บทที่ 42 เด็กเลี้ยงควายที่มีความสุข

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ฟังการประจบประแจงของพวกเขาสองคน เฉียนเฟิงก็เอ่ยอย่างกระหยิ่มยินดี “ข้าสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากมายจึงได้ศพมารตัวนี้มา หากไม่ได้พบบัวเซียนอัคคีต้นนี้โดยบังเอิญ ศพมารคงนอนอยู่ที่นี่นับหมื่นปีโดยไม่ถูกค้นพบ ผู้ใดจะคาดว่าของเหลวสีดำใต้บัวเซียนอัคคีต้นนี้ก็คือโลหิตของศพมารที่หลอมละลายเข้ากับไอมาร สวรรค์ช่างส่งเสริมข้าจริงๆ”

จากนั้น สายตาของเขาก็กวาดตามองผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกธงเกี่ยววิญญาณมัดไว้ในวงเวท แล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย “ตอนนี้ได้เวลาซ่อมร่างศพมารแล้ว ทุกคนร่าเริงหน่อย อย่าทำหน้าอมทุกข์ อีกเดี๋ยวก็จบแล้ว”

ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ตอนนี้ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขาแล้ว ทุกคนล้วนมีสีหน้าหม่นหมอง ตายไปแล้วครึ่งตัว เวทมนตร์ของสำนักมาร ล้วนใช้วิธีการสกปรกทำร้ายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน อาวุธเวทที่ใช้หากมิใช่ทำจากวิญญาณก็หลอมสร้างจากจิตวิญญาณดั้งเดิม ตกอยู่ในกำมือพวกเขา ก็ได้แต่หวังว่าจะได้ตายอย่างรวบรัด จิตวิญญาณดั้งเดิมไม่ถูกหลอมเป็นอาวุธเวททนทุกข์ทรมานไปชั่วนิรันดร์

“เริ่มจากเจ้าก่อนแล้วกัน ศิษย์น้องซุน ลากเจ้าหมอนั่นมา นอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ตรงนั้นกระทบถึงอารมณ์ของข้า ถ้าตายไป ก็เสียไปเปล่าๆ หนึ่งคน” เฉียนเฟิงชี้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกภูติศพกัดแทะ แล้วเอ่ยอย่างเบาสบาย

คนผู้นี้เพิ่งกินยาแก้พิษ ยังไม่ตายชั่วขณะ ทว่าร่างกลับถูกภูติศพแทะจนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง กำลังแสร้งตายอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง เห็นเฉียนเฟิงชี้เขา เขาก็ร้องตะโกนสุดเสียงราวกับกินยาชูกำลัง “ผู้อาวุโส ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าจะมอบสิ่งของที่อยู่ในตัวให้ท่านทั้งหมด ข้าถูกพิษศพ เนื้อทั่วร่างเหม็นโฉ่ ต้องส่งผลกระทบต่อแผนการของท่านแน่ พวกเขาไม่ได้ถูกพิษ ร่างกายแข็งแรงทั้งยังกำยำ ท่านเลือกพวกเขาเถอะ!”

ทุกคนมองเขาอย่างมีโทสะ ความประพฤติของคนผู้นี้ไม่มีเมตตากรุณาเกินไป มีคนเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ “เจ้าหมอนี่ ตอนนี้เป็นเวลารักตัวกลัวตายหรือ? นำปณิธานในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าออกมา แล้วจากไปอย่างกล้าหาญสิ”

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป อย่ามาจับข้า” เขาพลิกตัว คลานออกนอกวงเวทอย่างยากลำบาก

“อย่าก่อเรื่อง มานี่” ศิษย์น้องซุนที่ร่างอ้วนเตี้ยก้าวยาวๆ ไปหา คว้าคอเสื้อของเขาขึ้น แล้วลากไปหาเฉียนเฟิง

เขาถูกลากมาถึงเบื้องหน้าเฉียนเฟิง ศิษย์น้องซุนคิดจะดึงเขาขึ้นมา ทว่าขาสองข้างของเขาอ่อนแรงจนกลายเป็นดินโคลนก้อนหนึ่งยืนไม่ไหว ได้แต่หิ้วร่างของเขาขึ้นแขวนไว้เหมือนเนื้อหมักเกลือชิ้นหนึ่ง

เฉียนเฟิงท่องคาถาอีกครั้ง รอบศพมารเริ่มปรากฏหมอกควันสีดำ หมอกควันมารวมตัวอยู่ด้านหลังของเขา กลายเป็นมือสีดำสองข้าง

“เปิด!”

เฉียนเฟิงก้มหน้าตะโกน ศพมารพลันลืมตาขึ้น เผยให้เห็นเบ้าตาอันกลวงโบ๋ไร้สิ่งใดด้านใน

ร่างศพมารขยับ มองซ้ายมองขวาอย่างงงงวย อาจเป็นเพราะพบว่าในดวงตาดำมืด ตนเองมองอะไรไม่เห็น เขาพลันดิ้นรนอย่างรุนแรง โบกมือและเท้าวุ่นวายทั้งยังอ้าปากคำราม

“รีบโยนคนเข้ามา” เฉียนเฟิงควบคุมศพมารอย่างกินแรง เอ่ยเร่งเร้าทันที

ศิษย์น้องซุนใช้เวทควบคุมวัตถุหิ้วคนขึ้นมาส่งให้ถึงเบื้องหน้าศพมาร ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นดิ้นรนอย่างตื่นตระหนก กลับต่อต้านอานุภาพของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่ได้ เข้าไปใกล้ศพมารมากขึ้นทุกที

จินเฟยเหยากลั้นลมหายใจเหมือนกับคนอื่นๆ จ้องมองศพมารตาไม่กระพริบ สำหรับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น นางทั้งสงสัยทั้งหวาดกลัว แต่ความสงสัยเป็นฝ่ายเหนือกว่า

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นหยุดอยู่เบื้องหน้าศพมาร ห่างจากมือข้างหนึ่งที่โบกวุ่นวายเพียงนิ้วเดียว เห็นมือของเฉียนเฟิงโบกคราหนึ่ง มือหมอกสีดำด้านหลังศพมารพลันยื่นออกมาบีบคอของเขา

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ตาเบิกถลน อ้าปากกว้างทว่ากลับไม่อาจส่งเสียงใดๆ ออกมาได้ ร่างของเขาเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็วตามเสียงร่ายคาถาอย่างต่อเนื่องของเฉียนเฟิง สุดท้ายเหลือเพียงผิวหนังที่แห้งเหี่ยวปราศจากน้ำแนบติดบนกระดูก

ศพมารสงบนิ่งลงตามการตายของผู้บำเพ็ญเซียน ราวกับเสพสุขขั้นตอนนี้ จากนั้นในปากที่อ้ากว้างของผู้บำเพ็ญเซียนปรากฏดวงแสงเล็กๆ สีเหลืองอ่อน ดวงแสงเล็กๆ ลอยออกมากำลังคิดจะหนีก็ถูกมือหมอกสีดำคว้าจับไว้ในมือ จากนั้นป้อนเข้าปากศพมาร

“จิตวิญญาณดั้งเดิมหนีไม่รอด ร่างก็ถูกดูดจนแห้งหมด” ที่แท้เป็นแบบนี้เอง ทุกคนถูกเฉียนเฟิงใช้การเด็ดบัวเซียนอัคคีเรียกมาเพื่อซ่อมแซมร่างของศพมาร จินเฟยเหยาพยักหน้าอย่างตระหนัก ทอดถอนใจว่าเหตุใดตนเองจึงมักจะพบเจอคนเช่นเดียวกับหวาซี ชอบใช้คนเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง

ทันใดนั้นนางก็ได้สติคืนมา ตอนนี้ตนเองเป็นอาหารให้ศพมารเพื่อใช้ซ่อมแซมร่างกาย มีอะไรน่าสะเทือนใจกัน พอมองไปรอบๆ สีหน้าของทุกคนยอดเยี่ยมยิ่ง เก็บความหวาดกลัวและความสิ้นหวังทั้งหมดไว้ข้างใน

ไม่รู้ว่าเอาผู้บำเพ็ญเซียนให้ศพมารกินแบบนี้จะมีผลลัพธ์อะไร ขณะที่จินเฟยเหยากำลังคาดเดา ในเบ้าตาสีดำสนิทของศพมาร มีถุงเล็กๆ นูนขึ้นมา ดวงตาที่เหี่ยวแห้งเหมือนกระดาษชำระเริ่มบวมขึ้นมา

“ศิษย์น้อง ต่อไป” เฉียนเฟิงมองศพมารเบื้องหน้าอย่างลึกซึ้ง แล้วเอ่ยสั่งการศิษย์น้อง

ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเขา บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรพลันส่งเสียงเอะอะ ทุกคนเริ่มดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ก่อนหน้านี้เป็นเพราะสถานการณ์ไม่ชัดเจน ไม่กล้าใช้วิธีสุดท้ายในการรักษาชีวิต ตอนนี้อยู่ห่างจากความตายเพียงก้าวเดียว ทุกคนพลันระเบิดออกมา

ผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองขยับตัวก่อนคนแรกสุด ไม่รู้ว่าในร่างของเขาซ่อนของวิเศษช่วยชีวิตอะไรเอาไว้ ยามนี้พลันระเบิดแสงสดใสออกจากร่าง ทำให้ธงเกี่ยววิญญาณสั่นสะเทือนและลอยออกไป ควันสีดำที่มัดบรรดาผู้บำเพ็ญเซียน หายไปชั่วขณะ ทุกคนส่งเสียงคราง แล้วนำอาวุธเวทที่ดีที่สุดในตัวออกมา

มีคนนำยันต์เพิ่มพลังวิญญาณ ยังมีคนใช้เคล็ดวิชาประหลาด ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองล้วงเสื้อคลุมที่ปรับสีตามสภาพแวดล้อมได้ คลุมลงบนร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นตะโกนเสียงดังใส่พวกเฉียนเฟิง “ข้าเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสแห่งสำนักหลิงคง พวกเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ ท่านพ่อของข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม บนตัวข้ามีอาคมต้องห้ามที่เขาลงไว้ ถ้าฆ่าข้าพวกเจ้าก็จะถูกฝังรอยประทับ จะถูกสำนักหลิงคงของข้าตามล่าสังหารจนตาย”

คำพูดนี้เหตุใดจึงคุ้นหูนัก? จินเฟยเหยานอนฟังอยู่บนพื้น รู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำพูดคล้ายๆ กันจากที่ไหนสักแห่ง ย้อนนึกดูอย่างละเอียด นี่เป็นคำพูดอี่ซานในตอนนั้นมิใช่หรือ คิดไม่ถึงว่าจะพูดได้ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ท่าทางผู้อาวุโสและเจ้าสำนักเหล่านี้คงมีญาณทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า รู้ว่าลูกของตนเองต้องถูกคนตามสังหารแน่ ดังนั้นจึงลงมือก่อน

นางดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง ไม่รู้สึกว่าคนของสำนักมารเหล่านั้นจะปล่อยเขาไปเพราะสาเหตุนี้ นอกจากจินเฟยเหยาที่ถูกเชือกสีดำมัดไว้คนเดียว คนอื่นๆ เพียงแค่ถูกธงเกี่ยววิญญาณกักขังไว้ ตอนนี้ทุกคนล้วนอาศัยบารมีของผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองปฏิบัติการให้ได้รับอิสระ มีเพียงนางที่ยังถูกมัดจนเหมือนขนมจ้าง

พวกเฉียนเฟิงสามคนพลันหัวเราะเสียงดัง “คุณชายน้อยท่านนี้ เจ้าไม่อยู่ในสำนัก แล่นมาร่วมความครึกครื้นที่นี่ทำไม”

“ข้าออกมาหาประสบการณ์ไม่ได้หรือ? ข้าพูดชัดเจนมากแล้ว พวกเจ้ารีบเปิดวงเวทให้ข้าออกไป” เขาไม่รู้ว่าพวกเฉียนเฟิงกำลังหัวเราะอะไร บังคับให้ตนเองยืนนิ่งๆ เอ่ยถามเสียงดัง

“ท่าทางเจ้าจะมีความเป็นมาไม่เบา เรื่องปล่อยเจ้าสามารถหารือกันได้ เพียงแต่…” เฉียนเฟิงหยุดยิ้ม มองคุณชายน้อยท่านนี้แล้วเอ่ยถาม “บรรดาคนที่มากับเจ้า จะจัดการอย่างไร ถ้าเจ้าสามารถทำให้ข้าพอใจได้ ก็สามารถหารือกันได้ทุกเรื่อง”

ตอนพวกเขามา มีผู้บำเพ็ญเซียนรวมทั้งหมดเจ็ดคน มีคนหนึ่งถูกกินไปแล้ว นอกจากคุณชายน้อยท่านนี้ ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนอีกห้าคนที่มีชีวิตอยู่ ที่จริงห้าคนนี้ก็เป็นคนของสำนักหลิงคง ทั้งยังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของคุณชายน้อยท่านนี้ด้วย ถึงแม้ปกติศิษย์น้องคนนี้จะทำเรื่องโง่เขลาไปบ้าง ทว่ามีศักดิ์ฐานะอยู่ หากยื่นเงื่อนไขที่ทำให้พวกสำนักมารเหล่านี้พอใจได้ บางทีอาจจะพาทุกคนจากไปโดยปลอดภัยได้ ดังนั้นคนทั้งห้าล้วนฝากความหวังไว้บนตัวเขา

ริมฝีปากของคุณชายน้อยสั่นระริก แทบจะเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “ผู้อาวุโส พวกเขา…ให้พวกเขาอยู่ที่นี่รับใช้ท่านเถอะ”

“โจวหวั่นปา เจ้าคนสารเลว พวกเราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันนะ เจ้าถึงกับทิ้งพวกเราให้ตายแบบนี้ โจวหวั่นปา เจ้าต้องไม่ตายดี เจ้าคนสารเลว”

คิดไม่ถึงว่าเขาจะทรยศศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดอย่างเปิดเผยและไม่ลังเลสักนิด ยามนี้ ทุกคนจึงไม่ไว้หน้าเขาอีก ชี้นิ้วด่าทอเขา ยังมีสองคนพุ่งเข้าหาจะทุบตีเขา

ในเมื่อต้องตาย เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหมายจากไป ตายกับพวกเราเสียเถอะ พวกเขาโอบกอดความคิดเช่นนั้น ใช้เวทมนตร์ที่เดิมทีเตรียมจะลองทลายวงเวทอัดกระแทกเข้าใส่ร่างของโจวหวั่นปาทั้งหมด

โจวหวั่นปาที่เซ่อซ่าถูกบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องห้าคนอัดจนลงไปกองกับพื้น ส่งเสียงร้องอนาถเหมือนสุกรถูกเชือด

“อย่าทุบตีให้ตาย ข้ายังต้องใช้ คุมตัวพวกเขาไว้” เฉียนเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา ศิษย์น้องซุนเก็บธงเกี่ยววิญญาณกลับคืน และเริ่มสั่นธงควบคุมพวกเขาไว้อีกครั้ง

ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่โง่งมเหมือนพวกเขา หลิ่วฉี่ปอกินยาที่ใสแวววับเม็ดหนึ่ง ทั่วร่างเปลี่ยนเป็นโปร่งใสภายใต้ฤทธิ์ยา จากนั้นก็กลายเป็นสำแสงโปร่งใสสายหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ม่านแสงสีโลหิตของวงเวท

ขณะที่ศิษย์น้องซุนหยิบธงเกี่ยววิญญาณขึ้น นางก็พุ่งไปถึงม่านแสงสีโลหิต ได้ยินเพียงเสียงหนักๆ หลิ่วฉี่ปอถูกดีดกลับมากระแทกลงบนพื้น จึงได้มองเห็นชัด ว่าในลำแสงเป็นผีเสื้อโปร่งใสขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง

นางลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม แล้วพุ่งเข้าใส่ม่านแสงสีโลหิตอีกครั้งอย่างห้าวหาญ พยายามกระแทกม่านแสงให้เป็นรูอย่างสุดกำลัง

จินเฟยเหยาไม่เคยเห็นยาตานแบบนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้คนกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ ในขณะที่กำลังตกตะลึง ตนเองก็กำลังเตรียมหลบหนี

เพราะนางถูกเชือกสีดำมัดไว้อย่างแน่นหนาคนเดียว ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเอะอะอย่างไร นางเพียงแค่นั่งบนพื้นเงียบๆ เหมือนล้มเลิกการหลบหนี ที่จริงนางกำลังโคจรเวทหนีไฟนรก ไฟนรกเริ่มเผาไหม้จากภายในร่างของนาง มองภายนอกยังไม่เห็นความผิดปกติชั่วคราว

รอจนหลิ่วฉี่ปอเสี่ยงตายกระแทกบนม่านแสงเจ็ดแปดครั้ง ตอนเจ้าโง่สำนักหลิงคงคนหนึ่งถูกควบคุมอีก เวทหนีไฟนรกของจินเฟยเหยาก็ใกล้จะใช้การได้ ความเย็นเยียบชำแรกจากภายในร่างของนางออกมาสู่ภายนอก เปลวไฟสีฟ้าหนีออกมาจากในร่างของนางทันที ตูม เผาไหม้ทุกส่วนของนางอย่างสมบูรณ์ พริบตาก็มองไม่เห็นคน เห็นเพียงเปลวไฟสีฟ้าขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง

จากนั้นเห็นเปลวไฟสีฟ้าหลบหนีอย่างกะทันหัน พุ่งปักเข้าไปในวงเวทตรงเพดานถ้ำ หลังจากยืนหยัดอยู่ไม่กี่อึดใจ ภายใต้สายตาเย้ยหยันของพวกเฉียนเฟิงสามคน นางก็เผาวงเวทจนหลอมละลาย แทรกตัวเข้าไปในศิลาทันที เผาไหม้ออกเป็นอุโมงค์สายหนึ่งในเทือกเขา พุ่งออกไปข้างนอก

หลิ่วฉี่ปอที่ตกลงมาจนหน้ามืดตาลายแต่แรกก็ตามหลังไปทันที แทรกเข้าไปในอุโมงค์ที่จินเฟยเหยาเผา หนีออกไปข้างนอก

คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะทลายวงเวทหนีออกไปได้ คนทั้งสามปากอ้าตาค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เฉียนเฟิงร้องโวยวายอย่างกระหืดกระหอบ “รีบไล่ตามไป จับคนกลับมาให้ข้า”

ศิษย์น้องซุนทิ้งธงเกี่ยววิญญาณ แล้วพุ่งเข้าไปในอุโมงค์กับศิษย์พี่อีกคนหนึ่ง ไล่ตามคนทั้งสองไป