ยี่สิบหก

สัมผัสแรก

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เห็นสายตาอันเย็นชาของเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะหลี่หานเซี่ยวลากเธอออกมาด้านนอกอย่างสนิทสนม ทั้งสองยืนพูดคุยกันอยู่ใต้ชายคา

ทิวทัศน์ของที่นี่งดงามยิ่งนัก ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็เห็นต้นไม้เต็มไปหมด ห่างออกไปไม่ไกลมีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่าน น้ำใสสะอาดเป็นประกายระยิบระยับเมื่อแสงอาทิตย์สีทองสาดส่องลงมา

หลี่หานเซี่ยวเป็นแม่นางที่มีนิสัยร่าเริง เหมือนกวางน้อยกลางป่าและดูไร้เดียงสายิ่งนัก นางบอกเสวี่ยเจียเยว่ว่าชายชราที่อยู่ในเรือนเป็นปู่ของตน ตอนที่นางยังเล็ก บิดามารดาตายจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน นางจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของปู่ ทั้งยังบอกอีกว่านางกับเสวี่ยหยวนจิ้งรู้จักกันได้อย่างไร

หนึ่งปีก่อน นางไล่ตามกระต่ายอยู่ในป่า ไม่ทันระวังตัวจึงหลงทาง ไม่รู้ว่าจะกลับเรือนอย่างไร มิหนำซ้ำยังข้อเท้าแพลง แม้แต่เดินเหินก็ยังยากลำบาก แต่ในขณะนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ปรากฏตัวขึ้น

ตามที่หลี่หานเซี่ยวเล่านั้น เสวี่ยหยวนจิ้งสะพายกระบุงเอาไว้บนหลัง ในมือถือจอบเล่มเล็ก เขาคงเข้าป่ามาเก็บเห็ด ยามที่เขาย่างเท้ามาเบื้องหน้านาง หลี่หานเซี่ยวรู้สึกเพียงว่าตรงหน้านั้นสว่างโร่ จนละสายตาจากเขาไม่ได้เลย

เพียงเท่านี้เสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าใจแล้ว ดูจากสภาพแวดล้อมที่หลี่หานเซี่ยวเติบโตมา นางคงพบเจอคนภายนอกน้อยจนนับได้ เมื่อจู่ๆ ก็ได้พบเด็กหนุ่มที่มีอายุมากกว่านางเพียงหนึ่งถึงสองปี อีกทั้งใบหน้ายังหล่อเหลาเอาการขนาดนั้น ไม่หวั่นไหวสิน่าแปลก

เป็นดังที่นิยายเขียนไว้ว่า ‘หญิงงามล้วนคู่กับบัณฑิต’ หญิงสาวที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม เมื่อได้พบชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลา หัวใจย่อมหวั่นไหวอย่างแน่นอน เมื่อแรงดึงดูดพลันบังเกิด หญิงสาวก็ลืมทุกสิ่งและให้คำมั่นสัญญาแก่ชายหนุ่มว่าจะรักเขาตราบเท่าที่ขุนเขากับทะเลยังคงอยู่ และทำเรื่องที่ผิดจารีตประเพณีในที่สุด แต่ในความเป็นจริงชายหนุ่มเหล่านั้นมักจะเป็นพวกชั่วช้า พอเกิดปัญหาอะไรขึ้น ก็จะวิ่งหนีเป็นคนแรก แล้วหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา สุดท้ายคนที่เสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรีก็คือหญิงสาวไม่ใช่หรือ

เช่นนั้นก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หญิงสาวเหล่านั้นได้พบเจอชายหนุ่มน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่เชื่อคำหวานไม่กี่ประโยคของชายหนุ่มรูปงามเพียงคนเดียวที่ได้พบ จนลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดสิ้น

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าหลี่หานเซี่ยวได้พบบุรุษน้อยคนเช่นกัน หากนางได้เจอกับบุรุษในทุกรูปแบบ ก็จะรู้ว่าโลกนี้มีทั้งคนที่อบอุ่นอ่อนโยน ร่าเริงมองโลกในแง่ดี และมีเสน่ห์ บุรุษเหล่านี้ล้วนเหมาะสมที่จะเป็นคู่รักหรือสามี แต่เสวี่ยหยวนจิ้ง…

เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดอย่างจริงจัง เธอรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนประเภทที่ภายนอกเย็นชา แต่ภายในวิปริต ทั้งยังหยิ่งยโสทะนงตัวมาก คนเช่นนี้หากได้มาเป็นคู่รักหรือสามี คงเป็นหายนะครั้งใหญ่ดีๆ นี่เอง และในนิยายเรื่องนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นคนเย็นชาใจคอโหดเหี้ยม หญิงงามสิบสองนางที่ปรากฏอยู่ในนิยายเป็นเพียงสิ่งที่เขาใช้ประโยชน์เท่านั้น ไม่มีใครครอบครองหัวใจของเขาได้ หากอีกฝ่ายไร้ซึ่งประโยชน์แล้ว ก็ถูกเขาทอดทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใยทันที

เสวี่ยเจียเยว่มองหลี่หานเซี่ยวด้วยความเห็นใจ

เด็กสาวไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางยังคงจมอยู่กับความรู้สึกของวันที่ได้พบเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นครั้งแรก รอยยิ้มเบิกบานปรากฏขึ้นบนใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มของนาง

เห็นได้ชัดว่าหลี่หานเซี่ยวนั้นพูดคุยกับคนอื่นไม่บ่อยนัก จึงไม่คิดจะระมัดระวังคำพูดกับใคร อาจเป็นเพราะนางคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่คือน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง เลยไม่กังวลอะไรขณะสนทนากัน

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้พูดอะไร เพียงตั้งใจฟังเด็กสาวเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่นางได้พบกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เมื่อเด็กหนุ่มพบนางนั่งอยู่บนพื้นด้วยอาการข้อเท้าแพลง เขาก็เดินตรงมาหานางทันที และเอ่ยถามอย่างสุภาพว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากรู้ว่านางหลงทางและไม่รู้ว่าจะกลับเรือนอย่างไร ทั้งยังเจ็บที่ข้อเท้า เสวี่ยหยวนจิ้งก็ทำเก้าอี้ลากอย่างเรียบง่ายขึ้นมาหนึ่งตัว ก่อนให้นางนั่งลงบนนั้น แล้วลากเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่ไปตามทางข้างหน้า

หลี่หานเซี่ยวยิ้มหวานพลางเอ่ย “การกระทำของพี่จิ้งในครั้งนั้นช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ เขายอมเหนื่อยเพื่อให้ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วลากไป ไม่พยุงข้าเดินหรือแบกขึ้นหลัง เพราะนึกถึงคำที่กล่าวเอาไว้ว่า ชายหญิงที่มิได้เป็นพี่น้องหรือสามีภรรยาไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวกันได้ เกรงว่าจะทำให้ข้าเสียหาย เขาจึงไม่แตะต้องตัวข้า เขาช่างคิดเพื่อข้าอะไรขนาดนี้”

มุมปากเสวี่ยเจียเยว่กระตุกเบาๆ

หลี่หานเซี่ยวไม่รู้นิสัยของเสวี่ยหยวนจิ้ง ที่เขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะชายหญิงไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวกันได้ ไม่อยากทำให้หลี่หานเซี่ยวเสียหาย แต่เป็นเพราะเขารักความสะอาด ไม่ชอบการแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นต่างหาก

หลี่หานเซี่ยวเล่าอีกว่า แม้เสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะส่งนางกลับเรือน แต่นางจำทางไม่ได้ ฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกขณะ ป่าลึกบนเขายามราตรีล้วนมีแต่อันตราย ทั้งสองคนจึงค้างแรมอยู่ในถ้ำหนึ่งคืน

คืนนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งนำหญ้าแห้งมาปูเป็นที่นอนให้นาง ส่วนเขานั่งหลับพิงผนังหิน ไม่ว่านางจะเรียกให้เขามานอนด้วยกันอย่างไร เขาก็ไม่ยอมมา

เสวี่ยเจียเยว่แอบนึกในใจว่า เธอจะต้องเอ่ยชื่นชมเสวี่ยหยวนจิ้งว่าการกระทำเช่นนี้ช่างเป็นสุภาพบุรุษ คิดเพื่อเธอเช่นกัน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไม้เท้าดังขึ้น เธอหันไปมองทันทีและเห็นผู้เฒ่าหลี่กับเสวี่ยหยวนจิ้งเดินออกมาจากเรือน

ผู้เฒ่าหลี่มองหลี่หานเซี่ยวด้วยสายตาตำหนิ เมื่อมองเสวี่ยเจียเยว่ สีหน้าของเขาพลันอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยวเอ๋อร์ เจ้าลากแม่นางน้อยผู้นั้นไปพูดอันใดกัน”

จากนั้นเขากล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่ “เซี่ยวเอ๋อร์กับตาแก่อย่างข้าอาศัยอยู่ในป่าลึกบนเขา วันๆ ได้พบเจอคนอื่นน้อยยิ่งนัก นางเองก็ไม่มีสหายรุ่นราวคราวเดียวกันให้สนทนาด้วย เลยเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กๆ เอาไว้และพูดกับมันเป็นประจำ ตอนนี้พวกเจ้ามาที่นี่ นางคงดีใจไม่น้อย”

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเรือนหลังเล็กตั้งแต่แรกแล้ว ในนั้นมีกระต่ายสองตัว ที่มุมลานเรือนยังมีคอกที่ใช้เลี้ยงกวางสองตัวและแกะอีกหนึ่งตัว สัตว์เลี้ยงที่ผู้เฒ่าหลี่พูดถึงคงจะเป็นสัตว์เหล่านี้

เลี้ยงสัตว์ได้อย่างรอบคอบเช่นนี้ อีกทั้งยังพูดคุยกับพวกมันได้ แม้จะไม่ใช่คนที่มีเมตตามากนัก แต่ก็ไม่น่าจะใช่คนเลว น่าเสียดายที่หลี่หานเซี่ยวจะถูกเสวี่ยหยวนจิ้งย่ำยีอย่างโหดเหี้ยม…

เสวี่ยเจียเยว่ชำเลืองมองเสวี่ยหยวนจิ้ง คิดไม่ถึงว่าเขาก็กำลังมองเธออยู่ เธอตกใจจึงรีบเบือนหน้าหนีและพูดคุยกับหลี่หานเซี่ยวต่ออย่างสนิทสนม

ผู้เฒ่าหลี่กล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “ในเมื่อเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์แล้ว ข้าย่อมถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้เจ้าอย่างแน่นอน ข้ามีตำราเพลงยุทธ์ที่ล้ำค่าอยู่หลายเล่ม เจ้าจงเอากลับไปศึกษาด้วยตนเอง แต่การฝึกกำลังภายในต้องให้ข้าสอนเท่านั้น ช่วงนี้เจ้าคงต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อน”

เสวี่ยหยวนจิ้งตอบรับอย่างนอบน้อม “ศิษย์น้อมรับคำสั่งของอาจารย์ขอรับ”

เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองเขาด้วยความตกใจทันที เสวี่ยหยวนจิ้งสนทนากับผู้เฒ่าหลี่ เมื่อเห็นสายตาของเธอ เขาก็เอียงคอมองแวบหนึ่ง สายตาของเขาราบเรียบเช่นเคย ก่อนจะหันกลับไป

เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะเอ่ยถาม แต่หลี่หานเซี่ยวพูดขึ้นก่อน

“ท่านปู่” นางเดินไปหาปู่ของตนด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พี่จิ้งยอมกราบท่านเป็นอาจารย์แล้วอย่างนั้นหรือ”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคำพูดของแม่นางผู้นี้ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ‘ควรจะถามว่าท่านปู่ยอมรับเขาเป็นศิษย์แล้วไม่ใช่หรือ’ แต่ดูตอนนี้สิ…

ราวกับสองปู่หลานเป็นฝ่ายขอร้องเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเด็กหนุ่มตอบรับ พวกเขาก็ตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน

เสวี่ยเจียเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในเหตุผล

ประการแรก… เสวี่ยหยวนจิ้งเคยช่วยเหลือหลี่หานเซี่ยวมาก่อน บุญคุณครั้งนี้จึงต้องทดแทน ประการที่สอง… เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดหลักแหลม อาจเป็นเหมือนที่ผู้เฒ่าหลี่กล่าวไว้ว่า บุรุษหนุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำจะฝึกวิชากำลังภายในและวรยุทธ์[1]ได้เป็นอย่างดี ยุคนี้ถึงแม้การขอเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ดีนั้นจะเป็นเรื่องยาก แต่การหาลูกศิษย์ที่ดีนั้นยากยิ่งกว่า ทว่าใครบ้างจะไม่อยากถ่ายทอดวิชาของตน เพราะฉะนั้นเมื่อได้พบเด็กหนุ่มที่ตนอยากให้เป็นศิษย์ มีหรือชายชราจะยอมแพ้ง่ายๆ ราวกับราชครูจักรทองที่รู้ฐานะของก๊วยเซียงและศัตรูฝ่ายตรงข้าม แต่เพราะเห็นว่านางเฉลียวฉลาด เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อรับนางมาเป็นศิษย์ให้ได้ จากนิยายเรื่อง มังกรหยก ของกิมย้ง ที่เธอเคยอ่านในภพที่จากมา

ผู้เฒ่าหลี่ยังคงอ่อนโยนกับหลี่หานเซี่ยวเสมอ เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขาพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ใช่แล้ว พี่จิ้งของเจ้ากราบปู่เป็นอาจารย์แล้ว เจ้าดีใจหรือไม่”

หลี่หานเซี่ยวเอียงคอเล็กน้อย คิ้วงามได้รูปขมวดแน่นราวกับกำลังขบคิดบางอย่างอยู่ จู่ๆ นางก็พนมมือขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ ข้าก็อยากกราบท่านเป็นอาจารย์เช่นกัน ต่อไปพี่จิ้งจะเป็นศิษย์พี่ของข้า ข้าก็เป็นศิษย์น้องของเขา”

ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง นี่คงเป็นมาตรฐานในนิยายหลายเล่มที่แต่งตามภาพจินตนาการ

มุมปากเสวี่ยเจียเยว่กระตุกอย่างต่อเนื่อง ‘หลี่หานเซี่ยว เธอกำลังรนหาที่ตายนะ รู้หรือไม่ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนเช่นไร’

หลี่หานเซี่ยวยังคงขอร้องปู่ของตน ส่วนผู้เฒ่าหลี่ก็ไม่มีทีท่าจะปฏิเสธ กลับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบเคราของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อกราบผู้เฒ่าหลี่เสร็จแล้ว หลี่หานเซี่ยวจึงหยัดกายลุกขึ้นและเดินไปตรงหน้าเสวี่ยหยวนจิ้ง จากนั้นก็โน้มตัวคำนับเขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอันงดงาม “พี่จิ้ง จากนี้ไปท่านคือศิษย์พี่ของข้าแล้ว”

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งโน้มตัวคำนับตอบหลี่หานเซี่ยว ก่อนจะเอ่ยเรียกนาง “ศิษย์น้อง”

ดีมาก… ดีจริงๆ พวกเขาสามคนเป็นทั้งปู่หลาน อาจารย์กับลูกศิษย์ และศิษย์พี่ศิษย์น้อง เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเป็นส่วนเกินขึ้นมาทันที จะหันหลังเดินจากไปดีหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่เธอจำทางกลับเรือนไม่ได้

ทำได้เพียงยืนอึดอัดอยู่ตรงนี้ต่อไป…

โชคดีที่เสวี่ยเจียเยว่ไม่ต้องอึดอัดเป็นเวลานาน เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยเรียกเธอเสียก่อน

“มานี่”

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากเดินไปหาเขา แต่เมื่อคิดดีแล้ว เธอก็ก้าวเท้าอย่างช้าๆ อาจเป็นเพราะรำคาญที่เธอเดินช้าเกินไป เสวี่ยหยวนจิ้งจึงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะดึงแขนเธอไปยืนข้างเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้ผู้เฒ่าหลี่กับหลี่หานเซี่ยวอย่างสุภาพพลางกล่าว

“น้องสาวข้ายังเด็ก ช่วงนี้คงต้องรบกวนอาจารย์กับศิษย์น้องดูแลนางด้วยนะขอรับ”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ฟัง เพราะเธอกำลังก้มหน้าก้มตามองมือเสวี่ยหยวนจิ้งที่จับแขนของตนอยู่

มือเขางดงามและขาวเนียน อีกทั้งนิ้วมือยังเรียวยาว ทว่าเขาเป็นคนรักความสะอาด ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นไม่ใช่หรือ ถ้าเดาไม่ผิด ตอนนั้นเขายอมเหนื่อยด้วยการลากเก้าอี้ที่หลี่หานเซี่ยวนั่ง เพราะไม่อยากพยุงหรือแบกเด็กสาวขึ้นหลัง เหตุใดตอนนี้เขาจึงเป็นฝ่ายยื่นมือมาจับแขนของเธอเองเล่า

[1] ‘กำลังภายใน’ คือกำลังแฝงในตัว ซึ่งเกิดจากการฝึกจิต ทำให้จิตใจแข็งแกร่งและทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ‘วรยุทธ์’ หรือ ‘วิทยายุทธ์’ คือการออกกระบวนท่าต่อสู้ต่างๆ