เฟิงจือสิงได้ฟังคำพูดของท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสแล้วก็เงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ากับเขาหรือ… ข้าก็แค่ได้รับมอบหมายจากผู้อื่นให้มาดูแลเขาสักหน่อยเท่านั้นเอง”
“ใครให้เจ้ามาหรือ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสถาม
“ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านก็รู้เรื่องราวของโลกแห่งนั้นนี่ ข้ารู้ว่าท่านกับท่านแม่ทัพซือหม่ามีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทำร้ายนางอยู่แล้ว ทั้งยังมีตระกูลซือหม่าอยู่อีก” เฟิงจือสิงพูด “นอกจากนี้กฎกติกาก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าข้ามิอาจลงมือตามใจชอบที่นี่ได้”
“ข้ามิได้กังวลว่าเจ้าจะก่อเรื่องอันใดหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า “ข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก ถ้าหากเด็กคนนั้นเกิดเรื่องอันใดเข้า…”
“ไม่มีทางหรอก” เฟิงจือสิงพูด “บุตรของเขาไม่มีทางจบชีวิตลงอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว”
เฟิงจือสิงพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง กลับไม่รู้เลยว่าที่แท้ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ตายไปเสียแล้ว ที่อยู่ภายในร่างในตอนนี้เป็นวิญญาณอีกดวงหนึ่ง
“เฮ้อ เจ้าเป็นอาจารย์ ก็ไม่อาจเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด
“เมื่อถึงเวลาที่ควรไปเข้าชั้นเรียน ข้าก็จะไปสอน” เฟิงจือสิงพูด “จริงสิท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่ว่าค่ายกลนำส่งนี้นำทางไปสู่ที่ใด”
“ไม่รู้สิ ผู้ที่ออกมาก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นที่ใด แต่ดูเหมือนว่าสถานที่ที่แต่ละคนไปนั้นก็แตกต่างกัน” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “แต่พวกเขาล้วนมิอาจพูดได้ชัดเจนถึงสถานที่ที่ไปอย่างเฉพาะเจาะจงได้”
“เช่นนี้…” เฟิงจือสิงสิ้นหวังอยู่บ้าง
“เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า ถ้าหากเขากลับมาจากที่อื่น เจ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางเห็นหรอก” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด “อีกประเดี๋ยวข้ายังต้องไปที่จวนแม่ทัพเพื่อนำข่าวนี้ไปแจ้งให้จวนซือหม่าทราบสักหน่อย”
“ข้าไปกับท่านด้วยก็แล้วกัน” ทันใดนั้นเฟิงจือสิงก็คิดสิ่งใดขึ้นมาได้แล้วพูดกับอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่พยักหน้า แล้วคนทั้งสองก็ไปยังจวนแม่ทัพ
เมื่อซือหม่าเลี่ยได้ยินว่าไร้ซึ่งข่าวคราวของซือหม่าโยวเย่ว์พลันตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง แทบจะออกไปตามหาเธอในทันทีทันใด แต่ไม่รู้ว่าค่ายกลนำส่งพาตัวเธอไปแห่งหนไหน คิดอยากจะหาก็ไร้ซึ่งหนทาง
“ท่านแม่ทัพซือหม่า ท่านน่าจะมีป้ายชีวิตของนักเรียนโยวเย่ว์อยู่กระมัง” เฟิงจือสิงถาม
ซือหม่าเลี่ยได้ฟังคำพูดของเฟิงจือสิงเข้าสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาก่อนจะถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”
“ท่านอย่าเพิ่งสนใจเลยขอรับว่าข้าไปรู้มาจากที่ใด ท่านรีบไปดูป้ายชีวิตของนางก่อนเถิดว่าหมดไปแล้วหรือยัง” เฟิงจือสิงพูดอย่างเร่งร้อน
ซือหม่าเลี่ยเห็นความกังวลบนใบหน้าของเฟิงจือสิง จึงมิได้ตอแยถามคำถามนี้ต่อไปอีก ชั่วความคิดวูบไหวคราหนึ่ง หีบหยกสีดำใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เขาเปิดหีบหยกสีดำออก ด้านในมีหยกสีขาวชิ้นหนึ่ง ภายในหยกมีปื้นสีแดงอยู่สองวงที่ดูคล้ายกับหยาดโลหิตมนุษย์
“นี่ก็คือป้ายชีวิตของโยวเย่ว์ ยังคงสมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่” ซือหม่าเลี่ยมองดูชิ้นหยกขาวพลางเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าเลี่ย จิตใจที่ลอยคว้างของเฟิงจือสิงจึงค่อยผ่อนคลายลง
“เพราะป้ายชีวิตของนางมิได้มีความเคลื่อนไหวอันใด ดังนั้นนางย่อมปลอดภัย” ซือหม่าเลี่ยวางป้ายชีวิตกลับลงไป แล้วเก็บหีบหยกสีดำกลับเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุอีกครั้ง เขามองเฟิงจือสิงแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็บอกข้ามาได้แล้วกระมังว่าเจ้ารู้เรื่องที่โยวเย่ว์มีป้ายชีวิตได้อย่างไร”
เฟิงจือสิงพูดว่า “ข้าย่อมต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะข้าช่วยมารดาของนางทำป้ายชีวิตนี้จนสำเร็จ”
“เช่นนั้นเจ้าก็คือ…” ซือหม่าเลี่ยมองเฟิงจือสิงอย่างตกตะลึง
“ใช่แล้ว” เฟิงจือสิงตอบ “อย่าบอกเรื่องนี้กับโยวเย่ว์ล่ะขอรับ”
“ข้ารู้อยู่แล้วน่า” ซือหม่าเลี่ยพูด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นพวกเราก็ขอตัวกลับวิทยาลัยก่อนนะ” ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสพูด
“เอาละ เมื่อใดที่มีข่าวคราวของเด็กผู้นั้น ก็รบกวนพวกเจ้าช่วยมาบอกข้าสักคำหนึ่งก็แล้วกัน” ซือหม่าเลี่ยพูด
“ได้สิ”
หลังจากที่ท่านอาจารย์ใหญ่อาวุโสและเฟิงจือสิงกลับไปแล้ว พวกซือหม่าโยวฉีก็มาที่เรือนของซือหม่าเลี่ยพลางถาม “ท่านปู่ น้องห้ามิได้รับอันตรายอันใดใช่หรือไม่ขอรับ”
“ตอนนี้รู้เพียงแค่ว่ามิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต” ซือหม่าเลี่ยพูด “แต่ที่จริงแล้วสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นเช่นไร เพียงแค่ป้ายชีวิตก็มองไม่ออกหรอก”
“พวกเราไปตามหาน้องห้ากันเถิด” ซือหม่าโยวหรานพูด
“กลับมานี่!” ซือหม่าเลี่ยเรียกให้พวกเขาหยุดเอาไว้แล้วพูดว่า “พวกเจ้าก็รู้จักค่ายกลนำส่งนั่นของวิทยาลัยกันดีอยู่แล้ว ตอนนี้โยวเย่ว์ถูกส่งตัวไปแห่งหนใดก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ได้ ดินแดนอี้หลินกว้างใหญ่ไพศาล แล้วพวกเจ้าจะไปหาที่ไหนกันเล่า”
“แต่พวกเราก็มิอาจรออยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้หรอก!” ซือหม่าโยวหมิงพูด
“นอกจากรอ ตอนนี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” ซือหม่าเลี่ยพูด
“แต่ป้ายชีวิตของน้องห้ายังคงสมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง พวกเราก็รู้สถานการณ์คร่าวๆ ของเขาได้แล้วนี่” ซือหม่าโยวหรานพูด “น้องห้าอาจประสบเรื่องบางอย่างทำให้กลับมาไม่ได้ชั่วคราว ไม่แน่ว่าอีกม่กี่วันก็อาจจะกลับมา”
“เฮ้อ…”
วันต่อๆ มา เฟิงจือสิงก็มาถามถึงเรื่องป้ายหยกของซือหม่าโยวเย่ว์ทุกสามวันห้าวัน ทุกคนเคยชินกับการมองดูป้ายหยกว่ายังสมบูรณ์ดีอยู่หรือไม่ทุกเช้าเย็น
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ในวิทยาลัยกลับมีข่าวแพร่ออกไปว่าซือหม่าโยวเย่ว์หลงเข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วถูกส่งตัวไปยังสถานที่ที่ไม่ทราบนามและจบชีวิตลงเสียแล้ว
หลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ภายในวิทยาลัยมีทั้งคนที่ยินดีและคนที่เป็นกังวล แน่นอนว่าผู้ที่เบิกบานใจก็คือผู้ที่รังเกียจซือหม่าโยวเย่ว์ หนึ่งในนั้นก็คือมู่หรงอานและคนตระกูลน่าหลาน
ส่วนผู้ที่กังวลใจนั้นนอกจากเพื่อนร่วมหอพักของเธอและเฟิงจือสิงแล้วก็ยังมีเมิ่งถิงอีกคน
กาลเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่กลับมา นอกจากคนไม่กี่คนที่เป็นห่วงเธอแล้วคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมั่นใจว่าเธอตายไปแล้ว หัวใจที่ลอยคว้างของเหอชิวจือก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ในขณะที่ทุกคนกำลังเป็นกังวลกับซือหม่าโยวเย่ว์ เธอกลับกำลังตั้งอกตั้งใจฝึกยุทธ์อยู่ภายในหุบเขา
เพราะว่ามาถึงระดับปรมาจารย์วิญญาณแล้วเธอจึงไม่จำเป็นต้องอีกต่อไป
ดังนั้นช่วงหลังเธอจึงบำเพ็ญครั้งหนึ่งเป็นเวลาหลายวัน หากใช้คำในชาติก่อนมาพูดก็คือกะพริบตาทีเดียวก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้าของเธอก็มีลำแสงแห่งการเลื่อนระดับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่การเลื่อนระดับสิ้นสุดลง เธอก็เป็นปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้าเรียบร้อยแล้ว
พลังวิญญาณภายในถ้ำใต้ภูเขาถูกใช้ไปไม่น้อย ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบๆ ปราดหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าถ้ำใต้ภูเขาเล็กๆ แห่งนี้จะรวบรวมเอาปราณวิญญาณธาตุไฟเอาไว้อย่างเข้มข้นถึงเพียงนี้ ทำให้เธอยกระดับขึ้นมาได้ถึงสี่ขั้นในชั่วครู่เดียว
“ไม่ใช่เพียงแค่ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมนี้เท่านั้น” เจ้าวิญญาณน้อยเปล่งเสียงพูด “ก่อนหน้านี้เจ้าทำพันธสัญญากับเจ้าไข่สัตว์อสูรนั่น จึงมีพลังงานบางอย่างรวมตัวอยู่ในร่างของเจ้า พลังงานเหล่านั้นค่อยๆ ปลดปล่อยพลังออกมา บวกกับสภาพแวดล้อมนี้ เจ้าจึงยกระดับได้ถึงสี่ขั้น”
ที่แท้เพราะไข่สัตว์อสูรฟองนั้นด้วยสินะ!
ไข่สัตว์อสูรที่ทำให้พลังยุทธ์ของเธอพุ่งสูงขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้ ที่แท้แล้วมันเป็นสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันแน่
“เย่ว์เย่ว์ ตอนที่เจ้าบำเพ็ญ ข้าได้ออกไปดูข้างนอกมารอบหนึ่ง พอออกจากแก่งหินแห่งนี้ไปก็คือทิวเขาดูเหมือนว่าเทือกเขาแห่งนี้จะใหญ่โตมากทีเดียว”
“เทือกเขาที่ใหญ่โตมากอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ใคร่ครวญอยู่ในหัวรอบหนึ่ง เทือกเขาที่ใหญ่โตของอาณาจักรเป่ยเฉิน แห่งหนึ่งคือเทือกเขาผู่หลัวที่อยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือเทือกเขาปี่ลี่ที่อยู่ทางทิศตะวันตก
เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างเทือกเขาสองแห่ง เทือกเขาผู่หลัวมีขนาดเล็กกว่าอยู่พอสมควร เทือกเขาปี่ลี่จึงใหญ่กว่านิดหน่อย นอกจากนี้สัตว์อสูรวิเศษที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาปี่ลี่ก็ยังมีระดับขั้นสูงกว่ามากอีกด้วย
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่กันที่เทือกเขาปี่ลี่หรือว่าเทือกเขาผู่หลัวกันแน่” เธอลุกขึ้นปัดฝุ่นผงบนเสื้อผ้าของตนเอง
“พวกเราออกไปจากแก่งหินแล้วจับสัตว์อสูรวิเศษมาถามสักตัวก็ใช้ได้แล้วกระมัง” เจ้าคำรามน้อยพูด
“อืม ตอนนี้ก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว”
ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยออกไปจากถ้ำภูเขา แล้วเดินตรงไปตามแก่งหิน เพียงไม่นานก็ออกมาแล้วเข้าไปภายในถ้ำใต้ภูเขาอีกแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้ตรวจตราดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ เธอก็ได้ยินเจ้าคำรามน้อยพูดว่า “เย่ว์เย่ว์ ที่ริมแม่น้ำนั่นมีคนอยู่คนหนึ่ง!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองตามไปยังทิศทางที่เจ้าคำรามน้อยพูดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่มีคนผู้หนึ่งอยู่จริงๆ เขานอนอยู่บนก้อนหินและหันหน้าไปยังอีกด้านหนึ่ง รอยเลือดบนร่างกายอาบย้อมก้อนหินไปกว่าครึ่งจนแดงฉาน
…………………