บทที่ 35 จากไป (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“พูดแบบนี้ คนเหล่านั้นก่อนหน้านี้ที่รุดมา รวมถึงพวกเต้าจ่างทั้งสามคน ล้วนมาเพื่อของวิเศษที่อาจปรากฏขึ้นชิ้นนั้นหรือ” ลู่เซิ่งฟังเนื้อหาหลักจากคำบอกเล่าของเหยียนไคออกแล้ว

“สามารถกล่าวเช่นนี้ได้” เหยียนไคพยักหน้า “โลกใบนี้มารปีศาจอาละวาด พวกเราคนกำจัดวิญญาณรุดมาก็เพื่อคุ้มครองความสงบสุข”

ลู่เซิ่งยิ้มๆ วาจานี้มีความน่าเชื่อถือขนาดไหน เขาไม่ทราบ

เขาเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ถามอีกว่า “หมายความว่า เรื่องนี้จบเช่นนี้แล้วหรือ ภายหลังเมืองเก้าประสานไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่ จะไม่มีผีล่อลวง และจะไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายอีก ยิ่งไม่มีคนตายโดยไร้สาเหตุอีกใช่หรือไม่”

เหยียนไคไม่ทราบว่าลู่เซิ่งถามเช่นนี้มีความหมายอะไร แต่เขาครุ่นคิด ตอบอย่างจริงจัง “เป็นเช่นนี้ ของวิเศษชิ้นนั้นถูกคนนำไปแล้ว ออกห่างจากเมืองเก้าประสานไปแล้ว อีกเดี๋ยวข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน ดูว่ามีที่ไหนพอช่วยเหลือได้บ้าง ส่วนคนตาย.. เมื่อไม่มีพลังจากภายนอก คิดว่าเมืองเก้าประสานจะกลับคืนสู่สภาพดังเดิม”

ต้วนหรงหรงที่อยู่ด้านข้างอดสอดวาจาเข้ามาไม่ได้ “สิ่งนั้นตอนนี้มุ่งหน้าไปยังจงหยวนแล้ว ทุกคนล้วนติดตามไป เมืองเล็กๆ แบบนี้ ผู้ใดยินดีรั้งอยู่”

เหยียนไคยื่นมือรั้งตัวต้วนหรงหรงไว้ ให้นางกล่าววาจาให้น้อยลง เขาประสานมือแก่ลู่เซิ่ง

“คุณชายเซิ่ง การมาในเที่ยวนี้ ช่วยเหลือกลับไม่ได้ช่วยเหลือแต่อย่างไร เงินข้าไม่เอาแล้ว ภายหลังมีวาสนาค่อยพบกัน”

“นั่นจะได้อย่างไร เต้าจ่างจะทำให้ข้ากล่าววาจาไร้ความน่าเชื่อถือหรือ” ลู่เซิ่งมีสีหน้ากระด้าง กล่าวอย่างจริงจัง

เขาโบกมือ “พวกเจ้า ส่งตั๋วเงินมา!”

ไม่ทันไรก็มีหญิงรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกถือกล่องไม้ใบเล็กประณีตอันหนึ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งรับกล่อง วางลงบนโต๊ะด้านหน้าผู้คน แล้วเปิดออก ด้านในจัดวางตั๋วเงินหนาปึกหนึ่ง

“นี่เป็นค่าเหนื่อยของพวกเต้าจ่าง ครั้งนี้แม้ไม่เกิดเรื่องอะไร แต่มีเต้าจ่างกับคุณหนูจวนเฟิงอยู่ ช่วยตระกูลลู่ข้าตามหาคนที่หายสาบสูญกลับมา ผลงานนี้ควรค่าเอาเงินนี้ไป” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างจริงจังอีกครั้ง

“เช่นนี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว!” ต้วนหรงหรงไม่รอให้เหยียนไคปฏิเสธ ยื่นมือคว้าตั๋วเงินยัดเข้าปากถุงย่าม “พี่สาวจวนเฟิงอีกเดี๋ยวพวกเราออกไปแบ่งกัน!”

จวนเฟิงพลันแสดงสีหน้าอับจน แสดงออกว่าทั้งสามคนคุ้นเคยกันแล้ว

เหยียนไคเห็นดังนั้น ได้แต่ยิ้มหนักใจพร้อมกับประสานมือ

“คุณชายเซิ่งถ้าหากมีความคิดตามหาวิชาสะกดภูตผี สามารถมุ่งหน้าไปยังจงหยวนได้” เขาเว้นครู่หนึ่ง ลังเลเล็กน้อย แล้วกล่าวเสริม

“แต่ข้าขอเตือนท่านประโยคหนึ่ง ก่อนหน้านี้คุณชายเซิ่งฆ่าผีล่อลวงไปตัวหนึ่ง กลิ่นอายยังเหลืออยู่บนร่าง มีความเป็นไปได้ว่าจะดึงดูดเพทภัย ทางจวนม้วนมนุษย์ถ้าหากเจอคุณชาย มีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผีล่อลวงมา คุณชายสามารถใช้เลือดสดใหม่ของแกะตัวผู้ที่ยังไม่เคยผสมพันธุ์มาอาบตัว เช่นนี้ผีล่อลวงจะนึกว่าท่านตายแล้ว ไม่สร้างความลำบากแก่ท่านอีก ถึงแม้วิธีการนี้จะจำกัดที่ผีล่อลวงทั่วไปก็ตาม”

ลู่เซิ่งได้ยิน พลันกระตือรือร้น ประสานมือเอ่ย “ขอบคุณเต้าจ่างที่ชี้แนะ!”

“มิได้ๆ เช่นนี้ ข้าก็ขอลาก่อนแล้ว” เหยียนไคลุกขึ้นประสานมือคำนับตอบ

“เต้าจ่างโชคดี!” ลู่เซิ่งไม่ได้รั้งเขาไว้เช่นกัน

ทั้งสามคนมีเหยียนไคเป็นผู้นำ หมุนตัวเดินออกจากโถงรับแขก ไปยังด้านนอกคฤหาสน์ลู่

ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังมองเงาร่างของทั้งสามคนแต่ไกล ในใจไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร มีความรู้สึกผิดหวังที่อธิบายไม่ได้ ความผิดหวังนี้เหมือนกับโลกที่ตนคิดสัมผัสกำลังออกห่างจากตนไป

จนกระทั่งพวกเหยียนไคจากไปแล้วครึ่งชั่วยามกว่าๆ เขายังคงยืนอยู่ในโถงรับแขก ไม่ขยับเขยื้อน

“คุณชาย” เสี่ยวเฉี่ยวเดินเข้ามาอย่างเหนียมอาย เรียกเขาคำหนึ่ง “สมควรกินข้าวแล้ว”

“อ้อ!” ลู่เซิ่งเหมือนตื่นจากฝัน เงยหน้าขึ้นมองสีท้องฟ้าด้านนอก

เขาจัดแจงเสื้อคลุมเล็กน้อย แล้วติดตามเสี่ยวเฉี่ยวไปยังห้องอาหาร

พอเข้าห้องอาหาร ด้านในมีคนไม่น้อยนั่งเต็มก่อนแล้ว

ลู่เฉวียนอันนั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ด้านข้างถึงกับนั่งไว้ด้วยลุงจ้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่อยู่ ลู่เซิ่งกวาดมองแวบหนึ่ง เห็นอาจารย์สอนวรยุทธ์หลายคนที่ก่อนหน้านี้ไม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันต่างกลับมาหมดแล้ว

“ลุงใหญ่ของเจ้าส่งข่าวมา การปิดเมืองเก้าประสานยกเลิกแล้ว ตอนนี้เข้าออกได้อย่างอิสระ” ลู่เฉวียนอันกล่าวเสียงเบา เพียงแต่ข่าวดีนี้ไม่ได้มอบความรู้สึกที่ดีให้แก่เขา เป็นเพราะที่นั่งด้านข้างเขา ลู่ชิงชิงกำลังนั่งตัวตรง ให้มารดารองหลิวชุ่ยอวี้ป้อนข้าวทีละคำๆ เหมือนกับเด็กน้อยที่ฟังคำ น้ำลายไหลตามมุมปากของนางตลอดเวลา ดูเหมือนไม่มีสภาพคนปกติโดยสิ้นเชิง

คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่มีกะใจกินข้าว การระเบิดครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ บวกกับคนในยุทธภพที่พกดาบพกกระบี่จำนวนมากขนาดนั้นผ่านคฤหาสน์ คนจำนวนมากขนาดนี้ เหตุการใหญ่แบบนี้ ผู้ใดไม่เห็น

ตอนนี้ทุกคนกำลังกังวลใจ

“ข้าวเย็นหมดแล้ว กินเถอะๆ” ลู่เฉวียนอันเห็นทุกคนไม่มีความคิดกิน ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเป็นคนแรก “ลุงจ้าวกลับมาแล้ว บ้านปลอดภัยแล้ว ทุกคน…” เขาพูดไปพูดมา ในใจท้อแท้ อดถอนใจคำหนึ่งไม่ได้

ลุงจ้าวพอเห็น ในใจก็ทั้งจนปัญญาทั้งเจ็บใจ เป็นที่นับถือในตระกูลลู่มาหลายปีเพียงนี้ ในห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดตัวเองกลับไม่อยู่ ถึงแม้จะถูกที่ว่าการเรียกไปอย่างถูกต้อง แต่ว่าให้พวกเขาวนในภูเขาบริเวณใกล้ๆ ที่อยู่ติดทะเลน้ำแข็งทางเหนือรอบหนึ่งแล้วก็กลับ ไม่พบสิ่งใด เรื่องอันใดก็ไม่เกิดขึ้นเช่นกัน

นี่นับเป็นเรื่องราวอะไรกัน

“ในเมื่อการกักกันยกเลิกแล้ว ก็หมายความว่าทุกสิ่งล้วนจบสิ้นแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวประโยคหนึ่ง “ถึงแม้จะจบอย่างเร่งรัด และกะทันหันยิ่ง แต่ในเมื่อจบแล้ว ทุกคนต้องใช้ชีวิตต่อไป จากนี้ให้พวกผู้คุ้มกันป้องกันให้ดี จัดการลาดตระเวนมากๆ”

“พี่เซิ่งพูดถูกแล้ว รีบกินอาหารเถอะ เย็นหมดก็ไม่อร่อยแล้ว…” ลู่อิงอิงที่นั่งบนที่นั่งสนับสนุนเสียงเบาๆ ประโยคหนึ่ง

“พี่เซิ่งๆ อะไร ต้องเรียกพี่ใหญ่ กินกินกิน เจ้ารู้จักแต่กิน!” มารดาห้าที่อยู่ด้านข้างยื่นมือมาคิดตีนาง พอนึกถึงว่าตอนนี้กำลังอยู่บนโต๊ะอาหาร จึงรีบอดกลั้นไว้

ลู่อิงอิงหดคอ ไม่กล้าส่งเสียง

ทุกคนจึงค่อยเริ่มกินอย่างสงบ

กินอาหารเสร็จ ทุกคนไม่มีอะไรคุย ลู่เซิ่งกลับไปฝึกฝนปราณภายในต่อ

เขานั่งบนเตียงในห้อง ปรับลมหายใจหลายชั่วยาม ในที่สุดก็ทำให้พลังกาย ปราณ และจิตบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมที่สุด

‘ดีปบลู!’ เขานึกในใจ

อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน

ลู่เซิ่งมองด้านบนอย่างละเอียด กรอบวิชาทมิฬพิฆาตบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนเป็นสถานะเป็นระดับที่สองแล้ว ขอแค่เพิ่มอีกระดับ ก็จะบรรลุถึงระดับที่สามซึ่งสูงที่สุด

สิ่งที่บันทึกบนคัมภีร์ลับวิชาวรยุทธ์ ระดับชั้นที่สามารถฝึกฝนได้ก็คือระดับสาม ถึงแม้ภายหลังยังมีอีกสองระดับ รวมทั้งหมดห้าระดับ แต่ว่าลู่เซิ่งเคยอ่านสองระดับนั้นมาแล้ว รู้สึกว่าไม่อาจเชื่อมโยงกับก่อนหน้าโดยสมบูรณ์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสิ่งที่คนภายนอกเสริมเข้าไป วิชาเช่นนี้ไม่ใช่ต้นฉบับ เขาเองก็ไม่กล้าฝึกฝนเช่นกัน

เวลานี้เขามองสถานะของวิชาทมิฬพิฆาตบนดีปบลู สงบลมหายใจ ใช้ความนึกคิดกดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างอินเตอร์เฟซ

ทันใดนั้นเครื่องมือปรับเปลี่ยนกะพริบ

‘วิชาทมิฬพิฆาตเพิ่มหนึ่งระดับ!’ ลู่เซิ่งคิดในใจ

ฟุ่บ

เสียงเพิ่งขาด เขาเห็นวิชาทมิฬพิฆาตค่อยๆ พร่ามัว รอตอนชัดขึ้นมาอีกครั้ง ก็กลายเป็นสถานะระดับสามแล้ว

“นี่ก็คือระดับสามหรือ” ลู่เซิ่งรออยู่สักพัก รู้สึกว่าภายในร่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด

เขาศึกษาปราณทมิฬพิฆาตในร่างอย่างละเอียด จึงค่อยพบว่าปราณทมิฬพิฆาตกำลังเข้มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่เชื่องช้าสุดขีด

ถ้าหากว่าก่อนยกระดับเป็นหมอกสีดำ เช่นนั้นตอนนี้หมอกเหล่านี้ก็กำลังกลายเป็นหยดน้ำสีดำอย่างเชื่องช้า

“ดูเหมือนไม่มีสภาพสิ้นเปลืองมากอันใด” ลู่เซิ่งลืมตากล่าวอย่างสงสัย “เป็นเพราะตอนนี้เรา…”

พรู่ด!

ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง อกเสื้อเปื้อนเลือดเป็นสีแดงฉาน ประเดี๋ยวเดียวในห้องมีกลิ่นคาวคละคลุ้ง

รู้สึกว่าทั่วร่างร้อนรุ่มขึ้นมา เขาพลันหัวเราะขื่นขม

‘นึกว่าครั้งนี้ไม่มีปฏิกิริยาซะแล้ว คิดไม่ถึง…’

เขาส่ายหน้า เริ่มสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกภายในร่างกายอย่างละเอียด

วิชาทมิฬพิฆาตบรรลุถึงระดับสาม ทำให้ลู่เซิ่งต้องหล่อเลี้ยงร่างกายเกือบหนึ่งเดือนกว่าๆ อยู่ในบ้าน จึงพอฝืนใช้ชีวิตได้อิสระเหมือนก่อนหน้า วิชากระเรียนหยกในตอนแรกบนตัวเขาช่วงนี้แสดงผลใหญ่หลวง เร่งความเร็วในการรักษาอาการบาดเจ็บบนร่างเขาอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่วันนี้ไป ในเมืองเก้าประสานไม่ได้ยินว่ามีเรื่องลี้ลับอันใดปรากฏขึ้นอีกจริงๆ หลังจากพวกเหยียนไคจากไป ในเมืองเก้าประสานที่อึกทึกกลับราบเรียบเหมือนเดิม ราวกับทุกอย่างเหมือนผันผ่าน

นอกจากลู่ชิงชิงที่ฟั่นเฟือนไปแล้ว

เวลานี้ลู่เฉวียนอันเสนอความคิดที่จะให้ลู่เซิ่งไปยังเมืองเลียบคีรีอีกครั้ง

“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ทางเมืองเลียบคีรีมีอาคารหลังหนึ่งของตระกูลลู่ เจ้าไปอยู่ที่นั่นก่อนได้ การทดสอบประจำปีของปีนี้กำลังจะเริ่มพอดี เสี่ยวเซิ่งเจ้าชอบฝึกวรยุทธ์ สามารถลองทดสอบทำเนียบนักบู๊ดูก็ได้ ภายหลังเป็นขุนนางจะได้สะดวกขึ้น” ลู่เฉวียนอันกล่าว

“ทำเนียบนักบู๊…”

“แน่นอนว่าทำเนียบบุ๋นย่อมดีกว่า ถึงเจ้าไปแล้วแต่ไม่คิดทำอะไรเลยก็ได้ แล้วแต่เจ้าจะจัดการเอง ตระกูลลู่ของเรามีร้านรวงร้านหนึ่งอยู่ที่นั่น เจ้าสามารถดูแลร้านได้ รายได้ทั้งหมดต่างเป็นค่าใช้ของเจ้าคนเดียว” ลู่เฉวียนอันแสดงออกว่าจัดการไว้ดีหมดแล้ว

“เมืองเก้าประสานยังเล็กเกินไป ข้าสมัครที่สถานศึกษาเขาบูรพาให้เจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ ไม่ว่าคิดจะเดินทางบุ๋นหรือทางบู๊ ตัวเจ้าจัดการเองเถอะ” เขาพูดจบ ตนเองก็อดถอนใจไม่ได้ ทุกสิ่งที่เกิดในเมืองเก้าประสานทำให้เขาหมดอาลัยตายอยาก มาตรว่ามีเงินขนาดไหน สิ่งที่สามารถพึ่งพาได้ในห้วงเวลาสำคัญก็มีแค่ตัวเอง

“สถานศึกษาเขาบูรพา…” ลู่เซิ่งเข้าใจความต้องการของบิดาคร่าวๆ แล้ว วิธีการส่งบุตรธิดาไปเล่าเรียนนี้ นับว่าเป็นการไปเรียนต่างประเทศกรายๆ ของที่นี่ มีแต่บ้านคหบดีเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติกระทำเช่นนี้ได้

“เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกับน้องสาวของเขาก็จะไปเช่นกัน บ้านเรามีเจ้ากับอิงอิง อีอีกับเฉินซินไปยังสถานศึกษาอื่น” ลู่เฉวียนอันเอ่ยต่อ

ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ก็พยักหน้ารับคำ

สำหรับเขาแล้วเมืองเก้าประสานเล็กเกินไปจริงๆ เล็กจนตอนนี้แม้แต่วิชาที่แข็งแกร่งกว่าเดิมก็หาไม่เจอ ได้แต่ฝึกฝนวิชาดาบอันดับสามอย่างดาบพยัคฆ์ดำ เมืองเลียบคีรีแตกต่างออกไป ที่นั่นมีคนในยุทธภพที่เก่งกาจกว่า ถ้าหากว่าพรรควาฬแดงเป็นพรรคที่แข็งแกร่งที่สุดแถวนี้จริงๆ อย่างนั้นเมืองเลียบคีรีก็คือที่มั่นของพวกเขา

“เช่นนั้นข้าสมควรออกเดินทางตอนไหน” เขาถาม

ลู่เฉวียนอันคิดเล็กน้อย “เจ้าอยากเดินทางตอนไหนก็ตัดสินใจเองเถอะ ข้าขอให้ลุงใหญ่ หาคนไปส่งเจ้า”

“… ข้าขอไปดูในเมืองก่อนก็แล้วกัน…” ลู่เซิ่งถอนใจ

ในเมืองเขาร่ำเรียนความสามารถกับอาจารย์ไม่น้อย ออกเดินทางในครั้งนี้ พูดถึงมารยาทต้องไปเยี่ยมเยือนบอกกล่าว

ลู่เฉวียนอันพยักหน้าอนุญาต ให้ลู่เซิ่งจัดการ

ลู่เซิ่งพาร่างที่เพิ่งยกระดับปราณภายใน และบาดเจ็บยังไม่หายดีออกจากประตูในเช้าวันที่สอง นั่งรถม้าวนอยู่ในเมืองเก้าประสานรอบหนึ่ง

………………………………………….