ทั้งสองคนได้แต่ไปตามทางอุโมงค์แคบๆ ที่ผ่านได้แค่คนเดียว ในไม่ช้าก็ออกมาจากภูเขา เท้าเหยียบอาวุธเวทบินอยู่กลางอากาศ เงาแสงสองสายหนีไปทิศทางตรงกันข้ามที่ขอบฟ้า ศิษย์น้องซุนไล่ตามไปทางแสงสีฟ้าของจินเฟยเหยาทันที ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไล่ตามหลิ่วฉี่ปอที่กลายเป็นแสงสีขาวไป
ศิษย์น้องซุนนึกว่าจินเฟยเหยาจะบินไปทางเมืองลั่วเซียน คิดไม่ถึงว่าเปลวไฟสีฟ้ากลับหนีไปยังทิศทางตรงข้ามกับเมืองลั่วเซียนอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเปลวไฟสีฟ้ายังรวดเร็วถึงขีดสุด เขาขี่อาวุธเวทด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว ก็ยังไม่สามารถย่นระยะห่างของทั้งสองคนได้ ตรงกันข้ามกลับถูกจินเฟยเหยาค่อยๆ ยืดระยะห่างอย่างช้าๆ สุดท้ายก็หายไปจากเส้นสายตาของศิษย์น้องซุน
ตอนนี้เขาไล่ตามมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเฉียนเฟิงอยู่ที่ภูเขาจี๋เหนี่ยวคนเดียว จะพบเจออันตรายหรือไม่ เห็นจินเฟยเหยาหายลับไป เขาก็ได้แต่เลิกล้มการไล่ติดตาม รีบหันกายกลับไปยังภูเขาจี๋เหนี่ยว
จินเฟยเหยาหนีรอดจากการล่าสังหาร ทว่ากลับไม่ยินดีเลยสักนิด นอกจากมีสติแล้ว นางก็ควบคุมร่างกายไม่ได้เลย ปล่อยให้ไฟนรกพานางบินสะเปะสะปะ ถึงจะไม่มีคนตามมาด้านหลังแล้ว ทว่านางหยุดไม่ได้ ได้แต่เบิกตามองตนเองข้ามแม่น้ำ บินผ่านเทือกเขาหนีออกมาพ้นป่าและชนสัตว์ปิศาจบินได้
ไม่รู้ว่าบินอยู่กลางอากาศมานานเพียงใด นางถึงกับนอนหลับไปกลางอากาศ เมื่อตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยดวงดารา กำลังสวดมนต์ให้ตนเองว่าตอนหยุดอย่าตกลงในไปรังสัตว์ปิศาจก็เห็นท้องนภาเบื้องหน้ามีดาวตกวาบผ่าน ดาวตกพกพาแสงรัศมีอันอ่อนจางพุ่งลงในเทือกเขาเบื้องหน้า
จินเฟยเหยายังนึกอยู่ว่าถ้าสามารถหยุดได้จะไปดูว่าจะสามารถหาศิลาสวรรค์พบหรือไม่ นั่นเป็นวัสดุชั้นดีของอาวุธเวท กำปั้นใหญ่หน่อยก็สามารถเข้าลานประมูลได้ คิดไม่ถึงว่าความเร็วในการบินของเวทหนีไฟนรกจะลดลงอย่างกะทันหัน ภายในไฟนรกเริ่มปรากฏร่างของจินเฟยเหยา ไฟนรกค่อยๆ ลดน้อยลง อีกทั้งทิศทางยังพุ่งไปยังสถานที่ซึ่งดาวตกร่วงหล่นจริงๆ เพียงแต่ความเร็วที่ตกลงมารวดเร็วเกินไป และแรงกระแทกมากเกินไป
“อ๊า”
จินเฟยเหยาแหกปาก เบิกตามองใบหน้าของตนเองกระแทกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง ได้ยินเสียงดังสนั่น จินเฟยเหยากระแทกพื้น ทั้งยังเด้งขึ้นแล้วกลิ้งออกมาเป็นระยะทางสิบกว่าจั้ง ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่แถวหนึ่ง หลังจากกระแทกหินยักษ์ก้อนหนึ่งแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจึงหยุดลง
หากเป็นคนอื่น อาจจะตายไปนานแล้ว ทว่านี่เป็นจินเฟยเหยาที่เนื้อเหล็กกระดูกทองแดงผิวหยาบหนังหนา เพียงแค่กระแทกจนสลบไปในที่เกิดเหตุ นางนอนสลบไสลอยู่ในเศษหินแตก กลับไม่รู้ว่าไม่ห่างจากนางนักมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องนางอยู่
บนร่างหนาวนิดๆ…เตียงแข็งไปหน่อย จินเฟยเหยาห่อไหล่ รู้สึกว่าบนร่างหนาวเย็นอยู่บ้าง เหตุใดเตียงใต้ร่างจึงทั้งแข็งทั้งทิ่มคน หรือว่าเตะผ้าห่ม? นางยื่นมือออกไป คิดจะดึงผ้าห่มมา ทว่าคลำไม่เจอผ้าห่ม กลับคว้าเศษหินได้กำมือหนึ่ง
จินเฟยเหยาลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงง จึงพบว่าตนเองอยู่นอกเมือง ใต้ก้นไม่ใช้เตียง ทว่าเป็นเศษหินแตกกองหนึ่ง ตบศีรษะหนึ่งที นางจึงนึกขึ้นได้ว่า ตนเองใช้เวทหนีไฟนรกหนีออกมาจากเขาจี๋เหนี่ยว จากนั้นตกลงมากระแทกเข้ากับสถานที่แห่งนี้ ดูเหมือนจะสลบไป
คิดไม่ถึงว่าการสลบไปครั้งนี้จะสลบไปนานปานนี้ ไม่รู้ว่ายามใดแล้ว ทว่าฟ้ายังคงมืดมิดดังเดิม จินเฟยเหยาใช้ก้อนหินด้านข้างพยุงตัวลุกขึ้นยืน ลมราตรีพัดมา บนร่างเย็นเล็กน้อย
นางก้มหน้าลงมอง แล้วตื่นตระหนก บนร่างของนางเรียบลื่นไม่มีอะไรเลย กำลังเปลือยก้นนั่งอยู่นอกเมือง นางจึงได้สติคืนมา หากมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานลงไป ขอเพียงใช้เวทหนีไฟนรก ก็จะควบคุมไฟนรกไม่ได้จนย้อนกลับมากลืนกินเจ้าของ ตอนที่ร่างของนางกลายเป็นไฟนรก สิ่งของบนตัวทั้งหมดล้วนถูกเผาจนเกลี้ยงเกลา แม้แต่แถบผ้าสักชิ้นก็ยังใม่เหลือไว้ให้นาง
เปลือยก้นตากลม จินเฟยเหยาหยิบยืมแสงจันทร์มองไปรอบด้าน คิดจะหาสิ่งของมาบัง ถึงแม้กลางป่ากลางเขาจะไม่มีคน ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่ร่อนเร่อยู่ภายนอกทั้งวันเหล่านั้น อาจจะโผล่มาเมื่อใดก็ได้
ค้นหารอบหนึ่ง ใบไม้ที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดแค่ฝ่ามือ นางสงสัยอย่างรุนแรง ถ้าใช้ของสิ่งนี้มาบดบังร่าง เห็นวับๆ แวมๆ อาจจะดึงดูดพวกบ้าราคะยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรเสียรอบด้านก็ไม่มีคน นางเปลือยก้นเดินไปมาชั่วคราว เรื่องแบบนี้เดินไปพลางหาไปพลางเถอะ นางไม่เชื่อว่า ว่าตนเองจะเดินเปลือยก้นกลับไปเมืองลั่วเซียน
เพิ่งคิดเช่นนี้และเดินออกไปไม่กี่ก้าว จินเฟยเหยาพลันตกตะลึง มองเบื้องหน้าอย่างตื่นตระหนก ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากนางนัก มีบุรุษผู้หนึ่งนอนคว่ำหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนร่างเต็มไปด้วยคราบโลหิต ไม่ขยับเขยื้อนราวกับตายแล้ว
จินเฟยเหยายืนอยู่กลางลมหนาว ร่างขาวๆ ขนลุกขึ้นทั้งตัว ตกตะลึงอยู่นาน นางพลันหมุนกายวิ่งกลับไปหลังหินแตกอย่างรวดเร็ว หลบอยู่ด้านหลังก้อนหินยื่นศีรษะออกมาสำรวจดูคน นางจับจ้องเขาแน่วนิ่ง คนผู้นั้นก็นอนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ยืนหยัดอยู่นาน จินเฟยเหยาจึงตะโกน “นี่ เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
คนผู้นั้นไม่ขยับและไม่เอ่ยตอบ รอบด้านเงียบเหมือนเป่าสาก ดูเหมือนสัตว์ในภูเขาทั้งหมดจะตายจนเกลี้ยงตามไปด้วย นางคิดนิดหนึ่ง ก็หยิบหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งขว้างไปใส่คนผู้นั้น
ก้อนหินเล็กๆ กระทบศีรษะคนผู้นั้น แล้วกลิ้งกลุกๆ ลงมา คนที่อยู่ใต้ต้นไม้ยังไม่ขยับเลยสักนิดดังเดิม
เห็นคนผู้นั้นยังไม่ขยับ นางก็หยิบก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นขว้างไปอีกครั้ง ครั้งนี้กระแทกเข้าที่ศีรษะของคนผู้นั้น เพียงแต่เรี่ยวแรงมาก ศีรษะถูกกระแทกจนเกิดเสียงดัง เห็นโลหิตสีแดงสดไหลซึมผ่านเส้นผมออกมา
“กระแทกเช่นนี้ก็ยังไม่มีปฏิกิริยา ท่าทางไม่ใช่สลบไปแต่ตายไปแล้ว” จินเฟยเหยาเดินออกมาอย่างวางใจ วิ่งไปใต้ต้นไม้อย่างร่าเริง
นางใช้เวทอัคคีก่อกองไฟด้านข้างก่อน จากนั้นเดินวนรอบบุรุษใต้ต้นไม้สองรอบ แล้วนั่งยองๆ ลงด้านข้าง ยื่นมือออกมาคิดจะตรวจดูให้แน่ใจว่าคนผู้นี้มีสภาพเช่นใดกันแน่ เห็นตรงศีรษะที่ถูกกระแทกมีโลหิตไหลออกมา ต่อให้ตาย ก็คงตายมาไม่นานแน่
นางใช้นิ้วดึงเส้นผมของบุรุษขึ้น คิดจะคลำชีพจรตรงคอ ดูว่ายังเต้นอยู่หรือไม่ พอดึงผมขึ้นก็เห็นศีรษะของบุรุษผู้นี้เอียง คราบโลหิตเต็มใบหน้า ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง กำลังจับจ้องนางแน่วนิ่ง
“อ๊า!” จินเฟยเหยาตกใจ เตะบุรุษที่อยู่บนพื้นอย่างแรงหลายที ตอนเตะพบว่าหนังตาของบุรุษผู้นี้ไม่กระพริบ ก็หยุดลง แล้วนั่งยองๆ ลงมองดูอย่างละเอียด ม่านตาของคนผู้นี้เบิกกว้าง ที่แท้ตายตาไม่หลับ
“ทำให้ข้าตกใจแทบตาย ตายแล้วยังลืมตาทำไม” จินเฟยเหยาลูบอกด่าทอ จากนั้นเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เห็นเจ้ามีบาดแผลทั่วร่าง น่าจะไม่ใช่ข้าทุบเจ้าตาย อย่างไรเสียเจ้าก็ตายแล้ว สิ่งของบนตัวถือว่าไร้เจ้าของ ข้าหยิบไปก็ถือว่านำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ ให้อภัยด้วย รีบขึ้นสวรรค์ไปเกิดเสียเถอะ”
นางกลับไม่คิดจะหาข้ออ้างให้ตนเอง ทว่าถูกคนตายเบิกตากว้างจ้องมอง รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง นางลองปิดเปลือกตาของเขาเข้าหากันหลายครั้ง ทว่าไม่รู้ได้รับความอยุติธรรมมากเพียงใด คิดไม่ถึงว่าอย่างไรบำเพ็ญเซียนคนนี้ก็ไม่ยอมปิดตา
ในเมื่อไม่ยอมหลับตา จินเฟยเหยาจึงคร้านจะสนใจเขา อย่างไรเสียนางก็ไม่กลัวถูกคนตายมอง นางนั่งยองๆ อยู่ด้านข้างอย่างใจกว้าง ถอดเสื้อผ้าบนร่างศพออก
พอถอดเสื้อผ้านางจึงพบว่า คนผู้นี้ต้องมีความเป็นมาไม่เบา ตลอดร่างหรูหราเสียดแทงนัยน์ตา ชุดยาวปักลายไผ่สีขาวที่เต็มไปด้วยโลหิตสดโดนฟันเป็นรูปขนาดใหญ่หลายรูถูกนางถอดออกมาสวมลงบนร่างแบบไม่รังเกียจว่าสกปรกแถมยังน้ำลายไหล
นางจะรังเกียจชุดนี้ได้อย่างไร อย่าเห็นว่าเสื้อผ้าทั้งเปื้อนเลือดทั้งเน่าเหม็น นี่เป็นของวิเศษชั้นล่าง สามารถใช้ของวิเศษได้อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน หลังจากจินเฟยเหยารอดตายก็เก็บของวิเศษได้ นางปีติยินดีจนหน้าบาน
เข็มขัดเป็นของวิเศษชั้นล่าง รองเท้าและเสื้อตัวในล้วนเป็นวัสดุชนิดเดียวกับเสื้อตัวนอก ทั้งยังปักลายใบไผ่ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของวิเศษป้องกันที่สมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง ไม่ใส่ใจว่าจะเหมาะกับตัวหรือไม่ จินเฟยเหยาสวมทั้งหมดลงบนร่างอย่างยินดี
สุดท้ายตอนดึงจนเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว จินเฟยเหยาค้นพบอย่างประหลาดใจว่าแม้แต่กางเกงในตัวนี้ก็เป็นของวิเศษชั้นล่างชุดเดียวกับเสื้อผ้า พอสวมทั้งร่างแล้ว พลังป้องกันจะแข็งแกร่งเพียงใด
ทว่าในขณะเดียวกับที่ตกตะลึง นางก็ทอดถอนใจ ขนาดกางเกงในเป็นของวิเศษชั้นล่างยังถูกคนฆ่าตายเช่นกัน ในเมื่อกางเกงในตัวนี้ก็เป็นชุดเดียวกัน จะมีเหตุผลอะไรให้พวกมันต้องแยกจากกัน จินเฟยเหยาถ้าไม่ทำคือไม่ทำถ้าทำก็ทำจนถึงที่สุด นางตัดสินใจนำกางเกงในไปด้วย
นางดึงกางเกงในลงมาอย่างรวดเร็ว และค้นพบโดยบังเอิญว่า ก้นของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ทั้งขาวทั้งนุ่ม ตายแล้วร่างยังไม่แข็งอีก ความยืดหยุ่นของก้นยังดีเหมือนเดิม จินเฟยเหยารู้สึกสนุกไปชั่วขณะ หลังจากบีบและตบบนก้นของเขาหลายทีก็หัวเราะเอ่ยว่า “เกรงว่าความเด้งของก้นจะดีกว่าหน้าอกขาวอวบอัดของเสวี่ยเหนียงจื่อเสียอีก”
ด้านล่างของกางเกงในถูกร่างหนักๆ ของผู้บำเพ็ญเซียนทับไว้ จินเฟยเหยาพลิกตัวเขา ใช้มือถอดกางเกงในลงมาที่เท้า
นางมองหว่างขาของผู้บำเพ็ญเซียน อดปิดปาก ‘อุ๊บ’ แล้วหัวเราะออกมาไม่ได้
ตอนนางกำลังหัวเราะอย่างเบิกบาน ก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไอสังหารขุมหนึ่งลอยขึ้นมาจากด้านหลังอย่างอธิบายไม่ได้ นางปลดปล่อยการรับรู้ออกไปอย่างระแวดระวัง ไม่พบว่ารอบด้านมีสัตว์ปิศาจและความผิดปกติอะไร จินเฟยเหยาสั่นศีรษะ ไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดเมื่อครู่จึงมีความรู้สึกเช่นนี้ได้ รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างรุนแรง ขนาดขนยังลุก
“ศิลาวิญญาณชั้นกลาง! คิดไม่ถึงว่ายังมีของวิเศษอีก นี่เป็นวัสดุอะไร ไม่เคยเห็น น่าจะมีราคา ยาเองก็มีไม่น้อย นี่คือยาอะไร?” จินเฟยเหยายังค้นได้กระเป๋าเก็บของสองใบ ใบหนึ่งใส่ศิลาวิญญาณชั้นล่างหลายพันก้อนและศิลาวิญญาณชั้นกลางห้าก้อน อีกใบใส่ของวิเศษชั้นล่างสองชิ้นและวัสดุประหลาดเล็กน้อย ยังมียาอีกสิบกว่าขวด
ส่วนมากเป็นยามังกรคำรามที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงกลางใช้ยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียร และยาบำรุงจิตที่เพิ่มพลังวิญญาณได้เล็กน้อย ในยาสองขวดที่เหลือ ยาที่บรรจุในขวดหยกสีแดงคือยาวิเศษรักษาบาดแผล ยาชุบชีวิต มียาที่บรรจุในขวดแก้วขวดหนึ่ง นางไม่รู้จัก
นั่นเป็นยาสีทองขนาดเท่าทังหยวน[1]สองเม็ด บนเม็ดยามีลายรูปวงแหวนสีเงิน มีเนื้อสัมผัสเหมือนทำจากเงินและทองอย่างยิ่ง ดูลักษณะภายนอกด้วยตาเปล่า ก็รู้สึกได้ว่าต้องมีมูลค่ามากแน่ สุดท้าย นางคลำเจอป้ายสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นป้ายห้าสีไม่ใช่เหล็กไม่ใช่ไม้ มีขนาดเท่าฝ่ามือ ด้านบนมีหินผลึกขนาดเท่าเมล็ดข้าวแปดก้อน ตรงกลางมีอักษร ‘ลับ’ สีดำตัวหนึ่ง
อีกชิ้นหนึ่งเป็นเพียงป้ายที่ทำจากไม้ไผ่ มีขนาดเท่าฝ่ามือเช่นเดียวกัน ด้านบนเขียนอักษรหงส์ฟ้อนมังกรเหินสองตัว จินเฟยเหยาจ้องมองอยู่นานจึงฝืนใจนับว่ารู้จักได้ อักษรที่เขียนไว้ด้านบนคือ ‘ซวีชิง’ สองตัว
“ซวีชิง เหตุใดจึงคุ้นหูขนาดนี้ เหมือนข้าเคยได้ยินที่ไหน” ปากนางเอ่ยพึมพำ สายตามองบนเสื้อผ้า ด้านบนปักใบไผ่สีเข้ม ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสะดุดตาอย่างยิ่ง
“ซวีชิง… หอซวีชิง” จินเฟยเหยายืนขึ้นทันที เบิกตาจ้องมองผู้บำเพ็ญเซียนที่เปลือยเปล่าบนพื้นแน่วนิ่ง มีความสำนึกเสียใจในดวงตา