บทที่ 27 ความลับถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ยี่สิบเจ็ด

ความลับถูกเปิดเผยโดยบังเอิญ

เสวี่ยเจียเยว่จำต้องอาศัยอยู่ในเรือนตระกูลหลี่เป็นการชั่วคราว

อาจเป็นเพราะความสามารถของเธอนั้นดูธรรมดา ผู้เฒ่าหลี่จึงไม่มีทีท่าว่าจะรับเธอเป็นลูกศิษย์ และเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่อาจคุกเข่าขอร้องต่อหน้าชายชราเป็นเวลาสามวันสามคืนได้ อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับความธรรมดาของตนได้ จึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

ห้องในเรือนตระกูลหลี่มีไม่มาก จึงแบ่งเป็นสองห้องให้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ เธอต้องนอนห้องเดียวกับหลี่หานเซี่ยว แต่จิตใจของเด็กสาวอยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว น้อยครั้งที่จะมาพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนผู้เฒ่าหลี่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลานาน จึงอยากจะใช้เวลาสั้นๆ นี้ถ่ายทอดวิชากำลังภายในทั้งหมดให้แก่เสวี่ยหยวนจิ้ง และให้คำแนะนำจนเขาเข้าใจทะลุปรุโปร่งในเวลาอันรวดเร็ว เสวี่ยเจียเยว่จึงเห็นหน้าเด็กหนุ่มเฉพาะตอนกินข้าวเท่านั้น

เธอรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย วันเวลาที่ผ่านไปถือว่าไม่เลวนัก ในแต่ละมื้อมีเนื้อให้กิน ทั้งยังไม่ต้องทำงานอะไร เพราะถึงอย่างไรเธอก็นับว่าเป็นแขกผู้มาเยือนคนหนึ่ง มีเหตุอันใดที่ต้องให้แขกทำงาน

ทุกครั้งที่กินข้าวเสร็จ ผู้เฒ่าหลี่จะเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งกับหลี่หานเซี่ยวไปฝึกวิชากำลังภายใน เหลือเพียงเสวี่ยเจียเยว่อยู่ตามลำพัง เธอจึงใช้ชีวิตได้อย่างอิสระโดยไม่มีใครมาควบคุม

ทัศนียภาพรอบๆ เรือนงดงามยิ่ง เธอสามารถออกไปเดินเล่นในบริเวณใกล้ๆ ได้ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่พบโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือ

เธอต้องการใช้เงินในตอนนี้ ขอแค่มีเงินเธอก็ออกจากหมู่บ้านซิ่วเฟิง และมุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างราบรื่น

น่าเสียดายที่เธอไม่รู้ว่าโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือจะเกิดในสภาพแวดล้อมแบบไหน หรือต่อให้พวกมันอยู่ตรงหน้า ไม่แน่เธออาจไม่รู้จักด้วยซ้ำ หลายวันที่ผ่านมาเสวี่ยเจียเยว่จึงหาของล้ำค่าไม่ได้สักอย่าง ในที่สุดก็ทำเบ็ดตกปลาขึ้นมาเอง เมื่อไม่มีอะไรทำ เธอจะไปตกปลาที่แม่น้ำ และทุกครั้งก็ได้ปลามาหลายตัว

วันนี้เสวี่ยเจียเยว่หิ้วปลาเฉาตัวใหญ่กลับมาหลายตัว ยังไม่ทันจะถึงลานเรือน ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเสียก่อน เขายืนอยู่ข้างประตูลานเรือน สายตาจับจ้องมาที่เธอ ทว่าเมื่อเธอสบตาคู่นั้น เขากลับหันไปมองเถาสายน้ำผึ้งที่เลื้อยขึ้นรั้วไม้ไผ่ด้านข้าง

ตอนนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง ดอกสายน้ำผึ้งร่วงโรยไปมากแล้ว เถาที่เลื้อยอยู่บนรั้วไม้ไผ่จึงกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน และไม่ได้ดูสวยงามจนต้องหันไปมองขนาดนั้น

แวบแรกเสวี่ยเจียเยว่นึกว่าเขารอเธอกลับมา แต่พอคิดอีกที เธอคงคิดในแง่ดีเกินไป

ช่วงนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังฝึกวิชากับผู้เฒ่าหลี่ และหลี่หานเซี่ยวก็คือหนึ่งในสตรีของเขา คงไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องอื่น การรอเธอกลับมานั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้คงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น เขาอาจรู้สึกเหนื่อยจึงอยากมายืนชมทิวทัศน์กระมัง

เสวี่ยเจียเยว่เดินต่อไปด้วยฝีเท้าไม่เร็วนัก เมื่อเธอมาถึงหน้าประตูลานเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังคงยืนอยู่เช่นเดิม ไม่มีทีท่าว่าจะเดินจากไปแม้แต่น้อย

เธอหยุดตรงหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญจริงๆ ท่านมายืนชมทิวทัศน์หรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งทำราวกับเพิ่งเห็นเสวี่ยเจียเยว่ โดยหันมองครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วฉับมองเบ็ดกับปลาหลายตัวในมืออีกฝ่าย

จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ช่วงนี้เจ้าไปตกปลาทุกวันเลยหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ตอบกลับทันที “เจ้าค่ะ ก็ข้าไม่มีอะไรทำ จึงออกไปตกปลาฆ่าเวลาเท่านั้น”

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นก็เงียบงันทันที ก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

เสวี่ยเจียเยว่เดาใจเขาไม่ออกเลย แต่ท่าทางเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อาการดีใจ หรือประโยคที่เธอเอ่ยออกไปจะมีคำไหนที่ไม่ถูกต้อง จนทำให้เขาไม่พอใจ

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้น “อีกสองวันพวกเราก็กลับกันแล้ว”

น้ำเสียงเขาอ่อนโยนกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย เหมือนปลอบประโลมเธออย่างไรอย่างนั้น

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา เธอก็คิดจะเอ่ยถามบางอย่าง ทว่าเห็นหลี่หานเซี่ยววิ่งออกมาจากเรือนเสียก่อน

“พี่จิ้งมานี่เร็ว ท่านปู่ให้ตามท่านเข้าไปพบตอนนี้เจ้าค่ะ ท่านปู่มีเรื่องอยากจะคุยกับท่านเจ้าค่ะ”

เมื่อนางกล่าวจบก็คิดจะจูงมือเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่าเขาหลบไปอีกทางอย่างแนบเนียน จากนั้นสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็จับจ้องไปที่เสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หมุนตัวเดินไปยังเรือนที่ผู้เฒ่าหลี่อยู่กับหลี่หานเซี่ยว

เสวี่ยเจียเยว่มองตามแผ่นหลังของพวกเขา คนหนึ่งรูปร่างผอมสูง ส่วนอีกคนเอวบางร่างน้อย เหมือนจินถงยืนคู่ยวี่หนี่ว์[1] เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก

เธอหัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนจะหิ้วปลาเดินเข้าไปในครัว เมื่อนำปลาใส่ไว้ในถังไม้เสร็จแล้ว เธอก็เดินไปที่ห้องของตนกับหลี่หานเซี่ยว

หลี่หานเซี่ยวเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสาและร่าเริง เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าหลี่รักและประคบประหงมหลานสาวผู้นี้เป็นอย่างมาก ห้องนอนของนางเต็มไปด้วยตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนเสวี่ยเจียเยว่เคยเอ่ยถามหลี่หานเซี่ยว จึงได้รู้ว่าตุ๊กตาเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลี่ทำให้นางเล่นในยามว่าง

เสวี่ยเจียเยว่หยิบตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปกวางขึ้นมาดู ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็วางเอาไว้เช่นเดิม ก่อนจะหยิบตุ๊กตากระต่ายขึ้นมา

หลังจากดูตุ๊กตาไม้แกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะครบทุกตัวแล้ว เธอก็เหลือบไปเห็นตำราเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างๆ โดยตำราเล่มนั้นถูกเปิดทิ้งไว้

นี่คือห้องนอนของหลี่หานเซี่ยว เสวี่ยเจียเยว่มาพักอาศัยเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จึงไม่เหมาะที่จะแตะต้องของในห้องคนอื่นตามอำเภอใจ อีกทั้งบนตำรายังมีของบางอย่างวางทับเอาไว้ เธอจึงไม่ได้ใส่ใจนัก

แม้เสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะหยิบตำราขึ้นมาดูในตอนแรก ทว่าไม่นานเธอก็เหลือบไปเห็นภาพวาดโสมร้อยปีบนหน้าตำราที่เปิดอยู่ด้วยความบังเอิญ เมื่อไตร่ตรองดูแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมา

หลี่หานเซี่ยวคงไม่ได้อ่านตำรานี้บ่อยนัก เพราะตอนที่เสวี่ยเจียเยว่หยิบขึ้นมา ก็พบว่าไม่มีอะไรมากั้นหน้ากระดาษเอาไว้ ทั้งยังมีฝุ่นเกาะอยู่เต็มไปหมด

เมื่อเป่าไล่ฝุ่นเสร็จแล้ว เธออดใจรอไม่ไหวจึงรีบเปิดดูทันที

ในตำรามีภาพวาดสมุนไพรหลายชนิด เช่น โสมร้อยปี เห็ดหลินจือ เหอโส่วอู ไท่ซุ่ย รวมทั้งคำบรรยายเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของสมุนไพรทุกชนิด สรรพคุณ และวิธีแยกแยะสมุนไพรแท้กับสมุนไพรปลอมอย่างละเอียด

นี่เรียกได้ว่าเป็นคู่มือที่ดีที่สุดในการตามหาของล้ำค่าบนเขาเลยทีเดียว ตำราเล่มนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเสวี่ยเจียเยว่ ผู้คิดอยากจะหาของล้ำค่าในป่า แต่ไม่รู้ว่าพวกมันมีลักษณะอย่างไร และมักจะเกิดในสภาพแวดล้อมแบบใด

หลังจากกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็รีบนั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง ก่อนจะก้มหน้าอ่านตำรา เมื่ออ่านเจอประโยคที่ไม่เข้าใจ เธอจะขมวดคิ้วและอ่านซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นจึงอธิบายความหมายของประโยคนั้นกับตัวเอง เมื่อทบทวนจนเข้าใจแล้ว เธอค่อยอ่านประโยคต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่ตั้งใจอ่านตำรามาก จนไม่เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าประตูและมองเธออยู่ จึงไม่รู้ว่าในใจของเขามีคลื่นยักษ์ซัดสาดจนน่าตกใจเพียงใด

หลายวันมานี้เขายุ่งอยู่กับการฝึกวิชากำลังภายในที่ผู้เฒ่าหลี่ถ่ายทอดให้ ส่วนหลี่หานเซี่ยวก็เอาแต่วุ่นวายกับเขาทั้งวัน จึงไม่มีใครอยู่คุยกับเสวี่ยเจียเยว่

วันนี้หลังฝึกวิชาเสร็จแล้ว เขามาหาเสวี่ยเจียเยว่ที่ห้อง แต่เมื่อไม่พบจึงตั้งใจไปยืนรออยู่หน้าประตูลานเรือน กระทั่งเห็นแม่นางน้อยเดินถือเบ็ดกับปลากลับมา ทั้งยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่าตนไม่มีอะไรทำ จึงไปตกปลาเพื่อฆ่าเวลา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ในใจเขาก็กระสับกระส่ายขึ้นมาทันที จึงบอกว่าจะกลับเรือนในอีกสองวัน

เขาอยากสนทนากับเสวี่ยเจียเยว่ให้มากกว่านี้ แต่หลี่หานเซี่ยวบอกว่าผู้เฒ่าหลี่เรียกเขาไปพบเพราะมีเรื่องจะคุยด้วย ขณะเดินจากมา ในใจลึกๆ เขาก็กังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่พอใจ และรู้สึกว่าตนอยู่เพียงลำพังหรือไม่ ตอนนี้เขาจึงตั้งใจมาหาอีกฝ่าย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นแม่นางน้อยกำลังอ่านตำรา… อ่านตัวอักษรในตำราได้!

หากถามว่าเหตุใดนิสัยและบุคลิกของคนคนหนึ่งจึงเปลี่ยนไปมาก เขายังบอกตัวเองได้ว่านั่นเป็นเพราะการเติบโตขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนจากคนที่ไม่รู้จักอักษรแม้แต่ตัวเดียว กลายเป็นอ่านตำราออกเช่นนี้แน่นอน

เดิมทีคนในชนบทส่วนมากไม่ยอมเสียเงินมากมายเพื่อส่งลูกไปเรียนที่สำนักศึกษา โดยเฉพาะลูกสาว เขายังจำตอนที่เอ้อร์ยากับซุนซิ่งฮวาเข้ามาอยู่ในเรือนได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน ตอนนั้นหัวหน้าหมู่บ้านนำสมุดที่นามาที่เรือนของพวกเขา และต้องการให้พวกนางลงชื่อเพื่อรับที่ดิน

หลังมารดาของเขาจากไป ที่นาซึ่งเป็นชื่อของมารดากับบิดาของนางก็ถูกหมู่บ้านริบกลับคืน เมื่อซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามาพร้อมกับพาเอ้อร์ยามาด้วย ก็เท่ากับว่าครอบครัวของพวกเขามีสมาชิกเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าควรให้พวกนางลงชื่อเพื่อรับที่ดินในส่วนของตระกูลเสวี่ย

เสวี่ยหยวนจิ้งยังจำได้อย่างชัดเจน ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านกำลังเขียนชื่อเอ้อร์ยาลงบนสมุด นางชี้ไปที่อักษรสองตัวนั้น และเอ่ยถามว่านั่นอ่านอย่างไร

เมื่อก่อนแม้แต่ชื่อตัวเองก็ยังไม่รู้ เหตุใดตอนนี้ถึงอ่านตัวอักษรที่เขียนอยู่ในตำราเล่มนั้นได้ อีกทั้งเมื่อครู่เขายังได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเป็นประโยคออกมา และมีหลายคำในประโยคนั้นที่พบได้ไม่บ่อยนัก…

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าประตู สายตาจับจ้องเสวี่ยเจียเยว่ด้วยความสงสัย

แสงแดดระยิบระยับในปลายฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องผ่านหน้าต่างที่ทำอย่างเรียบง่าย และตกกระทบลงบนร่างของแม่นางน้อย ทำให้ดูเปล่งประกายด้วยแสงอันอบอุ่น เมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งใจ ก็ทำให้คนมองรู้สึกอบอุ่นและสงบเป็นอย่างมาก

ในสมองของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับมีโคมม้าวิ่ง[2] เขาหวนนึกถึงน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาทำความสะอาดใบหน้า ดอกไม้ในขวดดินเผาสีเทาอ่อนที่ตั้งอยู่ในห้อง รอยยิ้มสดใสทอประกายอยู่บนใบหน้าทุกครั้งที่เรียกเขาว่าท่านพี่ และตอนที่พวกเขาหลบฝนด้วยกันในศาลเจ้า เขาบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าแม่นางน้อยกำลังมองม่านฝนด้านนอก ด้วยท่าทางเหม่อลอยราวกับครุ่นคิดบางอย่าง

แม้ในตอนนั้นเขาจะสงสัย แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะสนใจ และไม่อยากเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาคิดให้ปวดหัว ทว่าตอนนี้…

คนที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เอ้อร์ยาอย่างแน่นอน แต่มีใบหน้าเหมือนเอ้อร์ยาคนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายเป็นใคร หรือจะพูดอีกอย่างคือ เป็นตัวอะไรกันแน่

สายตาของเขาพินิจเสวี่ยเจียเยว่อยู่นาน มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นแล้วคลายออก แต่ไม่นานก็กำแน่นอีกครั้ง

ความสับสนยังคงอยู่ในใจ เสวี่ยหยวนจิ้งมองเสวี่ยเจียเยว่อยู่นาน สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเดินจากไปเงียบๆ

เมื่อจิตใจไม่สงบ ตอนที่ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยเรียกเขา เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเดินเข้าไปในห้องและนั่งลงด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย ขณะที่ชายชราถ่ายทอดความรู้ให้ เขาก็จำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ผู้เฒ่าหลี่เห็นเด็กหนุ่มดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่ข้าสอนวิชากำลังภายในให้เจ้า เจ้าก็ตั้งใจฟังเป็นที่สุด แต่เหตุใดตอนนี้จิตใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล่า เจ้าเป็นอะไรไป”

ชายชราถามเช่นนี้อยู่สองครั้งสองครา เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้สติกลับมา

เขาพยายามรวบรวมสติ เงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าหลี่

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าผู้เฒ่าหลี่ไม่ใช่คนธรรมดา ในชีวิตนี้พบเจอเรื่องอะไรมานับไม่ถ้วน ความผิดปกติเพียงเล็กน้อยก็คงรับรู้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องถามเขาอีก

ในยามปกติเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดและใจเย็นมาก แต่ตอนนี้เขากลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีเท่านั้น อีกทั้งในใจเขายังครุ่นคิดถึงเรื่องเสวี่ยเจียเยว่ เพียงแค่เป็นเรื่องของอีกฝ่าย เขาก็ไม่มีวิธีจัดการให้จิตใจสงบลงได้

เขาคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องที่ไม่เข้าใจ อยากจะขอคำแนะนำจากท่านขอรับ”

“มีเรื่องอะไร” ผู้เฒ่าหลี่ถามต่อ “เจ้าถามมาเถิด”

เสวี่ยหยวนจิ้งพูดเรื่องที่ตนสงสัยออกมาทันที “เมื่อครู่ศิษย์นึกถึงตำราที่เคยอ่านมาก่อนหน้านี้ ในตำราเล่มนั้นเขียนเรื่องแปลกประหลาดที่คาดไม่ถึงเอาไว้เรื่องหนึ่งคือ มีคนผู้หนึ่งตื่นขึ้นมา แม้ใบหน้าจะเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่คนรอบข้างกลับรู้สึกว่านิสัยและกิริยาท่าทาง รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ของนางต่างจากอดีตเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆ คือ นอกจากใบหน้าที่เหมือนเดิมแล้ว นางดูแตกต่างจากเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคน ศิษย์อยากจะถามท่านอาจารย์ว่าในใต้หล้านี้มีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือ หรือเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้นเอง”

ผู้เฒ่าหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ และไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยตอบอะไร

แม้สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งจะยังดูเรียบเฉย ทว่าในใจเขากลับเคร่งเครียด มือสองข้างที่วางอยู่บนเข่ากำแน่นขึ้นเรื่อยๆ สายตาจับจ้องชายชราอย่างแน่วแน่

เขาบอกไม่ถูกว่าในใจของตนกำลังคิดอะไรอยู่ เสวี่ยหยวนจิ้งหวังว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะยังเป็นเอ้อร์ยาคนเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่คิดมากไปเอง ไม่อย่างนั้นหากทบทวนให้ละเอียด เรื่องนี้จะน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปของเขากับอีกฝ่ายในช่วงที่ผ่านมา ถ้าให้พูดตามความรู้สึก เขาก็หวังว่าคนที่อยู่ในร่างนั้นจะไม่ใช่เอ้อร์ยาตัวจริง

ไม่ว่าอย่างไร เขาไม่สามารถมองหน้าเอ้อร์ยาอย่างสนิทใจได้ เพราะนางเป็นลูกสาวของซุนซิ่งฮวา ตอนที่น้องสาวเขาถูกขายไป นางก็พูดจาเยาะเย้ยความโชคร้ายของเขา อีกทั้งยังชอบสร้างเรื่องเท็จไปฟ้องซุนซิ่งฮวาเป็นประจำ กล่าวคำสบประมาทเหยียดหยามเขามากมาย

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าตัวเองไม่ใช่นักปราชญ์ กลับเป็นคนใจแคบเสียด้วยซ้ำ เขาไม่เคยสนใจเรื่องราวของใคร แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดเรื่องนี้ออกไปจากใจได้

ถ้าไม่ใช่เอ้อร์ยา…

หัวใจเสวี่ยหยวนจิ้งพลันเต้นระรัว สองมือที่วางอยู่บนเข่านั้นยิ่งกำแน่นขึ้น กระทั่งฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ

[1] จินถงยืนคู่ยวี่หนี่ว์ หมายถึง กุมารทองและกุมารีหยก เป็นเด็กชายเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างเจ้าแม่กวนอิม

[2] โคมม้าวิ่ง คือโคมไฟที่ใช้ในช่วงเทศกาล ภายในติดตั้งกงล้อที่มีกระดาษรูปม้าแปะอยู่ เมื่อจุดเทียนความร้อนจากเปลวไฟจะทำให้โคมไฟหมุน