บทที่ 29 แบกแม่นางน้อยขึ้นหลัง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ยี่สิบเก้า

แบกแม่นางน้อยขึ้นหลัง

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลี่หานเซี่ยวถึงได้ซาบซึ้งใจเมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งปรากฏตัว ขณะที่นางข้อเท้าแพลงอยู่ท่ามกลางป่าเขาไร้คนช่วยเหลือ

เช่นเดียวกับในยามนี้ ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่โดดเดี่ยวไร้หนทางจะไปต่อ เมื่อได้พบเสวี่ยหยวนจิ้งเดินอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และแสงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าพลางตะโกนเรียกชื่อเอ้อร์ยา เธอก็รู้สึกว่าเขาช่างหล่อเหลาปานเทพบุตร

“ท่านพี่?!”

เธอทั้งประหลาดใจและดีใจขณะตะโกนออกมา จากนั้นก็คิดจะเดินไปหาเขา ทว่าเมื่อขยับขาข้างขวาเพียงนิดเดียวก็เจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ เธอร้องเบาๆ และได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่กับที่เท่านั้น

แม้เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจะเบามาก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็ได้ยิน หัวใจที่ผ่อนคลายลงตอนเห็นแม่นางน้อยยังอยู่ดี ไม่เป็นอันตรายอะไร กลับหน่วงหนักขึ้นมาอีกครา

เขาเดินไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว มองด้วยสายตาพิจารณาก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหนหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่คาดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะมาตามหาเธอในป่าลึกโดยไม่สนอันตรายใดๆ ในใจของเธอเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ชั่วขณะนั้นเธอคิดว่าต่อจากนี้ไปตนสามารถปฏิบัติต่อเขาราวกับอีกฝ่ายคือพี่ชายแท้ๆ ได้แล้ว

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามถึงสองรอบ เธอก็ตอบด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เท้าขวาของข้าเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองไปที่เท้าขวาของอีกฝ่ายทันที คิ้วได้รูปพลันขมวดแน่น จากนั้นเขาก็สั่ง “นั่งลง”

เมื่อแม่นางน้อยยืนนิ่งเพราะได้ยินคำสั่งอย่างกะทันหัน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ทนไม่ไหวจึงกดไหล่อีกฝ่ายให้นั่งทันที ก่อนจะนั่งลงเช่นกัน

ชั่วขณะนั้นเสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเย็นวาบที่เท้าขวา เพราะเสวี่ยหยวนจิ้งถอดรองเท้าของเธอออกอย่างรวดเร็ว

เมื่อถูกผู้อื่นถอดรองเท้าให้โดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อย เธอจึงรีบชักเท้ากลับ แต่ขยับเพียงเล็กน้อยก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่าขยับ”

จากนั้นเขาก็รีบคว้าเท้าขาวเนียนเอาไว้ เขาไม่ได้ใช้แรงมากนัก เพียงจับเบาๆ เพื่อไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่ขยับได้ และไม่ให้เท้าของอีกฝ่ายบาดเจ็บไปมากกว่านี้ ก่อนจะก้มหน้าลงตรวจสอบเท้าที่ขาวเนียนของเสวี่ยเจียเยว่อย่างละเอียด ยิ่งมองคิ้วได้รูปก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น

เสวี่ยเจียเยว่นั่งตากลมอยู่ใต้ต้นไม้เป็นเวลานาน ทำให้รู้สึกหนาวไปทั้งตัว เมื่อเท้าของเธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจับเอาไว้ เธอรู้สึกว่ามือเขาอบอุ่นไม่น้อย กระนั้นเธอก็อดสะท้านในอกมิได้ ส่งผลให้เท้าที่อยู่ในมือเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นเล็กน้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งรีบเงยหน้าขึ้นและเอ่ย “เจ็บมากหรือ”

เขานึกว่าตนทำให้อีกฝ่ายเจ็บถึงได้มีท่าทางเช่นนี้

เสวี่ยเจียเยว่รีบส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”

จากนั้นเธอเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “ข้อเท้าแพลงเล็กน้อยเท่านี้ไม่นับว่าเจ็บปวดอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”

ในภพที่จากมาแม่เลี้ยงทำกับเธอเช่นไร ในภพนี้ซุนซิ่งฮวาก็ทำเช่นเดียวกัน บ่อยครั้งที่มารดาของเอ้อร์ยาโมโหขึ้นมา ก็มักจะหยิบของที่อยู่ใกล้มือมาทุบตีเธอ บางครั้งเป็นไม้กวาด บางครั้งเป็นด้ามพลั่ว ความเจ็บปวดในตอนนั้นมากกว่าตอนนี้หลายเท่า

เสวี่ยหยวนจิ้งฟังจบ หัวใจเขาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาทันที

เขาจำเหตุการณ์เมื่อหนึ่งปีก่อนได้ ตอนที่หลี่หานเซี่ยวข้อเท้าแพลง อาการของนางไม่ได้รุนแรงนัก ทว่าหลี่หานเซี่ยวเอาแต่ร้องไห้ตลอดทาง ต่างกับยามนี้… ทั้งที่ข้อเท้าของเสวี่ยเจียเยว่บวมเป่ง แม่นางน้อยกลับยิ้มและบอกว่าไม่เจ็บมาก ชีวิตที่ผ่านมาของอีกฝ่ายเป็นเช่นไรกันแน่

เสวี่ยหยวนจิ้งเม้มปากแน่น ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยเสียงต่ำ “ข้อเท้าเจ้าบวมแล้ว ข้าต้องดูอีกหน่อยว่ากระดูกหักหรือไม่ อาจจะเจ็บมาก แต่เจ้าต้องอดทน”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจนัก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งดูเหมือนชำนาญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างเชื่อใจเขา “เจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งใช้มือกดบริเวณข้อเท้าที่บวมเป่งของเสวี่ยเจียเยว่

ช่างเป็นความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจยิ่งนัก ราวกับเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทงลงมาอย่างโหดเหี้ยมก็มิปาน ด้วยความกังวลว่าตนจะร้องออกมา เธอจึงรีบกัดริมฝีปากล่างเอาไว้

เสวี่ยเจียเยว่กัดริมฝีปากแรงจนเป็นแผล แต่เธอยังไม่รู้สึกตัว กลับเป็นเสวี่ยหยวนจิ้งที่สังเกตเห็นจึงรีบเอ่ยขึ้น

“อย่ากัด”

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคำว่า ‘อย่ากัด’ แต่เพราะเจ็บปวดมาก เธอจึงดูมึนงง และมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้า

เดิมทีร่างกายของแม่นางน้อยซูบผอมและคางแหลมอยู่แล้ว ยิ่งทำท่าทางเช่นนี้ ไม่ว่าใครได้เห็นก็คงเอ็นดูยิ่งนัก

จนแล้วจนรอดเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ร้องออกมาสักแอะ และน้ำตาไม่ไหลออกมาสักหยด

เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองอีกฝ่ายแล้วเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายทนไม่ได้ จึงเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะเล็กเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้”

ความดื้อรั้นมากเกินไปอาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็กและสตรี

เขากล่าวจบก็สวมรองเท้าให้เสวี่ยเจียเยว่อย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันหลังให้แล้วพูดต่อ “ขึ้นมา”

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงงัน ก่อนจะได้สติกลับมาและเข้าใจว่าเขาต้องการให้เธอขี่หลัง

ทว่าตอนที่หลี่หานเซี่ยวข้อเท้าแพลง เขาทำเก้าอี้ง่ายๆ ให้เด็กสาวนั่งแล้วลากไปไม่ใช่หรือ เหตุใดพอเป็นเธอเขาถึงอยากแบกขึ้นหลังเล่า ถึงอย่างไรหลี่หานเซี่ยวก็เป็นหนึ่งในนางเอกสิบสองคน แต่เอ้อร์ยาเป็นเพียงนางร้ายคนหนึ่งในนิยายเท่านั้น

เค้าโครงนิยายเรื่องนี้ชักจะแปลกๆ เสียแล้ว

หากถามว่าเธอรู้สึกอย่างไร เมื่อถูกเสวี่ยหยวนจิ้งสัมผัสศีรษะเบาๆ อย่างกะทันหัน ทั้งยังเอ่ยประโยคที่เหมือนจะแฝงไปด้วยความเอ็นดูเมื่อสักครู่นี้ เธอก็คงต้องใช้คำว่า ‘ตกใจสุดขีด’ เท่านั้น

ต้องเป็นเพราะความเจ็บปวดแน่ๆ เธอถึงได้เห็นภาพหลอนเช่นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจะมาสัมผัสศีรษะเธอ พูดกับเธอด้วยความสงสารและเอ็นดูได้อย่างไร ทั้งยังจะให้เธอขี่หลังอีก

เสวี่ยเจียเยว่เงียบอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านพี่ หมายความว่าท่านจะแบกข้าขึ้นหลังอย่างนั้นหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งมิได้ตอบคำถาม แต่เอ่ยย้ำคำเดิม “ขึ้นมา”

เสวี่ยเจียเยว่ถามเขาอีก “ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงคิดจะแบกข้าเล่า”

เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบ จากนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นเขาหันกลับมามองเธออย่างกะทันหัน!

แม้ยามที่เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบขรึม สายตาของเขาทำให้คนมองรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ความจริงแล้วดวงตาคู่นั้นงดงามไม่น้อย ดูลึกซึ้งจนยากจะหยั่งถึง ทั้งขนตายังหนาและงอนยาว

ไม่รู้ว่าเวลาเขายิ้ม ดวงตาคู่นั้นจะทำให้คนที่ได้มองรู้สึกหวั่นไหวมากเพียงใด เสวี่ยเจียเยว่คิดภาพนั้นในใจ จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าตนไม่มีวันได้เห็นอย่างแน่นอน

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้โกรธแค้นเธอ เพียงเท่านั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ดีใจมากแล้ว เธอยังหวังว่าเขาจะยิ้มให้อีกหรือ ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันยิ่งนัก

ทันใดนั้นเธอก็เห็นหางตาของเสวี่ยหยวนจิ้งโค้งขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาคู่นั้นราวกับมีรอยยิ้มบางๆ

“เพราะเจ้าเป็นน้องสาวของข้า”

ขณะที่พูดประโยคนั้น ความเย็นชาในแววตาเขาก็มลายไปจนหมดสิ้น

เสวี่ยเจียเยว่อึ้งงันในทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตั้งสติได้เธอก็ปีนขึ้นไปบนหลังเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนที่เขาจะแบกเธอมุ่งหน้าไปตามทางกลับเรือนตระกูลหลี่

ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มพูดคุยกับแม่นางน้อยไปด้วย “ข้าได้ยินแม่นางหลี่บอกว่าสองวันมานี้เจ้าถามเรื่องโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือ เช่นนั้นเจ้าจึงเข้ามาหาของเหล่านี้ใช่หรือไม่ เจ้าจะเอาไปทำอะไร”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจบอกเหตุผลที่แท้จริงแก่เขาได้ เธอจึงตอบอย่างคลุมเครือ “ข้าเพียงสนใจพวกมันเท่านั้น เลยอยากจะเข้ามาดูด้วยตัวเอง ไม่ได้คิดจะเอาไปทำอะไรหรอกเจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางเชื่อคำพูดนั้น หากเป็นเพียงความสนใจเท่านั้น เหตุใดตอนที่แม่นางน้อยอ่านตำราเล่มนั้นจึงดูตั้งอกตั้งใจมาก อีกอย่าง… ถ้าอยากเห็นกับตา แค่เดินหาบริเวณใกล้ๆ เรือนก็พอแล้ว ทำไมต้องวิ่งเข้ามาหาในป่าลึกเช่นนี้ด้วย

อีกฝ่ายเป็นเพียงแม่นางน้อย แน่นอนว่าไม่มีทางกินโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือเพื่อบำรุงร่างกายแน่ๆ เช่นนั้นถ้าพบของดังกล่าวก็คงเอาไปทำอะไรไม่ได้นอกจากนำไปขาย แล้วคิดจะเอาเงินไปทำอะไร ดูจากการที่อีกฝ่ายเย็นชากับซุนซิ่งฮวาและหลบหลีกบิดาเขาในช่วงที่ผ่านมา ย่อมไม่มีทางมอบเงินให้พวกเขาอย่างแน่นอน คงจะเก็บเอาไว้ใช้เองเสียมากกว่า

ทั้งซุนซิ่งฮวาและบิดาเขาไม่ได้ทำดีกับแม่นางน้อยผู้นี้นัก หากมีเงินติดตัวจะทำอย่างไร แน่นอนว่าอีกฝ่ายต้องหาโอกาสหนีออกไปจากหมู่บ้านเป็นแน่

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งทบทวนเรื่องนี้จนทะลุปรุโปร่ง เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ความจริงเขาอยากจะออกไปจากหมู่บ้านซิ่วเฟิงตั้งนานแล้ว เพราะตอนที่มารดาใกล้สิ้นลม เสวี่ยหยวนจิ้งรับปากนางว่าจะตั้งใจเรียนจนสอบผ่านการคัดเลือกขุนนาง อีกทั้งไม่รู้ว่าน้องสาวถูกขายไปที่ไหน เขาจึงคิดจะไปตามหานาง

“ของเหล่านั้นมันไม่ได้หาเจอง่ายๆ ต่อไปเจ้าไม่ต้องเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้อีก มันอันตราย”

เสวี่ยเจียเยว่ส่งเสียงตอบรับคำหนึ่ง เท้าของเธอกลายเป็นเช่นนี้ เธอจะเข้าป่ามาหาโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือได้อย่างไร อีกอย่าง… พวกเขาจะต้องเดินทางกลับหมู่บ้านซิ่วเฟิง ดังนั้นเรื่องที่จะหาโสมร้อยปีกับเห็ดหลินจือ…

ช่างเถอะ เธอค่อยคิดหาเงินด้วยวิธีอื่นก็แล้วกัน

เมื่อเส้นทางการหาเงินถูกตัดขาด ในใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็เสียดายเป็นอย่างมาก เธอจึงรู้สึกหดหู่จนพานไม่อยากจะพูด เพียงปล่อยให้เสวี่ยหยวนจิ้งแบกเธอเดินไปข้างหน้าเช่นนั้น

ไม่นานเสวี่ยหยวนจิ้งก็พูดขึ้น น้ำเสียงเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำไหลในคืนพระจันทร์เต็มดวงของปลายฤดูใบไม้ร่วง “เหตุใดเจ้าถึงเท้าแพลงได้”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถาม หากเธอไม่ตอบคงไม่ใช่เรื่องดีนัก เธอจึงตอบเขาทันที

“ตอนที่ข้าเดินกลับฟ้ามืดเพราะพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ข้าแยกแยะทิศทางไม่ออก พอหาทางกลับเรือนไม่ได้ ในใจของข้าก็ร้อนรนจนเดินเร็วเกินไป เผลอครู่เดียวก็เท้าแพลงเสียแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งฟังออกว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก

เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ มองท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของพวกเรา”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่เธอก็เงยหน้าขึ้นมองตาม

บนแผ่นฟ้าสีครามเข้มมีพระจันทร์เสี้ยวหนึ่งล่องลอยอยู่บนนั้น และมีดวงดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เป็นภาพที่งดงามมาก แต่เธอนั่งมองมาทั้งคืนแล้ว ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งยังบอกให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง แล้วจะให้มองอะไรอีกเล่า

เธอกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่ได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“เจ้าเห็นดาวที่สว่างที่สุดทางทิศเหนือนั่นหรือไม่ นั่นคือดาวจักรพรรดิ” เขาพูดพลางชี้ไปบนท้องฟ้า

เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่ไม่คิดจะศึกษาเรื่องเหล่านี้ เพราะเธอเห็นว่าดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าต่างก็สว่างเหมือนกันหมด แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะชี้ให้ดู เธอก็ไม่รู้ว่าดวงไหนคือดาวจักรพรรดิ

เธอส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา “ไม่เห็นเจ้าค่ะ”

หลังจากพูดออกไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็กลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะโกรธ เพราะคืนนี้เขาดีกับเธอไม่น้อย ไม่เพียงตรวจอาการบาดเจ็บของเธอ ยังให้เธอขี่หลัง และตอนนี้ยังสอนให้รู้จักดวงดาวบนท้องฟ้าอีก

ทว่าเธอโง่เง่าเช่นนี้ เขาคงด่าเธอในใจไปแล้วกระมัง

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด กลับชี้ให้เสวี่ยเจียเยว่ดูดาวอีกดวงพลางเอ่ย

“แล้วดาวที่สว่างมากดวงนั้นล่ะ เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นคือดาวยวี่เหิง ดาวสองดวงที่อยู่ทางซ้ายคือดาวเหยากวางกับดาวไคหยาง ดาวสี่ดวงที่อยู่ทางขวาคือดาวเทียนฉวน ดาวเทียนจี ดาวเทียนเสวียน และดาวเทียนซู เจ้าดูดาวทั้งเจ็ดดวงนั้นสิ เหมือนช้อนคันหนึ่งหรือไม่”

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยศึกษาเรื่องดวงดาว แต่ชื่อกลุ่มดาวหมีใหญ่เธอก็เคยได้ยิน ยามนี้จึงเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว อีกทั้งยังมีเสวี่ยหยวนจิ้งคอยชี้ให้เธอดูด้วยตัวเอง หากเธอมองไม่เห็นเขาก็ชี้ให้ดูอีกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่สามครั้ง เธอถึงเห็นได้อย่างชัดเจน

เธอกล่าวอย่างตื่นเต้น “ข้าเห็นแล้วท่านพี่! ข้าเห็นแล้ว เหมือนช้อนไม่มีผิดเลยเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเอี้ยวคอไปมองเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายตื่นเต้นไม่น้อย เขาก็ดีใจมาก

เขาเอ่ยพลางยิ้มบาง “ตอนนี้เจ้าลองมองดาวเทียนซูกับดาวเทียนเสวียนอีกครั้ง และถ้ามองดีๆ ก็จะเห็นดาวที่สว่างที่สุดอยู่ไม่ไกลจากดาวสองดวงนั้น เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นคือดาวจักรพรรดิ”

หลังจากเขาชี้ให้ดูสองรอบ เสวี่ยเจียเยว่ก็มองเห็นในที่สุด เป็นดาวที่สว่างที่สุดจริงๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ขอเพียงในทุกๆ คืนมีดวงดาว ไม่ว่าเจ้าจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเวลาใด ดาวจักรพรรดิดวงนี้ก็จะอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน หากต่อไปเจ้าหลงทาง เพียงเงยหน้ามองดาวดวงนั้น เจ้าก็จะหาเส้นทางกลับเรือนจนเจอ”