บทที่ 41 มนุษย์มารที่แห้งเหี่ยว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“พวกเขาเป็นคนของสำนักมาร พวกเรารีบไปเร็ว” เห็นควันสีดำที่พ่นออกมา ติงเทียนเฉิงที่มีนิสัยไม่ค่อยพูดพลันตะโกนออกมา อัดกระแทกเวทมนตร์ในมือใส่สัตว์ปิศาจรอบด้านอย่างสุดชีวิต จากนั้นผลักหลิ่วฉี่ปอให้วิ่งไปที่ทางออก

“มาแล้วก็อย่าคิดจะจากไป จงรั้งอยู่เสียเถอะ”

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานรูปร่างอ้วนเตี้ยสั่นธงสีดำในมือ ควันสีดำสองสายก็พุ่งออกมานอกวงเวทตรงเข้าใส่พวกเขา สายหนึ่งรัดเอวของผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง ฉุดลากเขากลับเข้าไปในวงเวทอย่างรุนแรง ส่วนอีกสายหนึ่งพุ่งเข้าหาติงเทียนเฉิง

ติงเทียนเฉิงใช้มือผลักหลิ่วฉี่ปอ ตนเองสะอึกเข้ารับหน้า คิดจะขัดขวางควันสีดำเอาไว้ เขาควบคุมกระบี่วิญญาณพุ่งเข้าหา พอกระบี่วิญญาณสัมผัสควันสีดำก็ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำและสูญเสียจิตวิญญาณไปในพริบตา กลายเป็นกระบี่ธรรมดาเล่มหนึ่ง เขาตกตะลึง รีบถอยหลังไป ทว่าควันสีดำพุ่งเข้ามาถึงเบื้องหน้าแล้ว แลเห็นว่ากำลังจะจับตัวเขาไว้

ในขณะนี้เอง จินเฟยเหยาก็พุ่งขึ้นมา กำปั้นพกพาไฟนรกตรงเข้าต่อยใส่ควันสีดำ

“เพี๊ยะ” ควันสีดำที่สามารถกัดกร่อนอาวุธเวทได้ถูกหมัดของจินเฟยเหยาต่อยสลายไป ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานร่างอ้วนเตี้ยซึ่งเป็นเจ้าของธงสีดำรู้สึกตกตะลึง ในขณะนี้เอง ภูติศพตัวหนึ่งพุ่งเข้ามา พลังวิญญาณในร่างจินเฟยเหยาพวยพุ่ง เกล็ดหิมะนรกปรากฏขึ้นรอบกายในพริบตา พอเกล็ดหิมะสีฟ้าสัมผัสร่างภูติศพก็ส่งเสียงเพี๊ยะพะราวกับผัดถั่ว

ไฟสีฟ้าจุดเล็กๆ เผาไหม้บนร่างของภูติศพแบบไม่ตายไม่เลิกรา ภูติศพไม่รู้สึกเจ็บปวด และไม่ได้พยายามดับไฟนรกบนร่าง ทว่ากลับอ้าปากเน่าๆ คิดจะถ่มน้ำพิษสีเขียวใส่นาง

จินเฟยเหยาจะปล่อยให้มันถ่มน้ำพิษออกมาได้อย่างไร นางพุ่งขึ้นไปทุบตีหัวภูติศพอย่างบ้าคลั่ง ภูติศพที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยไฟนรก ถูกนางทุบตีจนล่าถอยไป ร่างถูกไฟนรกโอบล้อมเอาไว้ทั้งหมด ร่างของภูติศพเริ่มหลอมละลายภายใต้การเผาไหม้ของไฟนรกราวกับเทียน ครู่หนึ่งจึงกลายเป็นของเหลวสีเขียวเข้มข้นน่าขยะแขยงกองหนึ่ง

คิดไม่ถึงว่านางจะเผาภูติศพขั้นสามตายได้ ทำให้ทุกคนตกตะลึง นี่เป็นสัตว์ปิศาจที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรเทียบเท่าขั้นสร้างฐาน ไม่เข้าใจว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร นี่นับว่าจินเฟยเหยาโชคดี ถ้าหากมิใช่ภูติศพ ทว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นเดียวกัน หรือสัตว์ปิศาจอื่นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะฆ่าได้อย่างง่ายดายขนาดนี้

ในขณะนี้เอง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกทิ้งไว้อีกคนก็ถูกควันสีดำม้วนเข้าไปในวงเวท หลงเหลือเพียงพวกจินเฟยเหยาสามคนที่ยังอยู่นอกวงเวท พื้นที่ว่างภายในถ้ำถูกวงเวทยึดครองไปมากกว่าครึ่ง แมงมุมตาผีและภูติศพที่เหลืออยู่ไม่มีที่จะไป ทั้งหมดพุ่งเข้าใส่พวกเขา

เรื่องต่อกรกับภูติศพทั้งหมดมอบให้เป็นหน้าที่ของจินเฟยเหยา ติงเทียนเฉิงและหลิ่วฉี่ปอจัดการแมงมุมตาผี ทว่าภายในวงเวทยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มองพวกเขาด้วยสีหน้าดุร้าย นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายที่มากับเฉียนเฟิงก็ถูกควันสีดำผูกมัดไว้ เขามองเฉียนเฟิงด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทันใดนั้น ภายในถ้ำสั่นสะเทือนดัง ‘ครืน’ แสงสีแดงเหนือถ้ำสาดแสงเจิดจ้า วงเวทสีแดงโลหิตวงหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือถ้ำ วงเวทสองวงด้านบนและด้านล่างทำงานสอดประสานกัน ม่านแสงสีโลหิตร่วงลงมาจากฟ้า กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นปกคลุมไปทั่วทั้งถ้ำในพริบตา แมงมุมตาผีที่หนีไม่ทัน ถูกวงเวทเหนือถ้ำโจมตีจนกลายเป็นควันสีเขียว ทำให้พวกจินเฟยเหยาลดความกดดันลงไม่น้อย

“แย่แล้ว รีบช่วยข้ายันไว้ ข้าจะไปเปิดทางออก” จินเฟยเหยาหลบการโจมตีด้วยน้ำพิษของภูติศพตัวหนึ่ง วิ่งไปที่ทางออกที่อยู่ใกล้ที่สุด หลิ่วฉี่ปอรีบมาต้านทานการโจมตีของภูติศพที่ตำแหน่งเหนือศีรษะนาง นางเหงื่อออกเต็มศีรษะ พลังวิญญาณหมดไปอย่างรวดเร็ว เกรงว่าจะต้านทานไว้ได้ไม่นาน

จินเฟยเหยาพุ่งไปถึงทางออก โจมตีใยแมงมุมหนาๆ ด้านบนทันที ไฟนรกโจมตีลงบนใยแมงมุม ส่งเสียงดัง ‘ชี่ๆ’ ใยแมงมุมเริ่มหลอมละลาย เพียงแต่ใยแมงมุมแปะติดอยู่หนาเป็นชั้นขนาดใหญ่ ความเร็วในการหลอมละลายเชื่องช้ายิ่ง

“เร็วหน่อย!” ทางนี้เวลาไม่คอยท่า หลิ่วฉี่ปอเอ่ยกระตุ้นอย่างกังวล

“เสร็จแล้ว รีบไป”

ในที่สุดใยแมงมุมที่ทางออกก็หลอมละลายเป็นช่องทาง จินเฟยเหยาตะโกนเสียงดัง แล้วแทรกเข้าไปในทางออกหนีออกไปข้างนอก หลิ่วฉี่ปอและติงเทียนเฉิงก็หนีเข้าไปในทางออก หนีออกไปภายนอกอย่างไม่คิดชีวิต

“ไล่ตามออกไป อย่าให้พวกเขาหนีไปได้แม้แต่คนเดียว” เฉียนเฟิงยิ้มชั่วร้าย ใบหน้าภายใต้การสาดส่องของแสงสีแดงน่ากลัวอย่างประหลาด

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอ้วนเตี้ยปักธงสีดำในมือลงในวงเวท แล้วพุ่งออกไปกับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ผอมสูงอีกคนหนึ่ง ส่วนเฉียนเฟิงเดินเข้าไปหาบัวเซียนอัคคี เขาไม่กังวลเลยสักนิดว่าพวกจินเฟยเหยาจะหนีออกไปได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าคนที่ไล่ตามพวกเขาไปเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน แม้แต่ถ้ำใต้ดินที่เหมือนเขาวงกตนี้ คิดจะหาทางออกไปก็ไม่ง่ายดายนัก

จริงเสียด้วย ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเซียนสองคนกลับมา ในมือของแต่ละคนหิ้วคนผู้หนึ่ง โยนไว้ในวงเวทอย่างสบายๆ

“เจ้าเบาหน่อยสิ”

บนร่างของจินเฟยเฟยเหยาถูกเชือกสีดำเส้นหนึ่งพันไว้อย่างแน่นหนา ดวงตายังถูกต่อยเป็นสีเขียวคล้ำปื้นใหญ่ หลังจากถูกโยนลงในวงเวท นางก็อดร้องออกมาไม่ได้ บาดแผลกระแทกพื้นเข้าพอดี

ถึงแม้จะรู้แต่แรกว่าพละกำลังของขั้นสร้างฐานและขั้นฝึกปราณมีความแตกต่างกันมาก ทว่านางเพิ่งแยกกันหนีกับหลิ่วฉี่ปอไม่นาน ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนเตี้ยก็ไล่ตามมาทัน หลังจากจินเฟยเหยาสามารถจู่โจมทำลายควันสีดำจากธงเกี่ยววิญญาณที่เขาภาคภูมิใจ เขาก็เกิดความสนใจจินเฟยเหยาไม่น้อย ในใจคิดจะนำวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางมาหลอมสร้างธงเกี่ยววิญญาณ

พอเห็นเขาสั่นแขนเสื้อ เชือกสีดำเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากข้างใน พุ่งไปหาจินเฟยเหยาอย่างแหลมคม ในยามรีบร้อนจินเฟยเหยาพลันชะงักเท้า หมุนตัวยื่นมือไปคว้าเชือกสีดำเอาไว้ จากนั้นก็สะบัดลงพื้นอย่างแรง เชือกสีดำถูกจินเฟยเหยาสะบัดลงพื้นเหมือนงูที่ตายแล้ว

เห็นนางสะบัดเชือกสีดำทิ้ง ผู้บำเพ็ญเซียนร่างอ้วนเตี้ยก็ตกตะลึง เชือกสีดำเป็นสิ่งที่เขาใช้เส้นผมของผู้บำเพ็ญเซียนที่เขาฆ่าตายหลอมสร้างขึ้น ใช้เส้นผมของคนยี่สิบกว่าคนเต็มๆ ตัวของเชือกสีดำเป็นถึงอาวุธเวทชั้นยอด เพราะวัสดุคือสิ่งของในร่างของผู้บำเพ็ญเซียน ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับอาวุธเวทชั้นยอดธรรมดา ตัวมันมีสติปัญญาแล้ว ระดับความปราดเปรียวไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ภูติจำพวกงู คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะปล่อยให้จินเฟยเหยาโยนกระแทกพื้นตรงๆ ราวกับสลบไป

“พันหมื่นหัตถ์ภูติ” เขาตะโกนเสียงดัง มือกระดูกขนาดยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้า กำหมัดต่อยใส่จินเฟยเหยาที่วิ่งหนีในอุโมงค์

จินเฟยเหยาลอยไปด้านหลังอย่างแรง รู้สึกว่าหลังชาไร้ความรู้สึก นางกัดฟันหมุนตัวไปอีกครั้ง ยกกำปั้นขึ้นต่อยใส่หมัดกระดูกนั้น ครั้งนี้เหมือนตั๊กแตนขวางล้อรถ หมัดกระดูกที่มีขนาดใหญ่เท่าอุโมงค์ต่อยจินเฟยเหยาลอยออกไป หลังจากกลิ้งไปบนพื้น นางเพิ่งจะดิ้นรนลุกขึ้น หมัดกระดูกก็พุ่งมาหาอีกครั้ง ต่อยใส่หัวและใบหน้าโครมๆ หลายหมัด

รอจนผู้บำเพ็ญเซียนร่างอ้วนเตี้ยเก็บหมัดกระดูกกลับไป ด้านหลังจินเฟยเหยาแนบติดอยู่บนกำแพงถูกต่อยตีจนเป็นร่องขนาดใหญ่รูปคน นางถูกทุบตีจนขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่ในร่อง ผู้บำเพ็ญเซียนอ้วนเตี้ยถือเชือกสีดำในมือขึ้น มัดนางไว้อย่างแน่นหนาแล้วหิ้วกลับไป

จินเฟยเหยามองหลิ่วฉี่ปอที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก รู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม หนีไปแล้วถูกจับตัวกลับมาเหมือนกัน เหตุใดตนเองจึงถูกทุบตีจนเป็นหัวสุกร ทั้งยังถูกมัดเชือกอย่างแน่นหนาอีก ส่วนหลิ่วฉี่ปอขนาดเชือกยังไม่ถูกมัด นอกจากบนร่างมีคราบเลือดนิดหน่อย ก็นั่งยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ด้านข้างอย่างงดงาม

ผู้บำเพ็ญเซียนที่จับตัวหลิ่วฉี่ปอกลับมาเดินเข้ามาใกล้เฉียนเฟิง เอ่ยอะไรบางอย่างเสียงเบา เฉียนเฟิงขมวดคิ้วนิดๆ ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชาเอ่ยว่า “ได้รับบาดเจ็บหนีไปแล้ว? ฮึ ต่อให้สามารถออกไปอย่างมีชีวิตได้ ตอนเขาแจ้งตำหนักลั่วเซียน พวกเราก็ไปนานแล้ว”

“สหายเซียนติงหนีไปแล้ว?” จินเฟยเหยาเอ่ยถามเบาๆ

“อืม” หลิ่วฉี่ปอมีสีหน้าไม่ค่อยดี พยักหน้าเบาๆ “วันนี้เกรงว่าคงโชคร้ายมากกว่าดี สหายเซียนจิน ครั้งนี้เรียกเจ้ามา ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

“ตอนนี้พูดเรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดหาวิธีดีกว่า ดูว่าจะหนีออกไปได้หรือไม่” จินเฟยเหยาเพิ่งเอ่ยจบ ก็เห็นพวกเฉียนเฟิงเคลื่อนไหว

“ศิษย์น้อง เริ่มเถอะ” เมื่อแน่ใจว่าทุกคนสูญเสียความสามารถในการต่อต้าน พวกเฉียนเฟิงสามคนก็ล้อมรอบบัวเซียนอัคคี ร่ายเวทมนตร์เสียงเบา ครู่หนึ่งให้หลัง พวกเขาสามคนหยิบก้อนหินสีดำสามก้อนออกมา และถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในก้อนหิน จากนั้นโยนไปทางบัวเซียนอัคคี

ก้อนหินลอยไปถึงด้านบนของบัวเซียนอัคคี หลอมละลายกลายเป็นของเหลวสีดำและหยดลงบนบัวเซียนอัคคี ดอกบัวสีแดงเพลิงดูดซับของเหลวสีดำทั้งหมดจนเกลี้ยง และกลายเป็นดอกบัวสีดำอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นานก็เหี่ยวเฉา

การกระทำของพวกเขาแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ทว่าเกี่ยวพันถึงชีวิตของทุกคน ทุกคนจึงจ้องมองพวกเขาอย่างตึงเครียดที่สุด เห็นเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้กลายเป็นสีดำ และแห้งเหี่ยวหมด ทุกคนต่างมองหน้ากัน ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้

ทันใดนั้น แอ่งน้ำสีดำใต้บัวเซียนอัคคี พลันมีฟองอากาศผุดขึ้นมาดังปุดๆ ฟองอากาศมีจำนวนมากขึ้นทุกที เหมือนน้ำสีดำถูกต้มจนเดือด

“ตูม!”

น้ำสีดำพลันระเบิด ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ตำแหน่งเดิมระเบิดออกเป็นหลุมลึก พวกเฉียนเฟิงสามคนเผยสีหน้ายินดีให้เห็น จับจ้องในหลุมลึกด้วยใบหน้าเปี่ยมความคาดหวัง

ควันสีดำขนาดใหญ่สายหนึ่งพุ่งออกมาจากในหลุม จินเฟยเหยารู้สึกสับสนลนลาน พลังกดดันที่บอกไม่ถูกพุ่งเข้ามาปะทะหน้า ส่วนในควันสีดำมีร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นคล้ายมีและคล้ายไม่มี

เฉียนเฟิงเห็นเงาร่างของคนผู้นี้ ก็ตื่นเต้นยินดี นำยันต์สีแดงโลหิตใบหนึ่งออกมาจากในอกอย่างระมัดระวัง แล้วต่อยหน้าอกตนเองอย่างแรงหนึ่งหมัด โลหิตสดในปากพ่นใส่กระดาษยันต์ จากนั้นเขาก็โยนกระดาษยันต์เข้าไปในควันสีดำ แปะบนทรวงอกของเงาร่างคน

“อ๊า!”

กระดาษยันต์เพิ่งแปะ เงาร่างคนที่ยืนนิ่งไม่ขยับพลันคำรามเสียงดัง เขากระโดดโลดเต้นอยู่ในควันสีดำ ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ส่วนเฉียนเฟิงพึมพำท่องคาถา ใช้เวทมนตร์สยบเงาร่างคนอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเงาร่างคนก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรนและสงบลง ควันสีดำค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นคนที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“คนเผ่ามาร…” รอจนคนในควันดำปรากฏร่างออกมาทั้งหมด ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนอดร้องอุทานไม่ได้ คนที่ลอยอยู่กลางอากาศคือศพแห้งที่เปื่อยยุ่ย เขาสองข้างและเส้นผมสีแดงเข้มบนศีรษะล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงฐานะคนเผ่ามารของเขา กล้ามเนื้อเหี่ยวแห้งที่แนบติดกระดูก ไม่ได้เน่าเปื่อย เพียงแต่ผิวหนังสีดำมะเมื่อมจนมองสีผิวเดิมไม่ออก ชุดเกราะสวมไว้บนร่างแบบขาดวิ่น ผุพังจนไม่เป็นสารรูปนานแล้ว

เทียบกับการตอบสนองอย่างรุนแรงในควันสีดำเมื่อครู่ ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศอย่างสงบ ตำแหน่งดวงตาเว้าลงไป หนังตาเหี่ยวแห้งที่ปกคลุมด้านบน ปิดอยู่อย่างสงบนิ่ง นอกจากทรวงอกแปะยันต์สีแดงที่พ่นโลหิตสดใบนั้น ดูแล้วก็เป็นศพแห้งธรรมดา

“ฮ่าๆๆ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว” เห็นศพแห้งที่ลอยอยู่กลางอากาศ เฉียนเฟิงหัวเราะเสียงดังอย่างดีใจจนเหลิง

“ขอแสดงความยินดีด้วยศิษย์พี่ ที่ครั้งนี้สามารถจับศพมารมาทำวิญญาณภูติได้ ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่จะต้องเพิ่มขึ้นอีกขั้น รอจนกลับไปสำนักอาจารย์จะต้องมองศิษย์พี่ใหม่แน่”

“นั่นสิ ถึงตอนนั้นต้องทำให้เจ้าเด็กหวังชงเสียหน้าแน่ วิญญาณภูติของเขาไม่มีทางเทียบศพมารของศิษย์พี่ได้เลย”

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเฉียนเฟิง เริ่มประจบประแจงขึ้นมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน