ตอนที่ 39 ดูสิ! ดูข้างหลังสิ!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

สวีเหยากวงรู้ว่าบอร์ดนี้ต้องจัดองค์ประกอบใหม่ เขายังอยู่ในคณะกรรมการและจะส่งมอบตำแหน่งของเขาในเทอมหน้า วันพรุ่งนี้เช้าเขาจะต้องให้คะแนนสมาชิกหลายคนในคณะกรรมการนักเรียน 

 

 

สวีเหยากวงมองไปที่ตัวอักษรเข้มๆ บนกระดานดำ ลายเส้นเรียบง่าย ไหลลื่นและมีตัวการ์ตูนอยู่ พวกมันดูสดใสราวกับมีชีวิตอยู่บนกระดาน 

 

 

สวีเหยากวงรู้สึกว่าตัวการ์ตูนดูคุ้นตา แต่นึกว่าออกว่าเป็นใคร 

 

 

ตัวการ์ตูนอื่นดูเหมือนจะวาดแบบเร็วๆ และดูคุ้นตาเช่นกัน ตัวการ์ตูนพวกนี้ถูกวาดออกมาไวๆ 

 

 

สีสันก็ดูจัดจ้านด้วย 

 

 

คนวาดต้องมีฝีมือในการวาด 

 

 

สวีเหยากวงไม่คิดว่าจะเห็นทักษะการวาดภาพเช่นนี้ในโปสเตอร์ 

 

 

คนที่กำลังวาดหันหลังให้เขา เธอเอนตัวไปด้านข้าง สวมหูฟังสีดำและสายหูฟังก็แกว่งไกลเล็กน้อยยามเธอขยับ 

 

 

เธอถอยหลังออกมาและดูเหมือนกำลังพิจารณาตัวการ์ตูนที่ตนวาด  

 

 

สวีเหยากวงยืนอยู่หน้าห้องเป็นเวลานาน เมื่อเขาถอยหลัง เขาก็เห็นเธอหันหน้ามาพอดี 

 

 

อีกอย่างเหม่อลอยและใช้มืออีกข้างเล่นสายหูฟัง ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็ถือชอล์กไว้ เธอดูชอบใจในภาพวาดของตัวเอง 

 

 

เธอค่อยๆ ทอดสายตาอย่างช้าๆ  

 

 

หัวใจของสวีเหยากวงเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

ต้องเป็นฉินหร่านแน่ 

 

 

 

 

 

เท่าที่เขารู้เกี่ยวกับฉินหร่านคือเธอเกรดไม่ดีและไม่ชอบเรียนหนังสือ คำพูดของเธอเหมือนเด็กประถม และระหว่างเรียนก็ชอบนอนบนโต๊ะเรียน ไม่ก็ถือหนังสือนอกหลักสูตร 

 

 

เธออ่านทุกอย่าง นิยาย หนังสือแปลและนิตยสาร 

 

 

ทุกคนในห้องสามทับเก้าต่างก็รู้กันดี 

 

 

สวีเหยากวงถอยหลัง เขาเม้มปากและมองไปที่ฉินหร่านขณะที่เธอหันมาหาชอล์ก แทนที่เขาจะเข้าไปหยิบเสื้อคลุม เขาแอบมองฉินหร่านและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“ทำไมถึงได้นานนัก” สวีเหยากวงเห็นรถสีดำจอดอยู่ริมถนนข้างโรงเรียน เขาจึงเดินขึ้นรถไป ทั้งสองไปยังโรงแรมเอ็นหยู และอาจารย์ใหญ่สวีก็ลอบมองเขา  

 

 

สวีเหยากวงหันหลังไปกระซิบ “ผมกลับไปเอาของที่ลืมไว้ในห้อง” 

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร 

 

 

ในตอนแรกเขาไม่ได้นั่งลงแต่มองเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ ประธานสวี เขาอึ้งไปสักพักก่อนค่อยๆ เอ่ยปาก “นายน้อยเจวี้ยน? นายน้อยลู่?” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนถือถ้วยชาในมือและนิ้วยาวๆ ของเขาดันฝาถ้วยเพื่อเปิดออกอย่างสบายๆ และเฉื่อยชา 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่ชอบดื่มชาและออกจะประหลาดใจที่เจอเขา เขาเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ยักรู้ว่านายน้อยสวีก็อยู่ในยุนเฉิงด้วย” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนยังไม่แก่ แต่เขาก็เป็นลูกชายคนโตของนายท่านเฉิงและถือว่าอาวุโสมากที่สุดในปักกิ่ง เพราะงั้นทุกคนที่รู้จักเขาจึงเรียกเขาว่านายท่านเจวี้ยน 

 

 

“ผมเป็นคนบอกให้เขาย้ายมาที่นี่เอง” อาจารย์ใหญ่สวีให้พนักงานเสิร์ฟทำงานและยิ้มนิดๆ 

 

 

ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ เฉิงเจวี้ยนจึงแค่พยักหน้าและไม่ได้ขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของพวกเขา 

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากกินอาหารหมดไปครึ่ง เฉิงเจวี้ยนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และวางมือบนโต๊ะ “ผู้อาวุโสสวี ผมได้ยินข่าวลือจากโรงเรียนว่าคุณให้การรับรองสาวน้อยคนนึง”  

 

 

“ใช่แล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีหัวเราะและทอดสายตาออกไป “ไม่ใช่แค่คนเดียว” 

 

 

“ไม่ใช่แค่คนเดียวเหรอ” เฉิงเจวี้ยนเขี่ยถ้วยและเลิกคิ้วขึ้น  

 

 

“มาคุยเรื่องนี้กันเถอะ” อาจารย์ใหญ่สวีส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดมากกว่านี้อีกแล้ว  

 

 

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่ลู่จ้าวอิ่งอดใจไม่ไหว เขาจิบไวน์และเอ่ยปากถาม “ผู้อาวุโสสวี ใครคือผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่คุณพูดถึงคราวก่อน” 

 

 

ผู้อาวุโสสวีส่ายหัวแทนคำตอบ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกคันยุบยิบในใจเหมือนโดนลูกแมวข่วนและสงสัยอย่างมาก แต่เมื่อผู้อาวุโสสวีไม่อยากบอก เขาก็จะไม่บังคับเช่นกัน  

 

 

สวีเหยากวงเอาแต่กินและไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนา 

 

 

เมื่อลู่จ้าวอิ่งพูดถึงผู้สืบทอดของตน เขามองไปที่ผู้อาวุโสสวีทันที เขาเม้มปากอย่างไม่เชื่อใจ กำหมัดที่ซีดเซียวของตนเอาไว้ 

 

 

หลังกินเสร็จ ผู้อาวุโสสวีและนายน้อยสวีกลับออกไปก่อน  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งอยู่กับเฉิงเจวี้ยนสักพัก 

 

 

ผู้จัดการหวังหยิบกล่องข้าวมาและลู่จ้าวอิ่งหยิบไป ชายทั้งสองคนลงลิฟต์มาด้วยกัน  

 

 

หลินจิ่นเซวียนเดินเข้าประตูมาพร้อมกับเฟิงฉือ ทั้งสองอยากคุยกัน ดูเหมือนว่าหลินหว่านและหลินฉีเองก็อยากเชิญเฟิงฉือมากินมื้อค่ำ 

 

 

ในฐานะที่เป็นนักลงทุนของหลินจิ่นเซวียนและลูกชายของนายกเทศมนตรีเฟิง นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หลินหว่านและหลินฉีเกรงใจและให้เกียรติ  

 

 

 

 

 

นายกเทศมนตรีเฟิงทำงานอย่างใสสะอาด เขาไม่ค่อยไปกินอาหารกับคนอื่นและสมาชิกในตระกูลเฟิงก็ไม่สนิทสนมกับใครเช่นกัน เมื่อได้รับโอกาสนี้ทั้งหลินหว่านกับหลินฉีจึงให้ความสำคัญมาก 

 

 

เฟิงฉือเห็นทั้งสองคนแล้วก็อึ้งไปนิดๆ เขาหยุดทักทาย “คุณลู่” 

 

 

น่านับถือ 

 

 

แม้ทั้งสองจะมีชื่อเรียกว่า “นายน้อยลู่” และ “นายท่านเจวี้ยน” แต่เขาไม่ได้อยู่ในแวดวงปักกิ่ง เขาจึงไม่กล้าจะเรียกทั้งสองเช่นนั้น  

 

 

เฉิงเจวี้ยนเป็นที่รู้จักในปักกิ่งและเขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร มีเพียงลู่จ้าวอิ่งที่ตอบรับเขาด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เขาก็ไม่สนิทสนมกับอีกฝ่ายเช่นกัน พวกเขาจึงเพียงพูดทักทายแล้วผละไป 

 

 

เมื่อพวกเขาไปแล้ว หลินจิ่นเซวียนก็พูดขึ้นว่า “สองคนเมื่อกี้…” 

 

 

“ตระกูลเฉิงกับตระกูลลู่ที่ปักกิ่งน่ะ” เฟิงฉือพูดเสียงทุ้ม 

 

 

หลินจิ่นเซวียนสูดหายใจลึกก่อนจะสงบใจและตั้งสติได้ 

 

 

เขาเคยไปปักกิ่งมาก่อนและรู้ดีว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยเสือที่หมอบรอโอกาส คนที่เดินสวนไปมาบนถนนธรรมดาๆ อาจเป็นคนที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ตระกูลหลินไม่ได้มีชื่อในเมืองนั้น 

 

 

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่หลินจิ่นเซวียนยืนกรานจะทำธุรกิจ 

 

 

“พี่ พี่เฟิง” เสียงบอกความดีใจดังขึ้น ฉินอวี่ที่รออยู่ด้านบนลงมาด้านล่างเพื่อเกาะแขนหลินจิ่นเซวียนและมองไปที่ประตูอย่างสงสัย “เมื่อกี้คุยกับใครเหรอคะ” 

 

 

เธอเพิ่งออกมาจากลิฟต์จึงเห็นเพียงแผ่นหลังของทั้งสองคน  

 

 

เฟิงฉือดูนบนอบและเงียบขรึม 

 

 

นั่นคือเฟิงฉือ ลูกชายของนายกเทศมนตรี บุคคลที่แม้แต่หลินจิ่นเซวียนเองก็ควรระวังไว้ 

 

 

“ก็แค่คนทั่วไปสองคนน่ะ” เฟิงฉือไม่ได้พูดอะไรกับฉินอวี่มากและยิ้มให้ 

 

 

ฉินอวี่ตามทั้งสองขึ้นลิฟต์ไปและอดหันหลังมามองไมได้ 

 

 

ที่ชั้นบน เมื่อเขาเห็นคุณนายเฟิงนั่งข้างๆ หลินหว่าน เฟิงฉือก็อึ้งไป “แม่?” 

 

 

คุณนายเฟิงกลอกตาใส่เขาก่อนจะยิ้มให้ฉินอวี่ “อวี่เอ๋อร์ มานี่สิจ๊ะ มานั่งใกล้ๆ ฉัน” 

 

 

เธอดูชอบฉินอวี่อย่างออกนอกหน้า 

 

 

หลินหว่านและหลินฉีมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ 

 

 

** 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นที่โรงเรียนอีจง 

 

 

ทันทีที่เธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องสามทับเก้าเสียงข้างในก็แทบดังสนั่นออกมา นี่เป็นเวลาอ่านหนังสือตอนเช้า แต่ทั้งหน้าต่างและประตูชั้นเรียนเต็มไปด้วยคนมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง 

 

 

เฉียวเชิงขมวดคิ้ว เขาเตะประตูออกอย่างรำคาญใจ “เสียงดังชะมัด” 

 

 

“อ้าว คุณ คุณเฉียว ในที่สุดก็มาแล้ว!” เพื่อนร่วมโต๊ะของเขาผุดลุกขึ้นมาอย่างลิงโลด  

 

 

“มีอะไร?” เฉียวเชิงมองแล้วจับผมของตัวเอง 

 

 

ระหว่างการสนทนานั้นยิ่งมีคนพากันมามุงดูไม่ขาดสาย  

 

 

เด็กผู้ชายเงยหน้าไปด้านหลัง หน้าของเขาแดงแปร๊ด “ดูสิ ดูข้างหลังสิ!” 

 

 

ในตอนนั้น สมาชิกของคณะกรรมการนักเรียนกำลังถือหนังสือเพื่อตรวจสอบโปสเตอร์ทีละแผ่น 

 

 

เริ่มจากชั้นของรุ่นพี่ก่อน  

 

 

“ประธาน ชั้นเรียนเป็นไงบ้าง” ใครบางคนกระซิบถามสวีเหยากวง 

 

 

ฉินอวี่ดูจะอารมณ์ดี เธอยิ้มและเดินตามสวีเหยากวง เธอเห็นคนในห้องสามทับเก้าแล้วก็ยิ้ม “โปสเตอร์นี่ก็วาดสวยดี” 

 

 

เธอถือหนังสือและเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปในห้องสามทับเก้า