สามสิบ
ปัญหาการตั้งชื่อ
เสวี่ยหยวนจิ้งแบกเสวี่ยเจียเยว่เดินไปตามทางที่จะกลับเรือนตระกูลหลี่ ท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าลึก
เรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีนั้นไม่มากนัก แน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งต้องรู้สึกเหนื่อยล้า ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดพักระหว่างทางถึงสองครั้ง
ทุกครั้งที่หยุดพัก เสวี่ยหยวนจิ้งจะชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า สอนให้เสวี่ยเจียเยว่รู้จักดวงดาว
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะเป็นลูกศิษย์ที่โง่เขลา แต่เด็กหนุ่มเป็นอาจารย์ผู้มีความอดทนสูง หากเธอจำไม่ได้ในครั้งเดียว เขาก็จะชี้ให้เธอดูอีกหลายครั้งโดยไม่คิดรำคาญแม้แต่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจบรรยายความรู้สึกตอนที่ได้รับความเอ็นดูจากเสวี่ยหยวนจิ้งได้แม้แต่คำเดียว เธอเริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว
ที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งแอบทำดีกับเธอเงียบๆ ในบางครั้ง แต่เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าสักครั้ง และพูดคุยกับเธอน้อยครั้งจนแทบนับได้ ทว่าคืนนี้เขากลับช่วยดูข้อเท้าที่บวมเป่งของเธอ ทั้งยังให้เธอขี่หลัง และสอนให้รู้จักดวงดาวบนท้องฟ้าโดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายแม้แต่น้อย
เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำที่รื่นหู “ท่านพี่ ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของท่านกับท่านผู้เฒ่าหลี่และแม่นางหลี่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งยกยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายคงคิดว่าผู้เฒ่าหลี่กับหลี่หานเซี่ยวปฏิบัติกับเขาไม่ดีนัก เขาจึงมีท่าทีเปลี่ยนไป แต่ความจริงเป็นเพราะเขารู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ใช่เอ้อร์ยาตัวจริงจึงวางอคติลงต่างหาก สองวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มหวนคิดถึงความห่วงใยที่เสวี่ยเจียเยว่มีต่อเขาหลังจากหายป่วยในครั้งนั้น ซึ่งเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามาจากใจจริง ไม่ใช่การเสแสร้ง
ส่วนเรื่องหน้าตาที่ยังเป็นเอ้อร์ยาเช่นเดิมนั้น เขาทบทวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว
ใบหน้าเป็นเพียงเนื้อหนังภายนอกเท่านั้น เหมือนเรือนหลังหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคนที่อาศัยอยู่ในนั้นคือใคร หากเป็นกลุ่มโจร เรือนหลังนั้นก็จะไม่น่าอยู่ แต่ถ้าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง เรือนหลังนั้นก็จะงดงามตระการตา เพราะฉะนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรจะสำคัญตรงไหน เขาสนใจแค่ว่าใครเป็นผู้ควบคุมร่างกายต่างหาก
เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่อยากบอกเสวี่ยเจียเยว่ว่าเขารู้ความลับแล้ว เพราะอีกฝ่ายเป็นคนระมัดระวังตัว หากบอกไปเกรงว่าแม่นางน้อยจะตกใจกลัวเสียมากกว่า
เขาจึงกล่าวพลางยิ้มบาง “ก็ดี”
ทั้งยังบอกอีก “จริงๆ แล้วข้าอยากจะบอกลาพวกเขาในวันพรุ่งนี้ แต่เท้าเจ้ายังเจ็บอยู่ พวกเราจึงต้องอยู่ต่ออีกสองวัน รอให้เท้าเจ้าหายดีก่อนค่อยกลับหมู่บ้าน”
เสวี่ยเจียเยว่อดเอ่ยถามไม่ได้ “พวกเราออกจากหมู่บ้านมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ยังไม่กลับไปเสียที พวกเขา… ข้าหมายถึงท่านพ่อกับท่านแม่ จะไม่เป็นห่วงจนร้อนใจเอาหรือ หากพวกเรากลับถึงเรือนแล้ว จะอธิบายเรื่องที่อยู่ในป่าลึกนานขนาดนี้อย่างไร”
เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาจะร้อนใจหรือไม่ ความจริงแล้วเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้สนใจขนาดนั้น แต่กลัวว่าเมื่อเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไป ด้วยนิสัยของซุนซิ่งฮวาแล้ว คงไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แต่จะทั้งตีทั้งด่ายกใหญ่มากกว่า
ใช่ว่าทุกคนที่มีลูกจะมีคุณสมบัติเป็นบิดามารดาที่ดี
พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา สีหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งก็เคร่งขรึมทันที ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกเขาไม่ร้อนใจหรอก เกรงว่าในใจของพวกเขา หากเราไม่กลับไปจะเป็นเรื่องดีที่สุด”
เมื่อคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ไม่ใช่เอ้อร์ยา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ใช้น้ำเสียงเย็นชากับอีกฝ่าย แต่อ่อนโยนขึ้นมาก
“เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อเห็นของป่าเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ด่าไม่ตบตีพวกเราอย่างแน่นอน หากพวกเขาถามว่าเหตุใดเราไม่ได้กลับเรือนตั้งหลายวัน ก็ตอบเพียงว่าหลงทางอยู่ในป่าลึก พวกเขาคงไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความอีก”
เพราะไม่มีความห่วงใยตั้งแต่แรก พวกเขาจึงไม่มีทางเอ่ยถามอะไรให้มากความ ขอเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่นำของป่าที่สองสามีภรรยาคาดหวังกลับไปได้ก็พอแล้ว
เสวี่ยหยวนจิ้งสอนให้เสวี่ยเจียเยว่รู้จักดวงดาวบนท้องฟ้าอีกสักพัก จากนั้นเขาก็แบกอีกฝ่ายขึ้นหลังอีกครั้งแล้วเดินทางต่อ
เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็นึกถึงเรื่องที่แม่นางน้อยผู้นี้ไม่ใช่เอ้อร์ยาขึ้นมาอีกครั้ง
เด็กหนุ่มไม่อยากเอ่ยถึงคนที่ใจคอโหดเหี้ยมผู้นั้นอีกต่อไป หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“เอ้อร์ยา… ชื่อนี้เจ้าชอบหรือไม่ เท่าที่ข้ารู้มา ในหมู่บ้านของพวกเรามีคนชื่อเอ้อร์ยาคนหนึ่งแล้ว หมู่บ้านข้างๆ ก็ยังมีคนที่ชื่อเอ้อร์ยาเหมือนกัน”
ความจริงแล้วเขาไม่อยากให้แม่นางผู้นี้ชื่อเอ้อร์ยา และจะเป็นเรื่องดีที่สุดหากเจ้าตัวก็ไม่ชอบชื่อนี้เช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นถ้าเขาจะเปลี่ยนชื่อให้ตามอำเภอใจ เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่สบายใจ เขาจึงเอ่ยประโยคที่เป็นเชิงชักนำให้เปลี่ยนใจ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าทำไมเสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่คำพูดไม่กี่ประโยคของเขากลับชักจูงจิตใจเธอได้สำเร็จ เพราะเธอไม่ชอบชื่อเอ้อร์ยาอยู่แล้ว
เด็กส่วนใหญ่ในชนบทไม่มีชื่อจริง มีเพียงชื่อที่บิดามารดาเรียกได้สะดวกเท่านั้น เด็กชายมักจะชื่อสื่อโถว เทียต้าน และโก่วเอ๋อร์ ส่วนเด็กหญิงก็ชื่อเสี่ยวฮวา ชุ่ยเอ๋อร์ และเอ้อร์ยา เมื่อชาวบ้านรู้ว่ามีครอบครัวหนึ่งตั้งชื่อให้ลูกสาวว่าเอ้อร์ยาแล้ว ครอบครัวอื่นๆ ก็จะไม่ตั้งชื่อลูกสาวตัวเองซ้ำกับครอบครัวนั้น ถ้าเรียกชื่อเอ้อร์ยาขณะที่มีคนรวมตัวกันมากๆ ต้องมีคนขานรับไม่ต่ำกว่าสิบคนอย่างแน่นอน
อีกอย่าง… เอ้อร์ยาคือชื่อเจ้าของร่างที่เธอครอบครอง ทุกครั้งที่เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคนอื่นเรียกเธอเช่นนี้ ก็มักจะรู้สึกว่าไม่รื่นหูเท่าไรนัก
ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ชื่อนี้หรือ… เปลี่ยนๆ ไปเถอะเจ้าค่ะ”
ความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคของเธอคือ… ไม่ชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก
แม้เธอจะแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็สังเกตเห็นอยู่ดี จึงเอ่ยถามขึ้น
“ในเมื่อเจ้าไม่ชอบชื่อเอ้อร์ยา แล้วเจ้าอยากจะมีชื่อว่าอะไร”
เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจ ‘ฉันต้องอยากได้ชื่อเดิมอยู่แล้ว’ แต่เอ้อร์ยาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งในชนบทที่ไม่มีความรู้ หากจู่ๆ เธอตั้งชื่อให้ตัวเอง อีกทั้งยังเป็นชื่อที่ฟังแล้วนับว่าความหมายดี เสวี่ยหยวนจิ้งจะคิดเช่นไร เขาต้องสงสัยในตัวเธอทันที แต่ถ้าไม่ใช้ชื่อเสวี่ยเจียเยว่ จะให้เธอตั้งชื่อตัวเองว่าอย่างไรดีล่ะ แล้วเธอจะตั้งชื่อใหม่ไปเพื่ออะไร… ยิ่งคิดเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งสับสน
สุดท้ายเธอก็ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองแม่นางน้อยแวบหนึ่ง อีกฝ่ายจะต้องมีชื่อของตัวเองอย่างแน่นอน แต่ยังหวาดระแวงในตัวเขาอยู่จึงไม่อยากพูดออกมา ซึ่งเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
เขาหันกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าคิดไม่ออก เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าเองดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เหตุใดเสวี่ยหยวนจิ้งจึงอยากจะตั้งชื่อให้เธอ และเธออยากรู้ว่าเขาจะตั้งชื่ออะไร
หลังจากคิดเพียงครู่ เธอก็พยักหน้ารับ “ดีเจ้าค่ะ”
เธอกล่าวจบก็มองเขาอย่างรอคอย
ถึงแม้เสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะตั้งชื่อใหม่ให้อีกฝ่าย แต่ยังไม่รู้ว่าจะใช้ชื่ออะไรดี
เขาชอบรอยยิ้มสดใสของแม่นางน้อย น้องสาวอายุสามขวบของเขา เวลายิ้มแย้มก็สดใสไม่น้อยเช่นเดียวกัน เสวี่ยหยวนจิ้งจึงชอบเวลาที่แม่นางน้อยผู้นี้เรียกเขาว่าท่านพี่ เพราะเมื่อก่อนน้องสาวก็เรียกเขาว่าท่านพี่ด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ไพเราะเหมือนกัน
เสวี่ยหยวนจิ้งเคยมีน้องสาวที่น่ารัก และเขาก็รักนางสุดหัวใจ อยากจะปกป้องนางให้ดีที่สุด แต่ซุนซิ่งฮวากลับเอานางไปขาย
ใช่ว่าเขาไม่อยากไปตามน้องสาวกลับมา ทว่าเขาไม่ได้ข่าวเกี่ยวกับนางเลย และชีวิตของคนที่อยู่กับเขาในขณะนี้ช่างลำบากยิ่งนัก เมื่อซุนซิ่งฮวาไม่พอใจก็จะทุบตีและด่าเป็นประจำ แต่ไม่ว่าจะพบเจอความทุกข์ทรมานเช่นไร แม่นางน้อยผู้นี้กลับยิ้มได้อย่างสดใสเสมอ
เสวี่ยหยวนจิ้งหวังว่าน้องสาวจะเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งเช่นกัน ไม่ว่าจะพบเจอความลำบากแค่ไหน ก็ยังคงยิ้มน่ารักสดใสได้เสมอ และในยามนี้เขาต้องการดูแลคนที่ตนกำลังแบกอยู่เหมือนน้องสาว ถือว่าเป็นการชดเชยความเสียใจที่เขาไม่สามารถปกป้องน้องสาวแท้ๆ ของตนได้
เขาเห็นว่าอีกฝ่ายชอบยิ้มแย้ม หากชื่อ ‘หานเซี่ยว’ ก็คงดีไม่น้อย แต่มีหลี่หานเซี่ยวแล้ว ถ้าอย่างนั้น…
“ถ้าอย่างนั้นชื่อเจียเยว่เป็นอย่างไร เจียที่มีความหมายว่างดงาม ส่วนเยว่ก็หมายถึงแสงของพระจันทร์ เสวี่ยเจียเยว่ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
คำว่า ‘เจีย’ หมายถึงมีความสุข ขณะเดียวกันก็มีความหมายว่างดงาม ไม่ว่าเวลาใดก็ดูเป็นคนร่าเริงและมองโลกในแง่ดี อีกทั้ง…
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามเข้ม แม้วันนี้พระจันทร์จะไม่เต็มดวง แต่เมื่อมองดีๆ แล้ว พระจันทร์เพียงเสี้ยวเดียวกลับงดงามยิ่งนัก ดูเงียบสงบและอ่อนโยน เขาจะจดจำค่ำคืนนี้ไปทั้งชีวิต
เสวี่ยหยวนจิ้งวางความโกรธแค้นที่เคยมีต่อแม่นางน้อยผู้นี้ลงจนหมดแล้ว ต่อจากนี้เขาจะดูแลปกป้องอีกฝ่ายให้เหมือนกับน้องสาวแท้ๆ ของตน และหวังว่าน้องสาวที่ถูกขายไปจะได้พบพี่ชายที่ดูแลนางเหมือนน้องสาวแท้ๆ เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะผิดหวังในตัวเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา แต่ก็เชื่อว่าในโลกใบนี้ต้องมีคนดีๆ อีกมากมาย
…
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินชื่อนั้น เธอตกใจจนเกือบจะร่วงลงจากหลังของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เขาตั้งชื่อให้เธอเหมือนชื่อเดิม เป็นเรื่องแปลกประหลาดเกินไปแล้วกระมัง
เสวี่ยเจียเยว่จำได้ว่าเพื่อนร่วมห้องหัวเราะคิกคักและบอกว่าแซ่ของเธอนั้นเพราะดี พบได้ไม่บ่อยนัก ให้พระเอกใช้แซ่เสวี่ยเป็นอย่างไร ตอนนั้นเธอยังคิดว่าเป็นเพียงแซ่หนึ่งเท่านั้น อยากจะใช้ก็ใช้ไป แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เสียดายที่ข้ามภพกลับไปตบตัวเองในเวลานั้นไม่ได้
หากพระเอกกับเธอไม่ได้ใช้แซ่เสวี่ยเหมือนกัน เธอก็คงไม่ได้ข้ามภพมาในที่แห่งนี้ ตอนนี้คงนั่งกลุ้มใจกับวิทยานิพนธ์ของตนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไหนเลยจะมีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นกับเธอมากมายเช่นนี้
เมื่อแม่นางน้อยไม่พูดไม่จา เสวี่ยหยวนจิ้งก็หันไปถาม
“เป็นอะไรไป เจ้าไม่ชอบชื่อที่ข้าตั้งให้หรือ”