้สึก ฉีหลงเป็นเด็กที่ประจบเอาใจเก่ง เธอเลยไม่สามารถทำสีหน้าดีๆ ให้เขาเพื่อจะได้ไม่มีเรื่องเหนือการควบคุม

ฉีหลงไม่สนใจคำพูดของหลิงหลานที่โจมตีเขา ทว่าเขามองหลิงหลานด้วยความจริงจังราวกับว่ากำลังยืนยันอะไรบางอย่าง สายตามุ่งมั่นและเฉียบคมนั้นทำให้หลิงหลานรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง หลิงหลานยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ฉีหลงก็พูดก่อนว่า “หลิงหลาน นายแข็งแกร่งกว่าฉันจริงๆ ฉันยอมรับนาย ต่อไปนายก็คือลูกพี่ของฉัน”

ลูกพี่? นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธอฟังผิดหรือว่าฉีหลงมันบ้าไปแล้ว? เธอไม่เคยทำหน้าตาบ่งบอกว่าอยากจะรับลูกน้องเลยนะ มันเกิดอะไรขึ้นทำไมฉีหลงถึงมาเสนอตัวให้เธอ

นอกจากนี้ทำไมไม่มีคนที่รู้ล่วงหน้ามาบอกเธอสักคำเลยล่ะ ตัดสินใจแบบนี้เองเลยเหรอ หลิงหลานทำหน้า囧 รู้สึกจนปัญญาอย่างมาก ความจริงแล้วหลิงหลานไม่เคยคิดเรื่องจะเป็นลูกพี่เลย ลูกพี่ต่างก็เป็นคนที่ต้องออกหน้าทนรับกระสุนเร็วที่สุด นี่ขัดกับการตัดสินใจในตอนแรกของเธอ เธออยากจะใช้ชีวิตที่ปลอดภัยและไม่เป็นจุดเด่น

ฉีหลงกล่าวจบก็โบกมือบอกลาหลิงหลาน จากนั้นก็วิ่งหายวับไปกับตาทำให้หลิงหลานไม่มีโอกาสกล่าวคำพูดปฏิเสธออกไป สำหรับฉีหลงแล้ว การตัดสินใจของหลิงหลานไม่ใช่สิ่งสำคัญ ฉีหลงเป็นคนที่หัวดื้อ ขอเพียงเขายอมรับ เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าแล้วว่าหลิงหลานคือลูกพี่ ไม่ว่าหลิงหลานจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

ดังนั้น หลิงหลานเลยถูกฉีหลงพึ่งพาเช่นนี้เอง

หลิงหลานมองฉีหลงที่จากไปไกลด้วยสีหน้าบูดบึ้ง และหงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยว่าทำไมถึงตอบสนองช้า ตอนนั้นเธอควรจะรั้งฉีหลงไว้แล้วก็เจรจากับเขา แน่นอนว่าวิธีการเจรจานี้ย่อมไม่ได้ตัดพฤติกรรมเอาชนะด้วยกำลังออกไป

หานจี้จวินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่จางๆ เห็นได้ชัดว่าเขาดูสนุกสนานกับฉากที่ได้ชมไป

หลิงหลานพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “นายดูแลคนนั้นของนายดีๆ ไม่ได้หรือไง”

“คนนั้น?” หานจี้จวินอึ้งไปราวกับไม่เข้าใจความหมายของหลิงหลาน

มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “เพื่อนชายแสนดีของนายไง!”

หานจี้จวินตะลึงงันไปตอนแรก เพราะว่านี่เป็นคำศัพท์ใหม่อีกคำ ต่อมาเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจเล็กน้อย ดวงหน้าเล็กๆ ที่เหมือนกับหยกขาวขึ้นสีแดงก่ำทันที ดูท่าหนังหน้าของเขาจะบางอยู่บ้างทำให้เขาต้านทานการหยอกล้อของหลิงหลานแบบนี้ไม่ไหว

หลิงหลานรู้สึกประหลาดใจ ไม่นึกว่าหานจี้จวินที่ดูเป็นผู้ใหญ่จะมีท่าทีเหมือนเด็กเล็กๆ แบบนี้ “เป็นไปไม่ได้น่า แค่นี้ก็อายแล้วเหรอ”

หลิงหลานเอ๊ย ต่อให้คนเราจะฉลาดอีกแค่ไหน เขาก็เป็นแค่เด็กอายุหกขวบที่ใสซื่อบริสุทธิ์นะ เขาย่อมไม่ได้หน้าหนาอย่างสาวทึนทึกที่บวกอายุสองชาติแล้วได้สามสิบกว่าแบบเธอหรอก

หานจี้จวินได้ยินคำพูดก็กล่าวอย่างขุ่นเคืองจากความอับอายว่า “เป็นลูกพี่แล้ว จะสุขุมจริงจังหน่อยไม่ได้หรือไง”

หลิงหลานถูกโจมตี เธอหลั่งน้ำตามองฟ้ากล่าวว่า “ฉันไม่ได้ยิน”

พระเจ้าคะ เธอแค่อยากใช้ชีวิตมั่นคงปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้มีปณิธานอันยิ่งใหญ่อะไรเลย ได้โปรดให้พวกเด็กๆ ที่อยากกอดต้นขาออกไปไกลๆ จากเธอเถอะค่ะ อย่ามารบกวนเธอเลย อาเมน!

อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมาของหานจี้จวินก็ได้พังความหวังของหลิงหลานจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เธอได้ยินเขากล่าวแค่ว่า “เรียกก็เรียกไปแล้ว ยังไม่อยากยอมรับอีก? แล้วก็ ต่อไปเธอต้องดูแลฉันให้มากๆ ด้วยล่ะ ลูกพี่หลิงหลานของพวกเรา” ให้ตายสิ ขนาดหานจี้จวินก็เตรียมตัวพึ่งพาเธอแล้ว

…………………………………………………