ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ชายหนุ่มบนเตียงจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาทั้งคู่นั้นทอประกายดุร้ายท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์หาใดเปรียบ
“โอ๊ย…” เขาลูบหน้าผากของตนด้วยความเคยชิน แต่กลับกระทบถูกบาดแผลบนร่างกาย ความเจ็บปวดบนร่างทำให้สติที่รางเลือนของเขาค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา
“เจ้านาย ท่านฟื้นแล้ว” เสียงของกิเลนเพลิงดังขึ้นมาจากมิติพันธสัญญา
“อืม” อูหลิงอวี่ขานรับเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วเริ่มระลึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนตนจะหมดสติไป
เขาจำได้ว่าเขาตามร่องรอยมาจนถึงเทือกเขาผู่หลัวเพื่อตามหาของสิ่งนั้น แต่เพิ่งมาถึงได้ไม่นานอาการหมดสติที่มักเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวก็เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลานั้น วิญญาณของเขาจะอ่อนแอเป็นพิเศษจนไม่อาจเรียกตัวกิเลนเพลิงได้ และในขณะนั้นก็ยังเผชิญเข้ากับสัตว์อสูรทิพย์ตัวหนึ่งอีกด้วย
ถ้าหากเป็นยามปกติ สัตว์อสูรวิเศษอย่างสัตว์อสูรทิพย์นี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ แต่คิดไม่ถึงว่าคราวนี้อาการหมดสติจะจู่โจมล่วงหน้า ทำให้เขาเกือบจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว
“เจ้านาย ระยะเวลาที่ท่านหมดสติในช่วงสองปีมานี้กระชั้นเข้ามามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว พวกเราจะต้องหาของสิ่งนั้นมาให้เร็วที่สุดจึงจะใช้ได้” กิเลนเพลิงพูดอย่างกังวลใจ
“ข้าเข้าใจ” อูหลิงอวี่พยักหน้าพลางพูดว่า “ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะหมดสติไปยังอยู่ที่ริมแม่น้ำ แล้วข้ามาที่ถ้ำภูเขานี่ได้อย่างไรกัน”
“เจ้านาย ท่านไม่สังเกตหรอกหรือว่าข้างกายท่านยังมีคนนอนอยู่อีกคนหนึ่งด้วย” กิเลนเพลิงพูดอย่างขบขันอยู่บ้าง
อูหลิงอวี่สะดุ้งคราหนึ่ง ข้างกายเขามีคนที่เขาไม่รู้จักนอนอยู่ ถ้าหากนางคิดจะฆ่าตนก็คงจะลงมือได้อย่างง่ายดายยิ่ง
“เจ้านาย ท่านอย่าได้ตื่นตระหนกไปเลย เป็นนางนั่นแหละที่ช่วยท่านเอาไว้” กิเลนเพลิงพูด
ต่อให้ระยะนี้วิญญาณของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอและภายในถ้ำภูเขาจะค่อนข้างมืดมิด แต่ก็มิได้หมายความว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ทั้งคนแล้วยังไม่รู้ตัว
เขานึกถึงตอนที่ฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งด้วยสติอันรางเลือนก่อนหน้านี้แล้วมองเห็นนัยน์ตามีชีวิตชีวาคู่หนึ่ง คนที่อยู่ข้างกายใช่นางหรือไม่หนอ
“นางแทบจะแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในความมืดอยู่แล้ว การมีตัวตนอยู่ก็ช่างน้อยนิด เจ้านายมิได้สังเกตเห็นชั่วคราวก็เป็นเรื่องปกติ” กิเลนเพลิงปลอบประโลมเจ้านายของตน
อูหลิงอวี่หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ มองปราดเดียวก็รู้ว่าระตับของยาวิเศษนี้สูงกว่ายาวิเศษที่ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เขากินเสียอีก เขากินยาวิเศษลงไปแล้วเคลื่อนพลังวิญญาณบนร่างมาเร่งการออกฤทธิ์ของยาวิเศษ
เมื่อรู้สึกว่าวิญญาณของตนสบายขึ้นพอสมควรแล้วเขาจึงค่อยลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบเอาไข่มุกเปล่งแสงเม็ดหนึ่งออกมาหมายจะประเมินคนที่นอนอยู่ข้างกาย แต่กลับประสานเข้ากับนัยน์ตาดำขลับคู่หนึ่งอย่างไม่คาดคิด
“ท่านฟื้นแล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งพลางมองอูหลิงอวี่
ถึงแม้ว่าเธอจะผล็อยหลับไป แต่เธอที่เป็นมือสังหารยังคงมีสัมผัสอันเฉียบแหลมต่อความเคลื่อนไหวรอบตัวอยู่ดี เธอตื่นตั้งแต่ตอนที่อูหลิงอวี่กินยาวิเศษแล้ว
“เป็นเจ้านี่เอง” อูหลิงอวี่ได้เห็นซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็ตกใจอยู่บ้าง
“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้มือและเท้าปีนลงจากเตียงแล้วยืนประเมินอูหลิงอวี่อยู่ข้างเตียง
เจ้าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่เกิดมามีใบหน้าทรงเสน่ห์เท่านั้น แต่ยังมีนัยน์ตาที่ดึงดูดใจคนอีกด้วย ตอนหลับตานั้นดูบริสุทธิ์หาใดเปรียบ แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับแสดงชัดว่าเขามิได้บริสุทธิ์อย่างที่เห็น
“นับว่าใช่ก็แล้วกัน” อูหลิงอวี่พยักหน้า
คราวนั้นตอนที่เขาไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรตงเฉินก็ได้เห็นนางทำร้ายชายผู้หนึ่งอยู่ที่สุดตรอกเข้าพอดี เขายังหารือกับกิเลนเพลิงอยู่เลย ดังนั้นจึงยังมีความประทับใจต่อนางอยู่บ้าง
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดว่าที่เขาพูดหมายถึงเคยได้ยินชื่อเสียงคนไร้ค่าของตนมาก่อน จึงเอ่ยว่า “ดูท่าทางชื่อเสียงของคุณชายเช่นข้าคงจะโด่งดังน่าดูเลยทีเดียว คุณชายเช่นข้าอุตส่าห์ช่วยเจ้า มีค่าตอบแทนอันใดให้ข้าหรือไม่”
อูหลิงอวี่ขบขันอยู่บ้าง แม่สาวน้อยนี่เป็นสตรีนางหนึ่งชัดๆ แต่กลับแทนตัวเองว่าคุณชายครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้ว่านางจะสวมแหวนมนตร์เพื่อปิดบังเพศของตน แต่ก็ไม่มีทางหลบซ่อนจมูกของกิเลนเพลิงไปได้อยู่แล้ว
“เจ้าต้องการค่าตอบแทนอันใดเล่า” เขาถามเสียงเบา
“ค่าตอบแทนอันใดก็ได้ทั้งนั้น หากเป็นชั่งเงินชั่งทองก็จะดีที่สุด หรือว่าจะเป็นอัญมณีก็ย่อมได้” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็มิได้นึกถึงว่าอยากจะให้เขามอบของสิ่งใดให้เป็นพิเศษ จึงได้พูดส่งๆ ไปสองอย่าง
“ได้สิ ข้าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าอย่างงามยิ่งเลยทีเดียว แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง” อูหลิงอวี่พูด
“เงื่อนไขอันใดหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ขมวดคิ้ว เจ้าคนผู้นี้ถึงกับมาเจรจาเงื่อนไขกับตน!
“เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าสักระยะหนึ่งสิ” อูหลิงอวี่พูด “พอถึงเวลาแล้วข้าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน”
“เพราะเหตุใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
“ข้าไม่อาจไปจากที่นี่ได้ก่อนที่อาการบาดเจ็บของข้าจะหายดี” อูหลิงอวี่พูด
“ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เทือกเขาผู่สั่วทางตอนใต้ของอาณาจักรตงเฉิน ห่างจากเมืองหลวงสิบล้านลี้” อูหลิงอวี่พูด
ที่แท้ก็คือเทือกเขาผู่สั่วนี่เอง ซือหม่าโยวเย่ว์แอบคิด คิดไม่ถึงว่าค่ายกลนำส่งนั้นจะส่งตัวเธอมาถึงที่นี่
“แต่ว่าข้ากำลังจะกลับอยู่แล้ว ข้าออกมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ท่านปู่ของข้าจะต้องเป็นห่วงข้ามากแน่นอน” ซือหม่าโยวเย่ว์คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่อาจมอบค่าตอบแทนให้แก่เจ้าได้” อูหลิงอวี่แสดงท่าทีตามใจเจ้าออกมา “เดิมทีข้ายังคิดจะมอบยาวิเศษเลื่อนระดับขั้นหนึ่งให้แก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากได้ เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
“ยาวิเศษเลื่อนระดับหรือ”
“ใช่แล้ว” อูหลิงอวี่พูด “ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพซือหม่ามิได้เลื่อนระดับมานานมากแล้ว และข้าก็มียาวิเศษเลื่อนระดับอยู่สองเม็ดพอดี เดิมทีคิดว่าเจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าสักระยะหนึ่ง ข้าก็จะมอบยาวิเศษให้เจ้า แต่ว่าเจ้า…”
“ข้าอยู่ก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าหวังว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นความจริงนะเพราะข้าช่วยชีวิตท่านได้ ข้าก็สังหารท่านได้เช่นกัน”
อูหลิงอวี่ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ดี”
เจ้าเด็กสาวผู้นี้ฝีปากไม่เบาเลยทีเดียว เป็นเช่นนั้นแล้วดูท่าทางคงจะมิใช่คนไร้ค่าอย่างที่เขาว่ากันหรอก! เมื่อนึกถึงข่าวลือที่ว่าเป็นคนไร้ค่าแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ที่นี่มีสัตว์อสูรวิเศษอยู่ทั่วไปหมด แล้วเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า”
“ค่ายกลนำส่งของวิทยาลัยส่งตัวข้ามายังที่แห่งนี้น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไข่มุกเม็ดนั้นของท่านไม่เลวเลยทีเดียว แวววาวสว่างไสวดีเหลือเกิน หยิบออกมาอีกหลายๆ เม็ดหน่อยสิ”
พูดจบแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหนน่ะ”
“ไปทำอาหารค่ำไง”
การที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปข้างนอกก็เป็นเพียงแค่ละครตบตาเท่านั้น เธอไม่อยากให้อูหลิงอวี่รู้ว่าเธอมีมิติที่เลี้ยงสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้อยู่
“เจ้านาย เหตุใดท่านจึงให้คนไร้ค่าคนหนึ่งมาปกป้องท่านกันเล่า” กิเลนเพลิงพูดอยู่ภายในมิติพันธสัญญา “ตอนนี้ท่านฟื้นขึ้นมาแล้ว ข้าก็ออกไปข้างนอกได้แล้ว ให้ข้าพาท่านกลับไปพักฟื้นที่ตำหนักวิเศษเถิด”
“พวกเราจะยังไม่กลับตำหนักวิเศษกันชั่วคราวก่อน ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะจากไปเช่นนี้โดยไม่ทันสืบหาข่าวคราวเลยได้อย่างไรกันเล่า” อูหลิงอวี่พูด
“เช่นนั้นทำไมไม่ใช้ยาวิเศษเลื่อนระดับเปลี่ยนคนไร้ค่าให้มาปกป้องท่านเสียเลยเล่า” กิเลนเพลิงพูด
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าบนร่างนางมีความลึกลับบางอย่างอยู่น่ะ” อูหลิงอวี่พูด “คนไร้ค่าคนหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อเทือกเขาผู่สั่วแต่กลับไม่หวาดกลัวไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้พวกเราทั้งสองยังได้ยินข่าวการหายตัวไปของนางที่เมืองหลวงมากว่าสองเดือนแล้วด้วย นั่นก็หมายความว่านางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเป็นระยะเวลากว่าสองเดือนแล้ว เจ้าไม่แปลกใจหรือว่านางรอดชีวิตในสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“นี่ก็ชวนให้คนประหลาดใจอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ” กิเลนเพลิงพูด “แต่ว่านี่มันไม่เหมือนนิสัยของท่านเลยนะ ท่านเลือดเย็นถึงเพียงนั้น น้อยนักที่จะรู้สึกสนใจในเรื่องราวของผู้อื่น”
“เลือดเย็นอันใดกัน” อูหลิงอวี่ไม่พอใจการประเมินที่กิเลนเพลิงให้กับตนแล้วพูดว่า “ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักวิเศษของโลกแห่งนั้น ตำหนักวิเศษที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประกายอันศักดิ์สิทธิ์ดึงดูดสาวกนับพันนับหมื่น ข้า…”
กิเลนเพลิงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปจึงขัดจังหวะเขาว่า “นั่นคือท่านยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น อย่าเอาฉากหน้าจอมปลอมมาปะปนกับตัวตนที่แท้จริงของท่านเลย”
“ถึงอย่างไรมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” อูหลิงอวี่พูดแล้วก็เอนตัวลงนอน “ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าประหลาดใจในตัวเจ้าจริงๆ เลย หึๆ…”
……………………