นางไม่แม้แต่จะซักถามว่าเพราะเหตุใด…

“…ได้ แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ! ข้าจะไปเก็บของ” กู้ซีจิ่วหมุนกายเดินไปทางเรือนหลังของตน

ที่นี่แสมือนภาพลวงตาอยู่แล้ว เป็นเขาให้คนสร้างขึ้นมาตามใจ ย่อมมีเหตุผลที่จะทำลายทิ้งได้ตามใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทพ จะปลูกหรือจะสร้างก็แค่อึดใจเดียวเท่านั้น

ของบางอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว และถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เธอเคยคิดว่าที่นี่คือแหล่งพักพิงของเธอ ที่แท้กลับเป็นเพียงชั่วคราว…

“ต้องการให้ข้าช่วยท่านหรือไม่?” ทูตส่างซั่นที่อยู่ด้านหลังถามเสียงแห้ง

“ไม่จำเป็น ไม่มีข้าวของสักเท่าไหร่” กู้ซีจิ่วหันหลังจากไป

ทูตส่างซั่นมองดูเงาหลังนาง แววตาซับซ้อนอยู่บ้าง เขานึกว่าหลังจากตนถ่ายทอดถ้อยคำเหล่านี้จบ แม่นางน้อยผู้นี้จะหดหู่อย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่า…นางจะสงบนิ่งอยู่ตลอด

จากข้นแค้นสู่รุ่งเรือง จากรุ่งเรืองสู่ยากไร้ เมื่อคนผู้หนึ่งเคยชินกับการถูกดูแลเป็นพิเศษแล้ว ย่อมกลายเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง

เมื่อการดูแลเป็นพิเศษถูกพรากไปจนสิ้นกะทันหัน ความรู้สึกนั้นจะเหมือนหล่นจากฟ้าตกสู่พื้นดิน น่าจะหดหู่ยิ่งนักถึงจะถูก แต่แม่นางน้อยผู้นี้ไม่มีเลย นางไม่แม้แต่จะซักถามว่าเพราะเหตุใด…

….

ลมตะวันตกพัดพาพรรณไม้เขียวขจีเหี่ยวแห้ง ทาบทากิ่งไผ่เขียวดังภาพวาด

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่กลางป่าไผ่ ในมือซ้ายคือลำไผ่เขียวชอุ่มท่อนหนึ่ง มือซ้ายถือมีดเล่มหนึ่งแกะสลักลำไผ่ เขากำลังสร้างขลุ่ยไม้ไผ่ ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ในที่สุดทูตส่างซั่นก็กลับมา ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วรายงาน “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยรับบัญชาท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แจ้งให้แม่นางกู้ย้ายเข้าสู่เรือนจริยาแล้ว คฤหาสน์หลังนั้นก็ทำลายทิ้งแล้วขอรับ”

“นางว่าอย่างไรบ้าง?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอ่ยถาม

ทูตส่างซั่นยื่นยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นหนึ่งให้ “พักนี้สมองข้าน้อยมิสู้ดีนัก เกรงว่าจะตกหล่น จึงบันทึกทุกอย่างไว้ในยันต์แผ่นนี้ขอรับ ขอเชิญท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รับฟัง”

เมื่อเปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนั้น บทสนทนาของกู้ซีจิ่วกับทูตส่างซั่นก็แว่วออกมา…

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงเหลาไผ่อยู่เช่นเดิม ไม่ทราบว่าได้ยินหรือไม่

ผ่านไปครู่หนึ่ง ยันต์ถ่ายทอดเสียงก็หยุดลง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น เหลือบมองยันต์ในมือทูตส่างซั่นแวบหนึ่ง “นางพูดเท่านี้หรือ?”

“ขอรับ เพียงเท่านี้”

“เช่นนั้นนางนำสิ่งใดไปบ้าง?”

“ล้วนเป็นข้าวของนางเองขอนับ ไม่เคลื่อนย้ายสิ่งอื่นเลย”

“แล้วชาที่เปิ่นจุนให้เจ้าส่งมอบแก่นางเล่า?”

“มอบให้แล้วขอรับ นางกล่าวขอบคุณ เพียงแต่นางบอกว่าชานี้ล้ำค่า เป็นของรักของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ขอรับไว้ เอ่อ ใช่แล้ว นางยังทำการซ่อมแซ่มม่านเตียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนั้น ฝากข้าน้อยนำมาคืนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ”

ทูตส่างซั่นหยิบม่านเตียงที่พับซ้อนอย่างเป็นระเบียบออกมาจากถุงเก็บของ ประคองส่งให้

ม่านเตียงคลี่ออก เผยให้เห็นจุดที่เคยถูกเกี่ยวขาด

ต้องกล่าวเลยว่า กู้ซีจิ่วมีฝีมือล้ำเลิศ รูที่แต่เดิมขาดกว้างถูกเย็บจนแนบเนียน แถมยังใช้วิธีเย็บแบบพิเศษอย่างหนึ่ง นางคงรู้สึกว่าเย็บแบบธรรมดาดูไม่น่ามอง จึงถือโอกาสบรรจงปักลายกระเรียนสยายปีกไว้ตรงนี้ตัวหนึ่ง คอดำปีกขาว ปีกทั้งคู่แผ่สยาย กำลังกางปีกโผบิน

ม่านเตียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เดิมมีภาพขุนเขาธารใสวาดไว้อยู่แล้ว กระเรียนโผบินเข้าคู่กับภาพนี้ยิ่งนัก เนื่องจากรอยขาดนั้นอยู่ตรงคอกระเรียน คอกระเรียนเป็นสีดำเหลือบเทา อำพรางรอยขาดไว้พอดี ทำให้คนไม่มีทางมองรอยเย็บออก เห็นเพียงความเป็นธรรมชาติเท่านั้น

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ แม่นางกู้ผู้นี้ช่างเพียบพร้อมยิ่งนักโดยแท้ ดูงานปักนี้สิขอรับ…แค่กๆ ถึงแม้งานปักจะไม่โดดเด่นนัก แต่ไหวพริบของนางก็พบเห็นได้ยากยิ่ง…”

“นางปักลายนี้นานเท่าใด?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามขึ้น

“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับ…”

“เจ้าทำลายเรือนทิ้งนานเท่าใด?” เขาถามต่อ

“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับ…”

“เจ้ารออยู่ที่นั่นกว่าหนึ่งยามแล้ว กล่าวเช่นนี้คือเจ้าทำลายเรือนทิ้งยามที่นางปักสิ่งนี้อยู่งั้นหรือ?”