ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายชอบใคร 2

ด้านหลังเธอไม่ไกลนัก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนสง่าอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เรือนกายสูงชะลูด กลิ่นอายเย็นชา เป็นเยี่ยนเฉินผู้นั้น

ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว และไม่รู้ว่าได้ยินมากน้อยเพียงใด กู้ซีจิ่วสบตาเขาแวบหนึ่ง เขาขมวดคิ้วนิดๆ แววตาเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่พูดอะไร แต่สายตาที่มองเธอราวกับมองเศษสวะอยู่…

กู้ซีจิ่วแทบจะกุมขมับแล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเธอแค่อยากหาทางหนีเท่านั้น

เธอคร้านจะสนใจพวกเขาแล้ว จึงหันกายไปเตรียมวิ่งต่อ

ร่างเยี่ยนเฉินไหววูบ ขวางทางไปของเธอไว้ โชคดีที่กู้ซีจิ่วระวังตัวอยู่นานแล้ว จึงถอยหลังไปเล็กน้อย “เจ้าจะทำอะไร?”

ดวงตาคู่นั้นของเยี่ยนเฉินกวาดมองร่างเธอแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว ขอเตือนเจ้าสักประโยค ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มิใช่ว่าเฉลียวฉลาดมีความสามารถแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ จิตใจยังต้องซื่อตรงด้วย!”

วาจานี้เป็นการกล่าวอย่างชัดเจนว่าเธอใจคด กู้ซีจิ่วยิ้มพลางตอบโต้ไป “ข้าก็ขอเตือนเจ้าสักประโยค จะเรื่องใดก็อย่ามองเพียงผิวเผิน มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกคนหลอกได้ง่ายๆ กลายเป็นเครื่องมือของผู้อื่น ยังมีอีก ข้ารู้สึกว่าจิตใจข้าซื่อตรงยิ่ง ข้ามีมโนธรรมชัดเจน!” เดินอ้อมเขาแล้ววิ่งจากไป

ยามที่กู้ซีจิ่ววิ่งรอบสนามเสร็จแล้วกลับถึงเรือนก็บังเอิญพบทูตส่างซั่นเข้าพอดี เขามาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่กู้ซีจิ่วโดยเฉพาะ พูดจาแบบเดียวกับอวิ๋นชิงหลัว บอกว่าเธอไม่ต้องเข้าร่วมบททดสอบเหล่านั้นแล้ว สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้เลย

เขาถึงขั้นนำเครื่องแบบและอุปกรณ์ใช้สอยของชั้นเรียนเมฆาคล้อยมาให้เธอด้วย

“แม่นางกู้ นับตั้งแต่วันนี้ไป ท่านก็คือศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ข้ากำชับท่านว่า ต้องตั้งใจเรียน อย่าให้เขาขายหน้าได้” ทูตส่างซั่นกำชับ

กู้ซีจิ่วเงียบงัน เหมือนเธอจะนึกอะไรได้จึงเอ่ยถาม “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่า?”

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จากไปแล้ว เขากล่าวว่าต่อไปท่านต้องพึ่งตัวเอง ท่านไม่อาจพึ่งพาชื่อเสียงของเขาไปทั้งชีวิตได้”

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรง ในที่สุดก็รู้ว่าบทสนทนาเหล่านั้นที่ตนพูดกับอวิ๋นชิงหลัว ผู้ที่ได้ยินมิใช่เยี่ยนเฉินคนเดียว ยังมีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…

เขาจะมองเธอยังไงกัน?

เขาจะมองออกหรือเปล่าว่าอันที่จริงเธอพูดเพื่อยั่วโมโหอวิ๋นชิงหลัว?

กู้ซีจิ่วแอบกำมือแน่น

เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง ไม่เกรงว่าคนเหล่านั้นจะเข้าใจเธอผิด แต่เธอกลับใส่ใจเขาอย่างน่าประหลาด…

บางทีเขาอาจเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่ทำให้เธออยากจะพึ่งพา เป็นคนเดียวที่ทำให้เธอปลดความระแวดระวังทั้งหมดลง…

ต่อหน้าคนอื่นเธอแกร่งกล้าดั่งนักรบหญิงที่ไม่เคยปราชัย ยกเว้นยามอยู่ต่อหน้าเขาเธอกลับรู้สึกว่าตนเหมือนเด็กน้อยที่ได้รับความเอ็นดู ปลดความแข็งแกร่งระแวดระวังทั้งหมดลง ปลดปล่อยตัวตนได้อย่างอิสระเสรี…

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังพูดอะไรอีกไหม?” กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังฝากถ้อยคำไว้ให้เธออีกแน่นอน

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังกล่าวอีกว่า นับแต่วันนี้ไป ท่านจะเสมอภาคกับศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย ไม่มีอภิสิทธิ์อีกต่อไป ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยล้วนพักอยู่ใน ‘สถานศึกษาพากเพียร’ ในหุบเขาจริยา แม่นางกู้สามารถย้ายไปพักร่วมกับพวกเขาได้ อาจารย์ใหญ่กู่ได้จัดแจงไว้ให้ท่านแล้ว ท่านแค่เก็บสัมภาระทางนี้ก็พอ” ทูตส่างซั่นถ่ายทอดต่อ

กู้ซีจิ่วไร้วาจา

เธอรู้ว่าเขาต้องจากไป ไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้ตลอด เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะจากไปเงียบๆ เมื่อคืนยังคุยกันอย่างออกรสอยู่เลย เขาถึงขั้นอนุญาตให้เธอไปจิบชากับเขาที่นั่นได้บ่อยๆ เธอแค่ออกมาวิ่งไม่กี่รอบ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด…

เป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดพวกนั้นของเธอใช่ไหม?

เขาก็คิดว่าเธอใจคดใช่หรือไม่?

เป็นครั้งแรกที่หัวใจปั่นป่วนขึ้นมา แต่เธอยังคงตีหน้านิ่งอยู่ “เช่นนั้นที่นี่ล่ะ?”

“ที่นี่จะถูกทำลาย” ทูตส่างซั่นกล่าวสั้นๆ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเก็บที่นี่ไว้”