ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป เมื่อเห็นรอยเลือดบนก้อนหินแล้วก็พูดว่า “คนผู้นี้เสียเลือดถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าตายหรือยัง”
“ข้ายังได้ยินเสียงหายใจของเขาอยู่เลยนะเย่ว์เย่ว์” เจ้าคำรามน้อยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างรังเกียจ
เฮ้อ หลังจากที่นางเกิดใหม่แล้วสูญเสียความทรงจำก็โง่ลงเรื่อยๆ เสียแล้ว
“หลั่งเลือดมากมายถึงเพียงนี้ ถ้าหากอยู่บนโลกก็คงจะตายสนิทไปนานแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ดูเหมือนว่าเจ้าคำรามน้อยจะค่อนข้างตื่นเต้นกับคนผู้นี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ยังไม่ทันจะเดินไปถึงข้างหน้า มันก็วิ่งออกไปจากอ้อมแขนของนางแล้วทะยานไปถึงเบื้องหน้าของคนผู้นั้นแล้ว
“เย่ว์เย่ว์ คนผู้นี้ช่างมีรูปงามเหลือเกิน” เมื่อเจ้าคำรามน้อยมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นก็ร้องอุทานออกมา
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปมองใบหน้าของเขาให้ชัดเจน ใบหน้าคมคายดุจมีด สันจมูกโด่งตรง ริมฝีปากได้รูปเย้ายวนใจ ส่วนดวงตานั้นปิดสนิทจึงไม่รู้ว่างดงามน่ามองหรือไม่ แต่ขนตางอนยาวนั้นกลับดึงดูดใจคนเป็นอย่างยิ่ง
ช่างเป็นชายที่รูปงามเสียจริง! แต่ชาติก่อนเธอเคยเห็นผู้ชายแบบนี้มามากมายแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หล่อเหลาอย่างเขา แต่พอจะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง
เธอเบ้ปากแล้วพูดว่า “รูปงามกว่าข้าจริงๆ นั่นแหละ คนที่รูปงามกว่าข้าก็จัดเป็นศัตรูทั้งหมด พวกเราไปกันเถิด”
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าไม่ช่วยเขาหรือ” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เพียงแค่มองใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วต่อจากนั้นกลับทำเหมือนจะทิ้งเขาไป มันจึงรีบถามอย่างตกใจ
“เพราะเหตุใดจึงต้องช่วยเขาด้วยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองชายผู้นั้นแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าก็เพิ่งจะกลับไปจากที่นี่เองมิใช่หรือ แต่ตอนที่เจ้ากลับไปเขามิได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย แต่พอพวกเราออกมาเขาก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดเหลือเกินหรอกหรือ”
“บางทีเขาอาจถูกสัตว์อสูรวิเศษทำร้ายเข้าตอนที่ข้าเพิ่งกลับไปพอดีก็ได้ แล้วตอนวิ่งมาถึงที่นี่ก็หมดสติไป” เจ้าคำรามน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วอุ้มเจ้าคำรามน้อยที่หมอบอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้นพร้อมกับน้ำลายไหลยืดขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจ้าคำรามน้อย อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ถึงจิตใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์อันใสซื่อของเจ้านะ เจ้าน่ะเป็นสัตว์มงคลนะ มิใช่หมาป่ากระหายกามเสียหน่อย!”
“เดิมทีข้าก็มิใช่หมาป่ากระหายกามหรอกน่า!” เจ้าคำรามน้อยถูกซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอ ขาเล็กสั้นป้อมทั้งสี่เตะไปมาอยู่กลางอากาศ “เย่ว์เย่ว์ ไม่แน่ว่าหากช่วยเขาแล้วพวกเราก็อาจจะได้รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนก็ได้นะ ถามมนุษย์ย่อมดีกว่าถามสัตว์อสูรวิเศษอยู่แล้ว อย่างมากสัตว์อสูรวิเศษก็รู้เพียงว่าที่นี่คือที่ไหน แต่มนุษย์ยังรู้ด้วยว่าจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร”
ฝีเท้าที่ก้าวจากไปของซือหม่าโยวเย่ว์หยุดชะงักลงในทันใด เธอใคร่ครวญคำพูดของเจ้าคำรามน้อยอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่ เช่นนั้นก็ช่วยเขาก่อนแล้วกัน”
เธอกลับไปยังริมฝั่งแล้วพลิกร่างชายผู้นั้นกลับมา ก็เห็นว่าบริเวณท้องของเขามีบาดแผลขนาดใหญ่คล้ายกับถูกกรงเล็บของสัตว์อสูรวิเศษอะไรบางอย่างทำร้าย ตั้งแต่ทรวงอกซ้ายยาวตลอดมาจนถึงเอวขวา
“ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เสียเลือดไปมากมายถึงเพียงนี้แต่ยังไม่ตาย นับเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ เลย” เธอมองดูบาดแผลบนร่างของชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วส่งเสียงจุ๊ปาก
“เย่ว์เย่ว์ เจ้ายังอยากจะช่วยอยู่หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยลอยมาอยู่ข้างๆ พลางเอ่ยถามขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่ตายหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด จากนั้นเธอก็พลิกหาดูภายในแหวนที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้รอบหนึ่ง ก็หายาวิเศษที่เขาทิ้งเอาไว้พบ เธอหยิบออกมาให้เขากินลงไปเม็ดหนึ่ง พอกินหมดแล้วเธอจึงเพิ่งเห็นคำว่าขั้นสี่ที่เขียนอยู่บนขวดหยก นี่คือสิ่งล้ำค่าที่มีอยู่น้อยจนนับนิ้วได้ในทั้งอาณาจักรตงเฉิน
เมื่อนึกถึงว่าตนถึงกับนำยาวิเศษขั้นสี่ให้คนที่ไม่รู้จักผู้หนึ่งกินลงไป เธอก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่น้อยเลย
“เช่นนี้ก็ใช้ได้แล้วหรือ” เจ้าคำรามน้อยถาม
“สิ่งนี้คือยาวิเศษขั้นสี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนั้นที่ข้าได้รับบาดเจ็บ แม้แต่จวนแม่ทัพก็ยังไม่มียาวิเศษขั้นสี่เลย ท่านปู่ยังต้องไปพบปรมาจารย์ศิลาอะไรนั่นแล้วเอาของไปแลกยาวิเศษขั้นสามสองเม็ดมา”
พอพูดถึงซือหม่าเลี่ย เธอก็คิดถึงเขาขึ้นมาอยู่บ้าง
“ตอนนี้ก็ไม่รู้เลยว่าท่านปู่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของเขามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เขากับพวกพี่ๆ จะต้องเป็นกังวลแทบตายแล้วอย่างแน่นอนเลยทีเดียว”
“เย่ว์เย่ว์ เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเลยนะ พอพวกเราช่วยให้เขาฟื้นคืนสติจะได้รู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วก็จะได้รู้ด้วยว่าจะกลับไปอย่างไร!” เจ้าคำรามน้อยพูดปลอบ
“เฮ้อ ก็คงได้แต่รอเขาฟื้นแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าขยายร่างกายได้หรือไม่”
“อือๆ” เจ้าคำรามน้อยพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าขยายร่างแล้วแบกเขากลับไปที่ถ้ำทีสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“อะ…อะไรนะ เจ้าถึงกับให้ข้าแบกเขาเชียวหรือ” เจ้าคำรามน้อยร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
“เจ้ามิได้บอกว่าจะช่วยเขาหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงหูของตนแล้วพูดว่า “เขาตัวใหญ่เช่นนี้ จากที่นี่ไปจนถึงถ้ำก็ไกลถึงเพียงนั้น ถ้าหากให้ข้าลากเขากลับไป ก็กลัวแต่เพียงว่ายังไม่ทันไปถึงถ้ำใต้ภูเขา เขาก็คงจบเห่แล้วล่ะ ค่อยว่ากันเถิด ข้าให้โอกาสเจ้าได้สัมผัสใกล้ชิดกับบุรุษรูปงามไม่ดีหรือไร”
“ข้าเป็นสัตว์มงคลที่มีพื้นฐานรักนวลสงวนตัวนะ!” เจ้าคำรามน้อยกลับคำพูด
“เช่นนั้นแล้วสรุปว่าเจ้าจะแบกหรือไม่แบกเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ข้า…แบก!” เจ้าลูกกลมขาวตัดสินใจว่าเพื่อบุรุษรูปงามแล้ว ความรักนวลสงวนตัวอันใดก็ไม่สนใจอีกแล้ว
มันสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศ ร่างกายที่เดิมทีเล็กจ้อยค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งมีความยาวมากกว่ามนุษย์แล้วจึงค่อยหยุดลง
ซือหม่าโยวเย่ว์ย้ายร่างของชายหนุ่มไปไว้บนหลังของเจ้าคำรามน้อย จากนั้นตนก็ปีนขึ้นไป แล้วเจ้าคำรามน้อยก็พาพวกเขาเหาะกลับมายังถ้ำภูเขา
เมื่อถึงถ้ำใต้ภูเขาแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็หยิบเอาเตียงเก่าออกมาจากภายในมณีวิญญาณด้วยความใจดีอย่างหาได้ยากยิ่ง ถึงแม้ว่าพอคนขึ้นไปนั่งบนเตียงหลังนั้นแล้วมันออกจะโยกเยกโอนเอนอยู่บ้าง แต่เมื่อปูผ้านวมลงไปแล้วก็ยังดีกว่าโยนเขาเอาไว้บนพื้นโดยตรงมากมายนัก
หลังจากปูผ้านวมเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็วางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ให้หลิงหลงแปลงร่างเป็นกรรไกรแล้วตัดเสื้อผ้าบนร่างกายเขาออก
“เย่ว์เย่ว์… เจ้าจะขืนใจคนอย่างนั้นหรือ” เจ้าคำรามน้อยแปลงกายกลับเป็นร่างขนาดเล็กแล้วเหาะมาอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ตัดเสื้อผ้าของเขาก็หุบหูสองข้างลงพร้อมกับกางอุ้งเท้าออกมาปิดตาของตนเอาไว้ ทว่าไม่ได้ปิดสนิทนัก มันแอบโผล่ดวงตาออกมาครึ่งหนึ่ง
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินคำพูดของเจ้าคำรามน้อยแล้วสีหน้าก็ดำทะมึนไปทั้งหน้าพลางพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าหากไม่ช่วยก็ไม่ช่วย แต่ถ้าจะช่วยแล้วก็จะทำให้ดีอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าเขาจะกินยาวิเศษไปแล้ว แต่ยังต้องล้างบาดแผลนี่สักหน่อยอยู่ดี”
“เช่นนี้หรอกหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าจะขืนใจคน จะเอาเปรียบเขาเสียแล้ว!” เจ้าคำรามน้อยมองร่างของชายผู้นั้นที่อยู่บนเตียงตรงๆ แล้วมันก็อ้าปากค้าง สองตาแทบจะเป็นรูปหัวใจอยู่แล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลืออดกับท่าทางหลงใหลของมันจริงๆ จึงคว้าคอของมันแล้วโยนออกไปเสีย
เมื่อไม่มีเจ้าคำรามน้อยมาคอยก่อกวนอยู่ข้างๆ แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มีสมาธิขึ้นมา เธอหยิบน้ำและผ้าขนหนูออกมาจากในมณีวิญญาณแล้วเช็ดคราบเลือดบนร่างเขาออกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ล้างบาดแผลจนสะอาดด้วยความระมัดระวังอีกครั้ง เพื่อไม่ให้คนบนเตียงต้องตื่นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวด เธอจึงพยายามให้การเคลื่อนไหวของตนนุ่มนวลอย่างสุดความสามารถ
ตอนที่เธอก้มตัวลงมาจัดการบาดแผลให้ ชายหนุ่มบนเตียงก็พอจะได้สติขึ้นมาบ้างแล้ว เขาลืมตาอันหม่นมัวขึ้นก็เห็นนัยน์ตาใสกระจ่างดุจแก้วผลึกคู่หนึ่งกำลังเพ่งความสนใจมองบาดแผลของตนอยู่
ดูเหมือนว่าตนจะได้รับความช่วยเหลือแล้วอย่างนั้นหรือ
เขารับสัมผัสถึงสภาพของตนเองรอบหนึ่งก็แน่ใจว่าตนได้รับความช่วยเหลือแล้ว จากนั้นก็หมดสติไปอีกครั้ง
ตอนที่ชายหนุ่มฟื้นขึ้นมา ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังก้มลงไปซักผ้าขนหนูอยู่พอดี ดังนั้นจึงมิได้สังเกตเห็น พอเธอชำระล้างคราบสกปรกบนร่างเขาจนสะอาดแล้วก็พบว่าบาดแผลได้กลายเป็นแผลเป็นไปเรียบร้อยแล้ว
“ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นฤทธิ์ของยาวิเศษนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นก็ยังรู้สึกว่าช่างน่าพรั่นพรึ่งยิ่งนัก” เธอยื่นมือออกไปลูบบาดแผลครั้งหนึ่ง “ถ้าหากมีเวลาว่างก็ยังต้องหาตำรายาวิเศษมาอ่านดูสักเล่มสองเล่ม ลองศึกษาการหลอมยาดูเสียหน่อย”
พอเธอทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ภายในถ้ำภูเขาก็เหลืออยู่เพียงแค่เตียงหลังนั้นแล้ว เมื่อนึกถึงว่าระยะหลังนี้เพราะการฝึกยุทธ์ จึงมิได้สัมผัสกับความรู้สึกของการนอนบนเตียงเลย ตอนนี้พอเห็นเตียงเธอจึงรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นยังนอนไม่ถึงครึ่งของเตียงหลังนี้เลย และตอนนี้ตนก็แต่งกายเป็นชาย เธอจึงตัดสินใจปีนขึ้นเตียงเข้าแล้วเอนตัวลงนอน
…………………