ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เฉยเมยยิ่งนักอยู่เสมอ

ทูตส่างซั่นเหงื่อตก “ยามที่ข้าน้อยทำลายเรือนแม่นางกู้มิได้อยู่ข้างในแล้วขอรับ ข้าน้อยรอให้นางจากไปก่อนถึงเริ่มทำลาย หลังจากทำลายเสร็จก็พบนางนั่งเย็บม่านผืนนี้อยู่ริมลำธาร ตอนที่ข้าน้อยเห็นนาง นางเพิ่งเย็บเสร็จพอดี…เลยฝากข้าน้อยนำมาคืนให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ…”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไรอีก เก็บม่านเตียงผืนนั้นไป ใส่เข้าไปในถุงเก็บของ

ทูตส่างซั่นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่รักความสมบูรณ์แบบเขาไม่ต้องการสิ่งใดที่ไม่สมบูรณ์

ถึงแม้สิ่งที่ไม่สมบูรณ์นั้นจะล้ำค่าปานใด ซ่อมแซมจนสมบูรณ์เพียงไหน เขาก็จะโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่มองอีกเลย คาดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บผ้าม่านที่เห็นชัดว่ามีตำหนิผืนนี้ไว้

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เฉยเมยอย่างยิ่งอยู่เสมอ ทูตส่างซั่นเองก็ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าใส่ใจมากมิใช่หรือ? และเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าปฏิบัติด้วยอย่างสนิทสนมกลมเกลียวยิ่ง แล้วทำไมจู่ๆ ก็…

คล้ายว่าทูตส่างซั่นจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “อ่า ใช่แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ยามที่แม่นางกู้มอบผ้าม่านผืนนี้ให้ยังฝากถ้อยคำให้ข้าน้อยมาแจ้งแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยขอรับ”

ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เหลือบมองเขาอีกแวบหนึ่ง “ถ้อยคำใด?”

“แม่นางกู้กล่าวว่า นางเคยอาศัยชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปก่อเรื่องจริงๆ สร้างความยุ่งยากให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นางรู้สึกขออภัยยิ่ง ภายหน้าจะไม่ทำอีกเด็ดขาด ขอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ”

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบงัน

เขาไม่พูดอะไร เหลาขลุ่ยไผ่ต่อไป

ต่อมาทูตส่างซั่นตาแหลมสังเกตเห็นว่า ขลุ่ยที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหลาขึ้นมาใหม่มีรูเกินมาหนึ่งรู…

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยไม่เข้าใจเลย อันที่จริงแม่นางกู้ก็มิได้อาศัยชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปก่อเรื่องอันใด เพียงแต่จงใจยั่วโม่โหผู้อื่นเท่านั้น ความจริงแล้วนางพึ่งพาตัวเองทุกอย่าง นางพลิกสถานการณ์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จนงดงามเช่นนี้ได้ก็อาศัยความสามารถของตนเองทั้งสิ้น การที่เข้าชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้โดยงดเว้นการทดสอบก็เป็นนางอาศัยความพากเพียรของตน ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตำหนินางละทิ้งนางด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยรู้สึกว่าค่อนข้าง…” ทูตส่างซั่นเริ่มทำใจกล้ากล่าวความเห็นตนออกมา

เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ว่าเขาก็ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วกับอวิ๋นชิงหลัว…

เท่าที่เขาเห็นนั่นไม่มีอะไรเลย เป็แค่เด็กน้อยทะเลาะกันเท่านั้น อย่างมากกู้ซีจิ่วก็เป็นเพียงเด็กแสบที่ค่อนข้างกวนโมโหผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นยิ้มก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก

“เหตุใดจึงบอกว่าเปิ่นจุนละทิ้งนาง?” ในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดปากเอ่ย น้ำเสียงเรียบเฉย “อันที่จริงเปิ่นจุนแค่อยากให้นางเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อย่างราบรื่นเท่านั้น ตอนนี้บรรลุจุดประสงค์แล้ว ย่อมสมควรถอนตัวมา ไม่เกี่ยวกับทิ้งหรือไม่ทิ้ง”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ภารกิจรัดตัว จากมาเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าน้อยเห็นว่าแม่นางกู้ชอบคฤหาสน์หลังนั้นมาก นางยังปลูกดอกไม้ไว้ในเรือนอีกด้วย ใช่แล้ว ยามที่ข้าน้อยทำลายเรือนทิ้ง พบแบบแปลนที่นางวาดแผ่นหนึ่งในเรือนของนางด้วยขอรับ ดูเหมือนจะเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ที่นางออกแบบเอง ดูน่าสนใจยิ่ง ตอนนี้กลับพังพินาศไปเช่นนี้แล้ว…อันที่จริงให้นางอาศัยอยู่ในเรือนนั้นตลอดไปก็ไม่เป็นไรเลยนี่ขอรับ อย่างไรเสียทุกคนก็ล้วนยอมรับความจริงที่นางอาศัยอยู่ที่นั่นได้แล้ว น่าจะไม่มีผู้ใดนินทาหรอกขอรับ” ทูตส่างซั่นกล่าวต่อ

“มู่เฟิง วันนี้เจ้าชักจะพูดมากไปแล้ว!” ท่านเทพศักดิสิทธิ์ดีดนิ้วเปาะ มีดในมือพุ่งเข้าใส่ไผ่เขียวต้นหนึ่ง เสียบเข้าไปมิดด้ามเสียงดังปึก

มู่เฟิงไม่กล้าพูดจาวุ่นวายต่อแล้ว

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หมุนขลุ่ยไผ่ในมือ “ด้านหลงซือเย่เป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่เฟิงจึงรายงาน “เขายังติดตามอยู่ข้างกายองค์ชายหรงเช่อขอรับ ”ตอนนี้ยังไม่พบอะไร อาการบาดเบ็ดขององค์ชายหรงเช่อสาหัสยิ่ง ระหว่างทางยังสลบไปหนหนึ่งด้วย หลงซือเย่ดูแลอยู่ตลอด เพิ่งกลับถึงอาณาจักรเฟยซิงเมื่อหลายวันก่อน หลายวันมานี้เก็บตัวอยู่ตลอด ได้ยินว่าเขาเพิ่งลุกจากเตียงได้เมื่อวานซืน อาการแย่กว่าอวิ๋นชิงหลัว รากฐานของอวิ๋นชิงหลัวดีกว่าเขา หลายวันก่อนสามารถออกมาวิ่งได้แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ โทษของนางยังต้องดำเนินการอยู่หรือไม่?”