เปิ่นจุนดีใจแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!

“ให้นางฟื้นฟูอีกสักระยะแล้วกัน” น้ำเสียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่แยแสนัก

“ขอรับ!” มู่เฟิงรับตอบรับ

“ที่อื่นมีความเคลื่อนไหวอะไรหือไม่?”

“ไม่มีขอรับ”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ คนชุดเขียวที่ระเบิดตัวเองผู้นั้นใช่ผู้บงการเบื้องหลังหรือไม่ขอรับ? ฟังจากคำสารภาพของ๋เชียนหลิงเทียน เมื่อก่อนยาของเขาก็เป็นคนลึกลับจัดหามาให้เขา แต่หลังจากคนชุดเขียวผู้นั้นตาย ยาของเขาก็ขาดช่วงไป ด้วยเหตุนี้เขาถึงมาหาซื้อยาที่ตลาดผีอย่างร้อนรนถึงเพียงนี้…”

“มิได้ง่ายดายปานนั้น” นัยน์ตาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทอแสงแวบหนึ่ง “พวกเขาน่าจะเป็นเพียงตัวหมากที่ถูกเผยออกมาเท่านั้น เกมนี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นต่างหาก”

มู่เฟิงขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเขามีจุดประสงค์ใดกันขอรับ?”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามเขาอย่างจริงจัง “เปิ่นจุนโดดเด่นหรือไม่?”

มู่เฟิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “โดดเด่นขอรับ!”

“ราชบัลลังก์สามารถทำให้พี่น้องแตกคอ พอลูกแตกหัก สายเลือดและความสัมพันธ์ถูกโยนไปไกลสุดขอบนับประสาอะไรตำแหน่งนี้ของเปิ่นจุนเล่า? ไม่รู้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใดจ้องจะเตะเปิ่นจุนลงไป แล้วขึ้นมานั่งแทนที่”

มู่เฟิงขมวดคิ้วอีกครา “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเทพ ตำแหน่งเทพจะอาศัยการช่วงชิงเข้าแทนที่ได้อย่างไรกัน? สมองของคนผู้นี้ถูกลาเตะเข้าหรือไง!”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทอดถอนใจ “ต่อให้เป็นเทพก็มีช่วงเวลาที่ต้องดับสูญ ยังเร็วไปที่เจ้าจะกล่าวเช่นนี้”

มู่เฟิงตกตะลึง สีหน้าซีดเซียวลง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านกล่าวเช่นนี้…หมายความว่าอย่างไรขอรับ?” น้ำเสียงสั่นพร่า

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคาะขลุ่ยหยกลงบนลำไผ่ทีหนึ่ง “เปิ่นจุนยังมิถึงคราวดับสูญหรอก! เจ้าทำท่าทางดั่งญาติล่วงลับเช่นนี้ไม่ดีกระมัง? จงใจทำให้เปิ่นจุนสะอืดสะเอียนหรือ?”

มู่เฟิงพูดไม่ออก

“เอาล่ะ ไสหัวไปได้แล้ว!” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โบกมือ

มู่เฟิงโค้งกายอำลา ทว่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อีก จึงกล่าวรายงาน “ใช่แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ พลังยุทธ์ของเชียนหลิงอวี่ผู้นั้นฟื้นฟูแล้ว ตอนนี้ใกล้ถึงขั้นแปดแล้ว ตาเฒ่ากู่ฉานโม่ปรีดานัก ตั้งใจจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เขาเป็นพิเศษ”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูเขา “เรื่องกระจอกงอกง่อยเช่นนี้เจ้ายังตั้งใจนำมารายงานแก่เปิ่นโดยเฉพาะอีกหรือ?”

“เอ่อ ข้าน้อยแค่อยากทำให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดีใจสักนิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ภายภาคหน้าจะเป็นแขนขาให้พวกเราได้นะขอรับ”

“โอ้ เปิ่นจุนดีใจแล้ว เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!”

“เพียงแต่ ถึงพลังยุทธ์ของเด็กคนนี้จะฟื้นฟูแล้ว แต่ก็ยังมีจุดหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกปวดหัวยิ่งอยู่” มู่เฟิงรายงานต่อ เห็นว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ไม่ดี คล้ายว่าถูกเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญนี้ทำให้รำคาญ เขาก็ยังทำใจกล้าพูดต่อไป “เด็กคนนี้สามารถเข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้แล้วชัดๆ ก็ยังยืนกรานจะรั้งอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย กล่าวทำนองว่าจะร่วมหัวจ่มท้ายกับแม่นางกู้ แม่นางกู้อยู่ที่ไหนเขาก็จะอยู่ที่นั่น! ทำให้อาจารย์ใหญ่กู่โมโหไม่เบา”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดไม่จา

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ อายุเช่นเชียนหลิงอวี่นับเป็นช่วงวัยแรกรุ่นหนุ่มสาว แม่นางกู้กับเขาห่างกันไม่มาก ข้าน้อยว่าเชียนหลิงอวี่คงตกหลุมรักแม่นางกู้เข้าแล้ว ต่อไปพวกเขาจะอยู่ชั้นเดียวกัน อยู่ร่วมกันทุกเมื่อเชื่อวัน บางที…อาจจะ…”

“อาจจะอะไร?”

“บางทีภายหน้าพวกเขาอาจจะถูกตาต้องใจกัน เกิดเป็นเรื่องมงคล” มู่เฟิงทำใจกล้ากล่าวออกมาตามที่คาดเดา

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองเขาอยู่ครู่หนึ่ง “มู่เฟิง วันนี้เจ้าช่างซุบซิบเหลือเกินนะ เจาคิดจะตักเตือนเปิ่นจุนใช่หรือไม่?” น้ำเสียงเขาเยียบเล็กเล็กน้อย

มู่เฟิงก้มหน้าลง “ข้าน้อยมิกล้า”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเฉยชา “เปิ่นกับกู้ซีจิ่วอย่างมากก็มีเพียงไมตรีระหว่างศิษย์อาจารย์เท่านั้น ไม่มีวาสนาอื่น เปิ่นจุนเพียงเห็นนางชนรุ่นหลังเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?”

“เข้าใจแล้วขอรับ!” มู่เฟิงไม่กล้าคิดเหลวไหลอีก

ต่อไปเรื่องที่เกี่ยวกับนางไม่ต้องมารายงานเปิ่นจุนเป็นพิเศษ เปิ่นไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องนี้!

“ขอรับ!” มู่เฟิงรับคำ

“ไปซะ”