ยี่สิบแปด
ตามหาในยามค่ำคืน
ผ่านไปครู่ใหญ่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ได้ยินคำตอบจากผู้เฒ่าหลี่
“ใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ ล้วนมีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย และเรื่องเช่นนี้อาจจะมีก็เป็นได้ เจ้าของตำราเล่มนั้นคงไม่ได้แต่งเรื่องเพ้อฝันขึ้นมา เขาคงได้ยินเรื่องนี้มาก่อนถึงได้เขียนมันลงไป”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยคำใด เมื่อครู่หัวใจเขาดิ่งลงชั่วขณะ สองมือที่กำแน่นค่อยๆ คลายออก
แท้จริงแล้วหัวใจของเขารู้คำตอบมาตั้งแต่แรก แต่เรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป จึงอยากเอ่ยถามใครสักคน อีกทั้งผู้เฒ่าหลี่ที่เคยพบเจอเรื่องต่างๆ มามากก็กล่าวออกมาเช่นนี้…
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของตนผ่อนคลายลงไม่น้อย
ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยถาม “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้ถามเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ข้านึกว่าเจ้าจะไม่อ่านตำราเช่นนี้เสียอีก”
“จู่ๆ ศิษย์ก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาและสงสัยยิ่งนัก จึงตัดสินใจเอ่ยถามท่านอาจารย์ขอรับ” หลังจากจิตใจของเสวี่ยหยวนจิ้งผ่อนคลายแล้ว ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ “ลำบากท่านอาจารย์เสียแล้วขอรับ”
ผู้เฒ่าหลี่โบกไม้โบกมือปฏิเสธ “ข้ากับเจ้าเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่ต้องเกรงใจ อีกอย่าง… เจ้าเองก็เคยช่วยเหลือเซี่ยวเอ๋อร์ หากตอนนั้นไม่มีเจ้า นางอยู่คนเดียวในป่าลึก ทั้งยังข้อเท้าแพลง พอถึงยามค่ำคืนก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ในป่าลึกบนเขาแห่งนี้มีสัตว์ป่าดุร้ายไม่น้อยเลย”
จากนั้นชายชราก็เอ่ยเจตนารมณ์ของตนออกมา “จะว่าไป… ข้ากับเจ้าก็มีวาสนาต่อกัน ตอนที่ข้าเห็นเจ้าพาเซี่ยวเอ๋อร์กลับมา ทั้งที่พบหน้ากันครั้งแรกแท้ๆ แต่ในใจข้ากลับรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเจ้ามาเมื่อชาติที่แล้ว ข้าไว้ใจเจ้ามาก เจ้าเองก็รู้ ตอนที่เซี่ยวเอ๋อร์ยังเด็ก พ่อแม่นางจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน นางเติบโตมาในป่าลึกบนเขาแห่งนี้กับข้า ข้าเป็นเพียงตาแก่ไม้ใกล้ฝั่งคนหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหนก็ไปมาหมดแล้วใช่หรือไม่ แต่เซี่ยวเอ๋อร์นั้นแตกต่าง เมื่อนางเติบโตขึ้น ข้าจะให้นางอยู่ที่นี่ตลอดไปได้อย่างไร ทั้งนางยังอ่อนต่อโลกภายนอกนัก จะให้ออกไปใช้ชีวิตคนเดียวนั้น ข้าย่อมไม่มีทางวางใจ ตอนนี้นางเชื่อใจและพึ่งพาเจ้า พวกเจ้าก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว หากภายภาคหน้านางได้อยู่ข้างกายเจ้า และมีเจ้าคอยดูแลทั้งชีวิต ข้าย่อมวางใจอย่างแน่นอน และตาแก่อย่างข้าก็ไม่มีอะไรดีๆ จะมอบให้เจ้า นอกจากวิชาความรู้ทั้งหมดของข้า”
ในคำพูดเหล่านี้มีความหมายชัดเจน แม้ว่าชายชราจะกล่าวอย่างถ่อมตัว มิได้ทะนงตัวแต่อย่างใด ทว่าความรู้ที่เขาร่ำเรียนมาและวิชาการต่อสู้ ในใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่อยากเรียนกับเขา
หากต้องใช้วิชาความรู้แลกกับความสุขและความมั่นคงในชีวิตของหลานสาว เขาย่อมยินยอมอย่างเต็มใจ และเขารู้สึกได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนดี หลี่หานเซี่ยวเชื่อใจที่จะพึ่งพาเด็กหนุ่ม ชายชราถึงได้เอ่ยเจตนารมณ์ของตนออกมา
หลังจากฟังผู้เฒ่าหลี่เอ่ยจบแล้ว หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งพลันเต้นระรัวทันที
เด็กหนุ่มเป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจความหมายของประโยคที่ได้ยิน แต่เขาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ และประสานมือคำนับผู้เฒ่าหลี่พลางกล่าวอย่างซื่อตรง
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์น้องเปรียบเสมือนน้องสาวแท้ๆ ของศิษย์ ในเมื่อเป็นน้องสาวแท้ๆ ศิษย์ย่อมดูแลนางทั้งชีวิตในฐานะพี่ชายแท้ๆ อย่างแน่นอนขอรับ ไม่มีทางให้ผู้ใดมารังแกนางได้”
ความหมายของคำพูดเขานั้นชัดเจนยิ่งนัก นั่นคือเห็นหลี่หานเซี่ยวเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น ไม่ได้คิดเกินเลยเป็นอื่น
เมื่อผู้เฒ่าหลี่ได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยสายตานิ่งสงบ สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งดูซื่อตรงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เฒ่าหลี่ถอนสายตากลับมาและลอบคิดในใจ ‘ช่างเถิด ต่อให้เขาฉลาดเพียงใด ก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หากรีบพูดเรื่องพวกนี้เขาอาจจะยังไม่เข้าใจ อีกอย่าง… เซี่ยวเอ๋อร์ก็ยังเด็กนัก รออีกสองปีค่อยพูดเรื่องนี้กันอีกทีก็ยังไม่สาย’
ผู้เฒ่าหลี่ไม่ได้เอ่ยเรื่องเสวี่ยหยวนจิ้งกับหลี่หานเซี่ยวต่อ แต่เปลี่ยนไปพูดถึงหัวใจของการฝึกวรยุทธ์ และมอบตำราที่บันทึกวิธีการฝึกฝนให้เสวี่ยหยวนจิ้งหลายเล่ม ให้เด็กหนุ่มได้อ่านด้วยตัวเองไปก่อน หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจค่อยมาสอบถามเขาอีกที
ไม่นานผู้เฒ่าหลี่ก็ลอบอุทานในใจ… เสวี่ยหยวนจิ้งช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ เขาดูคนไม่ผิดจริงๆ แม้ว่าจะดูเย็นชากับคนอื่น ทว่าตอนที่มาส่งหลี่หานเซี่ยวนั้น เด็กหนุ่มดูอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังไม่ฉวยโอกาสล่วงเกินหยามเกียรตินาง กระทั่งชายชราเป็นฝ่ายเอ่ยปากว่าจะรับเด็กหนุ่มเป็นศิษย์ จะถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดให้ กลับถูกเสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธอย่างสุภาพอ่อนน้อม
เหมือนยาจกที่จู่ๆ ก็พบว่ามีภูเขาทองมาปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่คนผู้นี้กลับแข็งแกร่งดุจหินผา เรื่องนิสัยก็ไม่เลวเลยทีเดียว และไม่ใช่คนโลภมากอีกด้วย
เพียงแต่ตอนนี้…
หลังจากผู้เฒ่าหลี่ไตร่ตรองแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยคำถามที่ตนสงสัยในใจออกมา “ตอนนั้นข้าบอกว่าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ แต่เจ้ากลับปฏิเสธ แล้วเหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงได้มาหาข้า และยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากอยากกราบข้าเป็นอาจารย์”
เสวี่ยหยวนจิ้งถือตำราด้วยมือทั้งสองข้าง ขณะเดียวกันเขาก็ก้มหน้านึกถึงคำด่าสารพัดของซุนซิ่งฮวา บิดาแท้ๆ ของเขาปล่อยให้นางกระทำการโหดร้ายกับเขาโดยไม่ถามอะไรสักคำ ทั้งตอนที่น้องสาวเขาถูกขาย บิดาก็ไม่คัดค้าน ดวงตาของเขาพลันฉายความแค้นอันแรงกล้า แต่ไม่นานก็หายไป เขาข่มกลั้นความโกรธแค้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาทำสีหน้าราบเรียบเช่นเคย
เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าหลี่ ก่อนเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “เพราะตอนนั้นศิษย์ยังเด็ก ไม่เข้าใจความหวังดีและทุ่มเทของท่านอาจารย์ ไม่เห็นประโยชน์ของการฝึกวรยุทธ์ แต่ตอนนี้ศิษย์คิดทบทวนจนเข้าใจแล้ว ขอเพียงพยายามให้ถึงที่สุด ก็สามารถปกป้องคนที่ศิษย์อยากจะปกป้องได้”
คำพูดของเด็กหนุ่มค่อนข้างคลุมเครือ เมื่อผู้เฒ่าหลี่ได้ฟังดังนั้น เขาก็นึกว่าคนที่เสวี่ยหยวนจิ้งอยากปกป้องคือหลี่หานเซี่ยว เพราะคิดว่าหลานสาวของตนจะต้องเป็นสตรีที่ดีที่สุดในใต้หล้าอย่างแน่นอน ทุกคนจะรักและเอ็นดูนางเหมือนกับเขา ยิ่งไปกว่านั้น หลี่หานเซี่ยวยังเชื่อใจและดีต่อเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าหลี่ประทับใจกับคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่น้อย
เขาลูบเคราก่อนจะเอ่ยอย่างชื่นชมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดถูก บุรุษเมื่อถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ ต้องมีความแข็งแกร่งถึงจะปกป้องคนในครอบครัวได้ เมื่อก่อนเป็นเพราะข้าไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็เลย… เฮ้อ ไม่พูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า”
หลังจากวันนั้น ผู้เฒ่าหลี่ตั้งใจสอนเสวี่ยหยวนจิ้งยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มก็มุมานะศึกษาวิชาจากอาจารย์ แม้กระทั่งตอนหลับยังฝันถึงวรยุทธ์และวิชากำลังภายใน
พริบตาเดียวเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็อาศัยอยู่ในเรือนตระกูลหลี่มาถึงวันที่หกแล้ว และจะออกเดินทางในวันที่เจ็ด
เด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีกับแม่นางน้อยอายุแปดขวบ อยู่ในป่าลึกบนเขาเป็นเวลาหลายวันยังไม่กลับเรือน คนในหมู่บ้านซิ่วเฟิงคงนึกว่าคนทั้งสองต้องเจอกับความโชคร้ายอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครตามหาพวกเขาสักคน
เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่บนโขดหินใหญ่หน้าประตูลานเรือน ทอดตามองภูเขาอันห่างไกลและต้นไม้ที่กำลังผลัดใบอยู่ใกล้ๆ พลางคิดว่าเสวี่ยหย่งฝูอาจเสียใจเพราะสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวไปสองสามวัน แต่ซุนซิ่งฮวาไม่มีทางเสียใจเพราะเอ้อร์ยาแม้แต่วันเดียวอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่าตนอยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง
ในภพที่จากมาก็เป็นเช่นนี้ ภพนี้ยังเป็นเช่นเดิมอีก แต่เกี่ยวอะไรกันล่ะ แม้จะอยู่เพียงลำพัง เธอก็มีวิธีใช้ชีวิตคนเดียวตั้งมากมายไม่ใช่หรือ
เธอต้องทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้ และต้องมีความสุขสดใสในทุกวัน
เสวี่ยเจียเยว่ให้กำลังใจตัวเอง จากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างหน้า
เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอท่องจำรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งล้ำค่าในป่าเขาที่เขียนไว้ในตำราได้ทั้งหมดแล้ว สองวันมานี้ขอเพียงมีเวลาว่าง เธอจะเดินเข้าป่าเพื่อไปค้นหาของล้ำค่าดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่ทุกครั้งล้วนกลับมามือเปล่า
เธอเคยถามหลี่หานเซี่ยวเกี่ยวกับโสมร้อยปีและเห็ดหลินจือ เพราะอยากรู้ว่าภูเขาลูกนี้มีของเหล่านั้นอยู่จริงหรือไม่ ผลก็คือหลี่หานเซี่ยวพยักหน้าพลางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ย่อมมีแน่นอน”
เด็กสาวยังบอกเสวี่ยเจียเยว่อีกว่า เมื่อก่อนตนเคยหาโสมร้อยปีเจอสองต้น ทั้งยังมีเห็ดหลินจือดอกใหญ่อีกหนึ่งดอก รวมถึงเหอโส่วอู แต่ของเหล่านี้ถ้าไม่นำไปแลกเปลี่ยนเป็นของใช้ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต ก็จะนำมาตุ๋นกิน
“นี่ ข้าจะบอกให้ เหอโส่วอูมีประโยชน์ต่อเส้นผม ยังมีโสมร้อยปีนั่นอีก มีครั้งหนึ่งข้าเอาให้ต้าป๋ายกิน ต้าป๋ายก็คือแกะที่ข้าเลี้ยงเอาไว้ พอมันกินจมูกก็มีเลือดไหลไม่หยุด ข้าไปถามท่านปู่ถึงได้รู้ว่าโสมป่าเป็นยาบำรุงชั้นดี และยิ่งเป็นโสมที่มีอายุมากกว่าร้อยปี ย่อมให้คนหรือสัตว์เลี้ยงกินทั้งต้นเช่นนั้นไม่ได้ แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหตุใดต้าป๋ายถึงกินไม่ได้ ข้าว่าโสมร้อยปีต้นนั้นเล็กกว่านิ้วโป้งของข้าเสียอีก เหตุใดมันกินแล้วถึงเลือดไหลออกจากจมูกไม่หยุด”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็แทบกระอักเลือดออกมา
เธอทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาของล้ำค่าเช่นนี้ แต่หลี่หานเซี่ยวกลับเอาไปให้แกะกิน!
หากเธอลากแกะตัวนั้นออกไป และประกาศว่ามันกินโสมร้อยปีลงไป ไม่รู้ว่าจะขายได้มากเพียงใด
ถึงอย่างไรคำพูดของหลี่หานเซี่ยวก็ทำให้เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่า ในภูเขาลูกนี้มีของล้ำค่าเหล่านั้นอยู่จริงๆ เธอจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันทีและยิ่งขยันมากกว่าเดิม กระทั่งเดินเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ
น่าเสียดายที่เธอไม่ชำนาญเส้นทาง พูดง่ายๆ ก็คือตอนที่ท้องฟ้ายังมีแสงอาทิตย์ เธอยังพอแยกแยะทิศทางออก แต่ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์แล้วละก็…
เสวี่ยเจียเยว่เดินเข้ามาในป่าลึกกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เธอจะเดินกลับ พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว รอบกายมีเพียงต้นไม้เรียงราย มองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมด เธอไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหนดี ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงทุกขณะ หมอกสีเทาค่อยๆ ปกคลุมผืนป่า พลันในใจเธอก็กังวลขึ้นมาทันที ทั้งยังข้อเท้าแพลงจนปวดเข้าไปถึงหัวใจ
เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ขึ้นไปนั่งบนรากไม้ใหญ่
หากเดินไปเรื่อยๆ ทั้งที่ในใจยังกระวนกระวาย มิสู้นั่งพักก่อนจะดีกว่า รอให้จิตใจสงบแล้วค่อยคิดหาทางออก แค่นั่งอยู่ตรงนี้จนพระอาทิตย์ขึ้น เธอก็จำทางกลับเรือนตระกูลหลี่ได้แล้ว
ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า แต่พระจันทร์ยังไม่ปรากฏโฉมให้เห็น
เสวี่ยเจียเยว่มองม่านรัตติกาลที่คืบคลานเข้ามาทุกขณะ เสียงนกร้องเรียกฝูงกลับรังดังอยู่เหนือศีรษะ เธอคงกลับไปในตอนนี้ไม่ได้ และคงไม่มีใครออกมาตามหากระมัง สำหรับปู่หลานตระกูลหลี่แล้ว เธอเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง อีกทั้งคนหนึ่งขาแข้งไม่ดี อีกคนอายุยังน้อย เข้ามาในป่าลึกยามค่ำคืนเช่นนี้ย่อมอันตรายมาก ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอคงไม่มีความสำคัญถึงขั้นที่เขาต้องออกมาเสี่ยงอันตรายในยามนี้
หลังจากคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก แม้เธอจะตายไปในตอนนี้ ก็คงไม่มีใครเสียน้ำตาให้เธอสักหยด
เสวี่ยเจียเยว่ยกมุมปากยิ้มเยาะตัวเอง จากนั้นรอยยิ้มจางๆ ก็เลือนหายไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า
ช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง จึงไม่ได้ยินเสียงแมลงในยามค่ำคืน ส่วนนกก็กลับรังนอนตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ยามนี้ในป่าเงียบสงัด มีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีกันเมื่อลมพัดผ่านเท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจข่มตาหลับได้ และเป็นเพราะในป่าเขามืดมิด เธอจึงไม่กล้ามองไปรอบๆ ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าเท่านั้น
ยังดีที่มีแสงระยิบระยับของดวงดาวนับไม่ถ้วน เมื่อคิดถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็ทำให้จิตใจค่อยๆ สงบลง
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เธอเห็นพระจันทร์บนท้องฟ้าทิศตะวันออก เป็นพระจันทร์เสี้ยว ทอประกายสว่างไสวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามเข้ม
นี่คงเป็นยามจื่อ[1]แล้วกระมัง… เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ถ้าเช่นนั้นอีกไม่กี่ชั่วยามท้องฟ้าก็น่าจะสว่างแล้ว จากนั้นพระอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า
ทันใดนั้นเอง เธอได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นในป่าท่ามกลางความเงียบสงัด… มีคนกำลังตะโกน เมื่อฟังอย่างตั้งใจ เธอก็รู้ว่าชื่อที่คนผู้นั้นเรียกหาคือเอ้อร์ยา
เสวี่ยเจียเยว่จับต้นไม้ก่อนจะลุกพรวดพราดขึ้นยืน และมองไปยังทิศทางที่เสียงตะโกนดังขึ้น
[1] เวลาตั้งแต่ 23.00 น. – 00.59 น.