บทที่ 36 จากไป (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ในเมืองทุกแห่งหนเป็นสตรี เด็ก และคนชราที่ส่งเสียงร่ำไห้ หลายๆ ที่แขวนผ้าขาว บ้านคนยากจนไม่มีเงินซื้อผ้าขาวมาตรฐาน จึงฉีกเอาผ้าขาวผืนหนึ่งมาแขวน นับว่าเป็นงานศพ

พื้นถนนและสถานที่ไม่น้อยเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ทราบมีอะไรกระแทกใส่จึงเกิดสภาพเช่นนี้

ลู่เซิ่งมองดูระหว่างทางรอบหนึ่ง ตัวเมืองเก้าประสานพอผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็เหลือเพียงครึ่งเดียว

หลังจากเขาดูในเมืองเสร็จ ก็ไปกราบเยี่ยมที่บ้านอาจารย์ซึ่งก่อนหน้านี้เคยฝึกวรยุทธ์ให้เขาทีละคน สิ่งที่ยังดีอยู่ก็คือ อาจารย์เหล่านี้ต่างเป็นคนมีไหวพริบ ปกป้องตัวเองได้ไม่เลว ไม่ประสบโศกนาฏกรรม หลังจากเยี่ยมอาจารย์เสร็จแล้ว เขาก็ส่งตั๋วเงินให้แต่ละคนไม่น้อย แล้วจึงไปตระกูลเจิ้ง

เพียะ

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยปรบมืออย่างหนักหน่วงครั้งหนึ่ง

“พี่เซิ่ง ข้าก็จะไปกับท่านเช่นกัน! ข้ากับอวี่เอ๋อร์ติดตามขบวนบ้านท่านไปด้วย ได้ไหม ท่านย่ามัน นี่เป็นขุนนางเดินทางทหารคุ้มครองส่ง เป็นการปฏิบัติต่อขุนนางระดับนายอำเภอเท่านั้นถึงจะมีได้!”

ลู่เซิ่งหมดคำจะพูด มองตระกูลเจิ้งที่ทั่วบริเวณอาคารมีสีดำสนิท เห็นได้ว่าที่นี่ก็เกิดความยุ่งยากขึ้นไม่น้อย

“แค่เจ้ากับอวี่เอ๋อร์หรือ” เขาถามอย่างไม่ใส่ใจ

“อืม เหมือนกับบ้านของท่าน คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปเมืองอื่น ครั้งนี้บิดามองออกว่าเมืองเก้าประสานนี้เป็นสถานที่อันตราย ต่อให้ภายหลังไม่มีเรื่อง เกิดปรากฏเรื่องราวก่อนหน้าพรรค์นั้นอีก พวกเราอาจไม่โชคดีหลบเลี่ยงเช่นนี้ได้อีก ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่พี่เซิ่งท่านแนะนำหวนหยางจื่อเต้าจ่าง พวกเราตระกูลเจิ้งคงเสียหายสาหัส”

เขาเว้นเล็กน้อย ถอนใจคำหนึ่ง “น่าเสียดายน้องชิงชิง…”

ลู่เซิ่งไร้คำพูด

เงียบงันพักหนึ่ง เขาก็กล่าวต่ออีก “กล่าวแบบนี้ บ้านเจ้าก็ไม่เกิดอะไรเหมือนกันหรือ”

เจิ้งเสี่ยนกุ้ยโดนถามจนนิ่งอึ้ง ลดเสียงมองซ้ายมองเขา กระซิบ “พี่ใหญ่ข้าตายแล้ว…”

“เอาเถอะ… นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าจริงๆ” ลู่เซิ่งหมดคำพูด “เช่นนั้นในเมื่อพวกเจ้าต้องการไปด้วยกันกับข้า ข้าเตรียมจะออกเดินทางพรุ่งนี้ หลังจากนี้เจ้ารีบเตรียมตัว แล้วบอกอวี่เอ๋อร์ด้วย”

“ได้!” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยพยักหน้า คนทั้งสองความจริงจิตใจต่างกระจ่างดี หลังจากเรื่องราวของเมืองเก้าประสานในครั้งนี้ ในใจคนของสองตระกูลมีแผนการย้ายที่อยู่จริงๆ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง คนในยุทธภพเหล่านั้นไม่กล้าเหิมเกริมปานนี้ เพลิงไหม้ครั้งนั้นไม่มีทางเกิดแบบนี้ได้

ออกจากตระกูลเจิ้ง ลู่เซิ่งเริ่มให้เสี่ยวเฉี่ยวเก็บข้าวของ ครั้งนี้เขาออกไปร่ำเรียน สถานศึกษาเขาบูรพาเป็นสถานศึกษาใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเลียบคีรีและหลายๆ เมือง กฎระเบียบค่อนข้างเคร่งครัด นักเรียนทุกคนไม่อนุญาตให้นำหญิงรับใช้ไปด้วย ดังนั้นเสี่ยวเฉี่ยวได้แต่อยู่ในเมืองเก้าประสานไปก่อน

หลังจากเตรียมตัวอย่างฉุกละหุก ลู่เฉวียนอันก็ยัดตั๋วทองหนึ่งหมื่นตำลึงให้ลู่เซิ่งเก็บไว้ และให้เขากับขบวนขุนนางที่มีกองทหารคุ้มครอง ที่เตรียมออกเดินทางแล้ว ออกเมืองไปพร้อมกัน

เพียงแต่ก่อนที่ลู่เซิ่งจะไป ยังได้ยินคร่าวๆ ว่า ซ่งตวนฉื่อข้าหลวงเมืองเก้าประสานคล้ายกับเกิดโรคร้ายขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ป่วยลุกไม่ขึ้น ตอนนี้ใกล้สิ้นลมแล้ว

เขานึกเชื่อมโยงถึงก่อนหน้านี้จวนไข่มุกเกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ ในใจเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นบ่อปลาถูกลูกหลงของเรื่องนี้ ข้าหลวงซ่งผู้นี้ความจริงเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง…

เวลาเดินทางเป็นเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาง…

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในขบวน สีหน้าซีดขาว บนตัวห่มด้วยเสื้อขนจิ้งจอกตัวหนาสีขาว อบอุ่นหรูหรายิ่ง แค่เสื้อขนจิ้งจอกผืนนี้ก็ต้องจ่ายเงินมากกว่าพันตำลึงแล้ว

เขามองเมืองเก้าประสานด้านหลังอย่างสงบ เมืองแห่งนี้ภายหลังเขาอาจไม่กลับมาแล้ว ก่อนจะไปบิดาลู่เฉวียนอันบอกเขาอย่างชัดเจนว่า ต้องการย้ายทั้งตระกูลไปยังเมืองใหญ่

“พี่เซิ่ง เป็นไรแล้ว” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกับเจิ้งอวี่เอ๋อร์ที่แก้มแดงเรื่อยืนอยู่ด้านข้าง

“ไม่มีใด เพียงแต่สะท้อนใจอยู่บ้าง…แค่กๆ…” ลู่เซิ่งเริ่มไออีกแล้ว ครั้งนี้เขาฝืนฝึกวิชาทมิฬพิฆาต กระทบถึงปราณหยางในปอด บวกกับกินยาธาตุเย็นบำรุงหยินมากไปแล้ว จึงทนทานไม่ไหวอยู่บ้าง

“กลับขึ้นรถม้าก่อนเถอะ พวกเขาเตรียมออกเดินทางแล้ว คุณชายเซิ่ง” เหล่าหนิวหัวหน้าทหารที่นำขบวนขุนนางในเที่ยวนี้เดินเข้ามาบอก

ลู่เซิ่งพยักหน้า มองเมืองเก้าประสานเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหมุนตัวเดินนำขึ้นรถม้าคันหนึ่ง

“ไปเลยๆ! ทุกคนไปเลย!” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยรีบตะโกน เขารอจนทนไม่ไหวมานานแล้ว

เมืองเลียบคีรี เดือนสอง

กลิ่นอายวสันต์เต็มเปี่ยม ป่าไม้ผืนใหญ่ในฤดูใบไม้ผลินอกเมืองเลียบคีรีค่อยๆ เปลี่ยนกลับกลายเป็นสีแดงราวเพลิงผลาญเมฆ ดอกไม้สีแดงนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลง ร่วงแล้วก็ผลิใหม่ กระจายตัวคลุมต้นไม้และบนพื้นให้กลายเป็นสีแดง

ริมแม่น้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งทางเมืองทิศใต้ของเมือง ภายในศาลาแปดเหลี่ยมสีขาวแห่งหนึ่งกำลังนั่งด้วยนักศึกษาที่แต่งกายเรียบร้อยหลายคน

นักศึกษาเหล่านี้แต่ละคนสวมเสื้อคลุมสีขาวอมเทา ผมที่ยาวต่างใช้ผ้าดำมัดไว้ มือถือพัดที่มีลักษณะรูปแบบเหมือนกัน

“พี่ลู่ พี่ลู่”

เสียงกระตือรือร้นเล็กน้อยเสียงหนึ่ง ดึงให้ลู่เซิ่งกลับมาจากอาการเหม่อลอย

เขาหันหน้าไป ละสายตาที่มองดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิในป่าเขา หันมามองดูคนหลายคนในศาลาข้างๆ ตัว

คนที่เรียกเขาคนนั้นชื่อซ่งเจิ้นกั๋ว มาจากเมืองทางเหนือมาร่ำเรียนเหมือนกันกับเขา บ้านคนผู้นี้ร่ำรวย กินดื่มเล่นสนุกจนช่ำชองตั้งแต่เด็ก ขณะเดียวกันหน้าตาก็ค่อนข้างหล่อเหลา มักรวมกลุ่มกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันออกมาเที่ยวแถวชานเมือง

ซ่งเจิ้นกั๋วเป็นคนที่เจิ้งเสี่ยนกุ้ยแนะนำให้ลู่เซิ่งรู้จัก คนที่กำลังนั่งอยู่ ส่วนใหญ่เป็นคนบ้านเดียวกันกับเขา เป็นนักศึกษาที่ออกมาจากเมืองทางเหนือ ครั้งนี้ออกเดินทางท่องเที่ยว ย่อมชุมนุมกันเป็นกลุ่มก้อน

“พี่ซ่ง ขออภัยๆ เหม่อไปชั่วขณะ” ลู่เซิ่งยิ้มๆ

นับตั้งแต่ส่งพวกเหยียนไคไปครั้งก่อน จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว

ในครึ่งปีนี้ เขาจากเมืองเก้าประสานมายังเมืองเลียบคีรี เร่งรุดมาตลอดทาง ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว ไม่เจอเรื่องผิดปกติใดๆ อีก

ความปลอดภัยของเมืองเลียบคีรีดียิ่งด มีกองทหารเฟยเหลียนผลัดเวรยามตรวจตราทุกสภาพอากาศ รัศมีสิบกว่าลี้ จนไม่ต้องปิดบ้านในยามวิกาล เทียบกับเมืองเก้าประสานแล้ว หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน

ที่นี่ไม่มีเพทภัย ไม่มีผีล่อลวง แม้แต่คดีคนตายก็มีไม่มาก ในเมืองนอกเมืองประชาชนสวมใส่เสื้อผ้าสภาพสมบูรณ์ ไม่เหมือนในเมืองเก้าประสานที่ขาดรุ่งริ่ง

เขามาที่นี่ได้ไม่นาน ก็เจอสถานศึกษาเขาบูรพาพร้อมกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยสองพี่น้อง จัดการขั้นตอนเข้าเรียนเรียบร้อย จากนั้นเข้าเรียนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว

ในสามเดือนนี้ ลู่เซิ่งฝืนฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการยกระดับวิชาทมิฬพิฆาตเมื่อก่อนหน้าอย่างยากลำบาก ร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟู

ได้สติกลับมา ลู่เซิ่งมองคนหลายคนในศาลา

นักศึกษาเหล่านี้กำลังเล่นการละเล่นที่คล้ายๆ จอกสุราลอยไหล

เอาจอกสุรามาเติมสุราจนเต็ม ให้บ่าวรับใช้วางลงไปในลำธารต้นน้ำ จากนั้นนักศึกษาก็รออยู่ในศาลา มองดูจอกสุราถูกน้ำพัดมา หยุดอยู่หน้าผู้ใด ผู้นั้นจำเป็นต้องดื่มสุราจอกนี้ ทั้งต้องตอบคำถามส่วนตัวที่ทุกคนถามหนึ่งข้อ

ในศาลา นอกจากซ่งเจิ้นกั๋วแล้ว ยังมีนักศึกษาอีกห้าหกคน ต่างเป็นลูกหลานพ่อค้า อีกด้านหนึ่งมีสตรีสองนาง สวมกระโปรงขาวและกระโปรงน้ำเงิน นั่งมองทุกคนเล่นอยู่ด้านข้าง พอได้ยินสิ่งน่าสนใจ ก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ ตลอดเวลา

ในสตรีทั้งสองมีคนหนึ่งเป็นคนบ้านเดียวกันกับพวกเขา หน้าตางามพริ้ง

สตรีอีกคนที่ลักษณะเหมือนหยกในตระกูลเล็ก ปากน้อยดั่งอิงเถาเรียกว่าเฉินอวิ๋นซี กลับเป็นคนท้องถิ่นในเมืองเลียบคีรี

เฉินอวิ๋นซีหน้าตาเรียกได้ว่าธรรมดา นางแม้ไม่มีใบหน้ารูปไข่งดงามอย่างนักศึกษาหญิงจำนวนไม่น้อยในสถานศึกษา แต่ผิวพรรณขาวผ่อง เป็นหนึ่งในสตรีที่มีรูปร่างดี ขายาวเอวคอดโดดเด่นเป็นพิเศษ

แต่เงื่อนไขเช่นนี้สำหรับคนในสังคมแบบนี้เพียงนับว่าธรรมดา มองจากมุมมองของลู่เซิ่ง โดยเฉพาะขายาวทั้งสองคู่ เรียกได้ว่ากระชับแน่น โครงสร้างสมบูรณ์แบบไม่สามัญ

น่าเสียดาย คนที่นี่ต่างไม่ชอบคนขายาว แต่ชอบประเภทร่างกายเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม โดยเฉพาะขาไม่อาจยาวเกินไป

ดังนั้นสตรีงามในสายตาของลู่เซิ่งอย่างเฉินอวิ๋นซี จึงกลายเป็นรูปโฉมกลางค่อนข้างต่ำ ที่คนที่นี่ไม่ได้ให้ความสนใจ

คิดถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าสายตาของเฉินอวิ๋นซีมองอยู่บนร่างตนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครั้ง เขาอดหัวเราะฝาดเฝื่อนในใจไม่ได้

เขาเพียงคุยเล่นกับอีกฝ่ายสองสามประโยค ยังเป็นเพราะมีการแนะนำของซ่งเจิ้นกั๋ว คิดไม่ถึงว่าเพียงคุยกัน ก็ถูกชะตากับสตรีนางนี้อย่างเหนือความคาดหมาย สองคนคุยกันหลายหัวข้อ ไม่ทันไรก็กลายเป็นสหายสนิทต่างเพศ น่าเสียดายทิวทัศน์งามอยู่ไม่นาน ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร สายตาที่เฉินอวิ๋นซีมองเขาค่อยๆ ไม่เหมือนเดิมแล้ว ในนี้ปรากฏรสชาติที่ไม่ถูกต้องส่วนหนึ่ง

สายตาของเฉินอวิ๋นซีอยู่บนร่างลู่เซิ่งตลอดเวลา ประกายในดวงตาของนางไม่ว่าใครล้วนมองออก

“พี่ลู่ สายตาของอวิ๋นซีอยู่บนตัวท่านตลอดเลยนา” นักศึกษาคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างหยอกล้อ

“สาวงามชมชอบ ทุกท่านว่าสมควรปรับหนึ่งจอกหรือไม่!” อีกคนหนึ่งโห่

“แม่นางอวิ๋นซีคนสง่างามจิตใจดี สมบัติตระกูลหมื่นก้วน บิดาเป็นคหบดีของเมืองเลียบคีรีไปจนถึงสิบกว่าเมืองใกล้ๆ พี่ลู่ถ้าหากไม่รีบคว้าโอกาส เกรงว่าจะเสียโอกาสอันดีแล้ว!” ซ่งเจิ้นกั๋วกระซิบข้างหูลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งส่ายหน้า ภายใต้การโห่ของทุกคน หยิบสุราจอกหนึ่งจากในน้ำขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด

ดื่มเสร็จเขาก็แสดงก้นจอกให้ทุกคนดู

การเคลื่อนไหวของเขาสง่างาม หน้าตาไม่แย่ บวกกับแตกต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆ ร่างกายเรียกได้ว่าแข็งแรงกำยำ เป็นเพราะวรยุทธ์แข็งแกร่ง ฝึกทั้งกำลังภายใน กำลังภายนอก ประกายในดวงตายิ่งกระจ่าง เพียงเห็นก็ทำให้คนตราตรึงในภาพทรงจำ

ดังนั้นถึงเขามาจากเมืองเล็กๆ ติดชายขอบอย่างเมืองเก้าประสาน ลำดับศักดิ์เทียบกับคหบดีในเมืองทางเหนือจำนวนมากไม่ได้ ท่วงท่าบุคลิกกลับเป็นคนหนึ่งที่โดดเด่นที่สุด

ภายใต้การโห่ร้องของทุกคน และด้วยการผลักคลื่นเสริมกระแสของซ่งเจิ้นกั๋ว ลู่เซิ่งก็ถูกจัดให้นั่งด้วยกันกับเฉินอวิ๋นซีอย่างรวดเร็ว

สตรีของสังคมแห่งนี้ส่วนใหญ่เปิดเผย ขอแค่ไม่ใช่เปิดเผยมากเกินไปเหมือนตวนมู่หว่าน ทุกคนไม่มีสายตาผิดปกติอันใด

เฉินอวิ๋นซีพูดกับสตรีที่เป็นเพื่อนสนิทเบาๆ สองสามประโยค ค่อยนั่งลงครู่หนึ่ง ไม่ทันไรก็ถูกคนยุยง โดน ‘ไล่’ ออกจากศาลาพร้อมกับลู่เซิ่ง

สองคนเดินเล่นอย่างช้าๆ บนพื้นหญ้าใกล้ๆ มีพื้นที่สำหรับอยู่ตามลำพังส่วนหนึ่ง

เวลาเช้าตรู่ วิหคร้อง บุปผาหอม ดอกไม้ต้อนรับวสันต์ทั่วป่าเขาย้อมทั้งเขาเป็นเมฆแดงงดงาม

“พวกเขา… มักชมชอบก่อกวนเช่นนี้” เฉินอวิ๋นซีใช้ตาโตทั้งสองข้างมองลู่เซิ่งโดยไม่อำพรางแม้แต่น้อย พวกเขาถูก ‘ไล่ออกมา’ เช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก

ทั้งสองทอดน่องบนพื้นหญ้าเขียวขจี ผ่านเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง ปิดบังสายตาที่มองมาตลอดเวลาของผู้คน

ลู่เซิ่งมองเฉินอวิ๋นซีที่อยู่ข้างกาย นางสวมชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง ชายกระโปรงเพียงปิดขาอ่อน เผยหัวเข่า ยังใช้รองเท้ายาวคู่หนึ่งอำพรางน่องขาวที่โผล่ออกมา เอวบาง หน้าอกตูม สองขาเรียวยาว ผมตกถึงเอว เพียงเห็นก็ทำให้เขานึกถึงคำศัพท์จำพวกจันทร์สารท กล้วยไม้ขาว และบริสุทธิ์

“พวกเขามีเจตนาดี” ลู่เซิ่งยิ้มๆ เขาไม่ใช่วิญญูชนจอมปลอม และไม่ใช่คนที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีเด็กสาวงดงามตามจีบด้วยตัวเอง ทั้งตัวเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน เขาเองก็ไม่ขัดจิตใจ มีความคิดปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ

โดยเฉพาะเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ทั้งๆ ที่ส่วนที่ดีที่สุดคือขายาว ในสายตาของคนที่นี่กลับกลายเป็นส่วนที่แย่ที่สุด คิดถึงตรงนี้เขาก็เสียดายอยู่บ้าง

………………………………………….