ตอนที่ 38 หลินจิ่นเซวียนทำให้คณะบริหารตกตะลึง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“อ๊ะ ไม่สิ” ลู่จ้าวอิ่งร้องแย้งเหมือนเพิ่งตั้งสติได้ “ฉันว่าเธอเหมือน…” 

 

 

เขาครุ่นคิดและจู่ๆ ก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ “เหมือนแม่ของฉัน นายน้อยเจวี้ยน!” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคิดเช่นนั้นและไม่ได้อธิบายอะไรให้นายน้อยเจวี้ยนฟังอีก เขาอาจบินไปทำเหมืองที่แอฟริกาเย็นนี้ก็ได้ 

 

 

ถึงเขาจะพูดว่าเธอเหมือนแม่ของเขาออกมาแบบนั้น แต่ลู่จ้าวอิ่งก็นึกไม่ออกว่ารู้สึกคุ้นๆ ตรงไหน 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองเขาเงียบๆ สายตาของเขาเฉียบแหลม แต่สมองของลู่จ้าวอิ่งเหมือนจะระเบิดให้ได้ 

 

 

เขาล้างชามอาหารที่ทั้งสามกิน “งั้น…นายน้อยเจวี้ยน ฉันต้องล้างจานไหม?” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนหลบสายตาและพยักหน้า 

 

 

อารมณ์ของเขาบรรยายออกมาไม่ได้และลู่จ้าวอิ่งต้องถอนหายใจไล่ความเครียดอยู่ในครัว เขายังไม่เลิกคิดหาความคล้ายคลึงกัน 

 

 

** 

 

 

ตระกูลหลิน 

 

 

ฉินอวี่ฝึกซ้อมไวโอลินในช่วงสองวันนี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับทำนองเพลง 

 

 

หลินหว่านอาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง ฉินอวี่รู้สถานะบ้านแม่สามีในปักกิ่งของป้าเธอดี แถมตระกูลหลินยังนับว่าเป็นตระกูลเศรษฐีในยุนเฉิง พวกเขาไม่ควรพูดถึงเรื่องในปักกิ่ง 

 

 

เมื่อเธอได้รับโอกาสนี้ ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องฉวยมันไว้ หลังกลับจากโรงเรียน ฉินอวี่รีบกินอาหารและขลุกอยู่ในห้องไวโอลินทั้งวัน 

 

 

ที่ชั้นล่าง วันนี้หลินจิ่นเซวียนกลับมาดึกและไม่เห็นฉินอวี่กินข้าวอยู่ 

 

 

หนิงฉิงยิ้มอย่างเริงร่า “อวี่เอ๋อร์ซ้อมไวโอลินอยู่ เดี๋ยวฉันค่อยเอาอาหารไปให้ ช่วงนี้เธอเก่งขึ้นเยอะเลย” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนไม่ได้คาดหวังจะให้เธอซ้อมหนักขนาดนี้ แต่เขาได้ยินหลินหว่านพูดถึงครูในปักกิ่ง ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ 

 

 

หลังกินอาหารเสร็จ เขาขึ้นไปที่ห้องอ่านหนังสือที่ชั้นสอง ประตูห้องเปียโนเปิดอยู่ เมื่อเขาเดินผ่านห้องไวโอลินก็ได้ยินเสียงต่ำๆ ดังมาจากด้านใน 

 

 

เขาเคยได้ยินเสียงไวโอลินของฉินอวี่ แต่เขาไม่เคยได้ยินทำนองแบบนี้มาก่อน 

 

 

เขาหยุดชะงัก 

 

 

ฉินอวี่วางไวโอลินลงก่อนเงยหน้ามาเห็นหลินจิ่นเซวียนยืนอยู่นอกประตู เธอดูประหลาดใจนิดๆ “พี่? ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนกดโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า คลี่ยิ้มนิดๆ แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อวี่เอ๋อร์ เล่นไวโอลินเก่งขึ้นเยอะเลยนะ แค่…อย่าใช้อารมณ์เยอะนักและซ้อมเยอะๆ ล่ะ” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนเล่นไวโอลินมาตั้งแต่เด็กๆ 

 

 

เพราะหลินจิ่นเซวียนเก่งดนตรี เขาจึงไม่ค่อยชมเธอนัก หากเธอถาม อย่างมากเขาก็แค่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ใช้ได้”  

 

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่หลินจิ่นเซวียนชมเธอ 

 

 

ฉินอวี่เม้มปากก่อนคลี่ย้ม “ขอบคุณค่ะพี่ เพลงนี้ฉันแต่งเอง แต่ก็ยังต้องแก้ไขอีก ถ้าพี่มีเวลาฉันขอถามได้ไหม” 

 

 

“เธอแต่งเองเหรอ” หลินจิ่นเซวียนแปลกใจเล็กๆ เพลงนี้ดูทั้งเย็นชาและมืดมน แถมโครงสร้างของเพลงก็ดูอลังการไปหน่อย ไม่เหมาะกับฉินอวี่เลย 

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า “ต้องแก้อีกหน่อยน่ะ” 

 

 

“เธอต้องเปลี่ยนเพลง รูปแบบเพลงนี้ไม่เหมาะกับเธอ เอาโน้ตเพลงมานี่ เดี๋ยวฉันดูให้” หลินจิ่นเซวียนมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ “แต่มันน่าประทับใจนะ” 

 

 

สุดท้ายเขาก็อดชมเธอไม่ได้ 

 

 

ฉินอวี่เอียงคอแล้วยิ้ม 

 

 

 

 

 

** 

 

 

วันรุ่งขึ้น 

 

 

ในห้องที่สองตอนเช้าฉินหร่านมาเป็นเพื่อนหลินซือหรานและเนี่ยเฟยไปเอาชอล์กสี 

 

 

ไม่ค่อยมีเด็กมัธยมปลายที่อาสาอยากจัดบอร์ดนัก แต่วันอังคารถึงวันพุธเป็นเวลาที่คนแน่นมาก หลินซือหรานจึงให้เนี่ยเฟยมาเป็นเพื่อน 

 

 

เนี่ยเฟยรับหน้าที่วาดภาพและเวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกที 

 

 

หลินซือหรานพาฉินหร่านไปด้วย 

 

 

ขณะที่ไปเอาชอล์กสี หลินซือหรานอยากให้ฉินหร่านไปด้วย 

 

 

อู๋เหยียนเองก็ไปที่ห้องพักครูเพื่อเอารายงานวิชาภาษาอังกฤษ 

 

 

จึงกลายเป็นว่าฉินอวี่ถือรายงานวิชาเคมี เพราะงั้นอู๋เหยียนจึงรอฉินอวี่เพื่อจะเดินไปพร้อมกัน 

 

 

เมื่อทั้งสองเดินมาถึงทางเดินก็เจอกับฉินหร่านและหลินซือหรานที่ชั้นล่างกำลังเดินจากตึกเรียนไปยังตึกห้องพักครู ระหว่างนั้นก็มีนักเรียนชายปีสองส่งจดหมายรักให้เธอ 

 

 

 

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้และการที่เฉียวเชิงมาหาเธอ ฉินหวี่ก็เม้มปากแน่นและถามออกไปเหมือนไม่สนใจไยดีนัก “เฉียวเชิงกับเด็กใหม่ห้องเธอเป็นอะไรกัน” 

 

 

“ฉินหร่าน?” สีหน้าก็อู๋เหยียนดูสับสนเมื่อเอ่ยถึงชื่อนั้น “เฉียวเชิงปกป้องเธอเอามากๆ ไมมีใครในชั้นกล้าแหย็มกับฉินหร่าน” 

 

 

จากเรื่องโหลลูกอมยักษ์ล่าสุดไปจนเรื่องเฉียวเชิงพยายามทำให้เจี่ยงหันและคนอื่นๆ ในห้องสามทับเก้าไม่กล้าแม้แต่จะพูดถึงฉินหร่าน 

 

 

“โอ๊ะ” ฉินอวี่คาดเดาได้และไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากนัก 

 

 

เธอไม่สนิทกับเฉียวเชิงและรู้จักเขาผ่านสวีเหยากวงเท่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเฉียวเชิงยังคงตามสวีเหยากวงต้อยๆ แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทเศรษฐรีรุ่นที่สอง 

 

 

ฉินอวี่รู้จักเฉียวเชิงผ่านสวีเหยากวง 

 

 

ในตอนนั้นเธอไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเงียบเฉย 

 

 

อู๋เหยียนเห็นว่าฉินอวี่ยังมองฉินหร่านและคนอื่นๆ จึงก้มหน้ามุ่ยๆ ลง เสียงของเธอประชดประชันพอๆ กับคำพูด “นั่นบอร์ดที่ไม่มีใครอยากทำของชั้นเรา ครูเกาเห็นว่าหลินซือหรานกับเนี่ยเฟยวาดรูปเป็น ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉินหร่านถึงมาด้วย ยายนั่นทำอะไรเป็นด้วยเหรอ คำพูดคำจาก็ไม่ได้เรื่อง หวังว่ายายนั่นจะไม่ทำบอร์ดของเราพังนะ” 

 

 

ฉินอวี่ฟังเงียบๆ ขณะครุ่นคิดไปด้วย 

 

 

มีเวลาสองวันในการทำบอร์ดและธีมแรกนั้นเกี่ยวกับ “การสอบเข้ามัธยมปลาย” 

 

 

หลินซือหรานเขียนบทความได้ดี เธอมักจะใช้เวลาว่างเขียนบทความ 

 

 

เนี่ยเฟยเองก็วาดรูปเช่นกัน 

 

 

ในวันอังคารหลินซือหรานใช้เวลาพักกลางวันอ่านหนังสือและมีคาบที่ต้องศึกษาเองในชั้นด้วยเช่นกัน เธอรับหน้าที่เขียนแทบทุกอย่างและเว้นที่ว่างไว้ให้เนี่ยเฟยวาดรูป 

 

 

วันพุธเวลาเที่ยง เนี่ยเฟยวาดรูปเพิ่มเติมและรอเวลาอ่านหนังสือตอนกลางคืนเพื่อทำส่วนที่เหลือ 

 

 

พวกเธออ่านหนังสือกันตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม สี่ชั่วโมงก็มากพอแล้ว 

 

 

เมื่อจบคืน บอร์ดเกินกว่าครึ่งยังคงว่างเปล่า 

 

 

ฉินหร่านนั่งพลิกหน้าหนังสือบนม้านั่ง เธอนั่งพิงกำแพงและเอามือเท้าคางอย่างเฉื่อยชาอยู่ตรงนั้นเพื่อรอหลินซือหรานกลับออกมา 

 

 

ก่อนที่ทั้งสองจะกลับออกไปก็เห็นเนี่ยเฟยเดินผ่านมา 

 

 

หลินซือหรานวางรายงานวิชาคณิตศาสตร์ลงและดูเริงร่ามาก “เนี่ยเฟย รอฉันด้วย ฉันจำเสร็จแล้วเนี่ย” 

 

 

สองวันถัดมา เธอกินมื้อค่ำกับเนี่ยเฟย 

 

 

 

 

 

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอเห็นเนี่ยเฟยก้มตัวลงด้วยความรู้สึกผิด “ซือหราน ฉินหร่าน ฉันขอโทษนะ ฉันคงช่วยทำกระดานข่าวไม่ได้แล้ว มีคนแจ้งฉันว่ากรรมการนักเรียนต้องทำบอร์ดแจ้งข่าว ฉันเลยต้องไปทำตรงนั้นแทน” 

 

 

เนี่ยเฟยเป็นคณะกรรมการนักเรียนฝ่ายศิลปะกรรมซึ่งต้องไปทำงานสำคัญ 

 

 

หลินซือหรานรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เธอจึงฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไร” 

 

 

เมื่อเนี่ยเฟยผละไป เธอนั่งเศร้าสร้อยบนเก้าอี้พลางจ้องมองโปสเตอร์ว่างๆ “อ๊ากกก หร่านหร่าน เราจะทำยังไงกันดี” 

 

 

ถ้าเนี่ยเฟยบอกเธอตั้งแต่เมื่อวาน หลินซือหรานคงหาคนมาทำแทนไปแล้ว 

 

 

แต่นี่ก็ดึกแล้ว บางคนก็ไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนและไม่ได้เรียนคาบศึกษาด้วยตัวเอง หลินซือหรานจึงหาคนมาแทนไม่ได้ 

 

 

หลินซือหรานหงุดหงิดใจ มีเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าเดินเข้ามาหาแล้วพูดเสียงเบา 

 

 

“ซือหราน เธอไปทำอะไรให้ฉินอวี่ไม่พอใจหรือเปล่า” เด็กผู้หญิงคนนั้นกระซิบ 

 

 

หลินซือหรานส่ายหัวอย่างแรง เธอเตือนฉินหร่านก่อนหน้านี้แล้วว่าฉินอวี่เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งด้วย แล้วเธอจะไปทำผิดพลาดอย่างนั้นได้ไง “จะไปทำอะไรล่ะ” 

 

 

“งั้นฉันก็ไม่รู้แล้ว” เด็กผู้หญิงคนนั้นจ้องหลินซือหราน “ตอนกลางวันที่ฉันเดินไปตึกเรียน ฉันเห็นฉินอวี่ขอร้องเนี่ยเฟยให้ช่วยวาดโปสเตอร์ติดบอร์ดคณะกรรมการนักเรียน” 

 

 

ฉินอวี่มาจากตระกูลดีและมีผลการเรียนที่ดี เมื่อเทียบกับหลินซือหรานแล้วก็ไม่แปลกที่เนี่ยเฟยจะไปช่วยฉินอวี่แทน 

 

 

ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจ แต่หลินซือหรานก็ไม่พอใจ ในเมื่อเธอหาคนมาช่วยจัดบอร์ดไม่ได้ เธอก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง 

 

 

ฉินหร่านเก็บกระเป๋ามือถือไว้ในกระเป๋ากระโปรง เธอลุกขึ้น ยืนเคาะโต๊ะด้วยใบหน้าบึ้งตึง เงาทาบทับใบหน้าของเธอจนมองไม่เห็นสีหน้า “ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ” 

 

 

เสียงของเธอแผ่วเบา 

 

 

วันนี้หลินซือหรานไม่อยู่ในอารมณ์สนุกสนาน เธอจึงเดินไปยังโรงอาหารอย่างเศร้าสร้อย 

 

 

โรงอาหารอยู่ไกลจากตึกเรียน 

 

 

มันต้องใช้เวลาเดินถึงสิบนาที 

 

 

สวีเหยากวงกินมื้อค่ำกับอาจารย์ใหญ่สวีในตอนกลางคืน เขาไม่ได้ไปโรงอาหารและกลับมาที่ชั้นเรียนเพื่อเอาแจ็กเกต 

 

 

วันนี้ประตูชั้นเรียนไม่ได้ล็อก เขาดึงกุญแจออกมาและเดินไปที่ประตูหน้า ประตูหน้าเปิดอยู่ ทันทีที่เขาเอื้อมมือไปที่ประตูก็เห็นคนยืนวาดอะไรขยุกขยิกอยู่ที่หน้ากระดาน 

 

 

สวีเหยากวงหยุดชะงักไม่ไกลจากประตูอย่างไม่รู้ตัว พลางหรี่ตามองอย่างเยือกเย็น