เล่ม 1 ตอนที่ 38 ความสนใจของเขาที่มีต่อเธอ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

อูหลิงอวี่เอนกายอยู่บนเตียงพลางจัดการร่องรอยของสิ่งที่ตนต้องการค้นหานั้น ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นเนื้อสัตว์ย่างโชยมา

 

ไม่นานนัก ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยกไก่ที่ย่างเสร็จแล้วตัวหนึ่งเข้ามา เธอเห็นอูหลิงอวี่หยิบเอาไข่มุกออกมาอีกหลายเม็ด ทำให้ตอนนี้ภายในถ้ำสว่างไสวราวกับกลางวันเลยทีเดียว

 

เธอนำโต๊ะตัวหนึ่งออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุ แล้วยังหยิบเอาจานออกมาวางไก่ที่ย่างเสร็จแล้วลงไป ก่อนจะฉีกแบ่งออกเป็นหลายชิ้นแล้วถามว่า “ท่านอยากชิมสักหน่อยไหม”

 

เธอคิดเอาไว้แล้วว่าคงมิอาจปิดบังเขาเรื่องที่ตนฝึกยุทธ์ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นเธอจึงมิได้คิดปิดบังเสียทีเดียว ขอเพียงแค่ไม่นำเอาสิ่งมีชีวิตออกมา เขาก็ไม่มีทางรู้เรื่องที่ตนครอบครองมณีวิญญาณอยู่

 

“เจ้าใช้งานแหวนเก็บวัตถุได้นี่” อูหลิงอวี่พูดอย่างไม่ประหลาดใจ

 

“ขอเพียงแค่เป็นผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่งก็ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

 

“ร่ำลือกันว่าเจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ แม้กระทั่งรับสัมผัสปราณวิญญาณก็ยังทำไม่ได้เลยนี่นา” อูหลิงอวี่ถามต่อ

 

“ท่านก็พูดเองนี่ว่านั่นเป็นข่าวลือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านผู้นี้ ท่านจะกินหรือไม่ ถ้าหากไม่กินข้าก็จะไม่สนใจท่านแล้วนะ!”

 

“อูหลิงอวี่” เมื่อได้ยินเธอเรียกว่าท่านผู้นี้ เขาจึงบอกชื่อตนเองออกมา

 

“อูหลิงอวี่ ท่านจะกินไหม” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

 

ตามปกติแล้วอูหลิงอวี่ไม่มีทางกินอาหารหยาบๆ เช่นนี้ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาสุกสว่างคู่นั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ เขาพยักหน้าอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วพูดว่า “กินก็ได้”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผลักโต๊ะไปไว้ที่ข้างเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่งแล้วกินได้เลย หลังจากนั้นก็แบ่งไก่ย่างจำนวนหนึ่งให้แก่เขา แล้วตนก็นำเอาส่วนที่เหลือมากิน

 

อูหลิงอวี่หยิบปีกไก่ขึ้นมากัดคำหนึ่ง เดิมทีก็ไม่ได้มีความคิดอะไรต่อเจ้าไก่ย่างนี่เลย แต่คิดไม่ถึงว่าเนื้อไก่จะถูกนางย่างจนมีรสชาติอร่อยล้ำ ทำให้เขากัดอีกเป็นคำที่สองอย่างไม่รู้ตัว

 

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำอาหารที่อร่อยถึงเพียงนี้ได้ด้วย” พอได้เจอของอร่อย เขาจึงไม่หวงคำชมสักนิด

 

“สิ่งที่ท่านคิดไม่ถึงยังมีอีกมากมายนัก” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าคำรามน้อยวิ่งเข้ามา จึงหยิบไก่ย่างที่เตรียมเอาไว้ให้มันออกมาจากแหวนเก็บวัตถุแล้ววางลงบนโต๊ะ

 

“เย่ว์เย่ว์ช่างใจร้ายนัก กินข้าวก็ไม่เรียกข้า” เจ้าคำรามน้อยไม่อาจพูดออกมาได้ ทำได้เพียงแค่ตำหนินางผ่านการทำพันธสัญญา

 

“ยังไม่ทันได้เรียกเจ้าก็กลับมาแล้วมิใช่หรือไร” ซือหม่าโยวเย่ว์เขกหัวเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าได้ยินเจ้าสนทนากับสัตว์อสูรวิเศษเพศผู้ตนหนึ่งอย่างระริกระรี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้เหตุใดข้าจึงไม่เคยสังเกตสัญชาตญาณหื่นกระหายของเจ้าเลยเล่า”

 

“ข้าทำที่ไหนกัน!” เจ้าคำรามน้อยยืนกรานเสียงอ่อน เพียงแต่ว่าเสียงนั้นแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ

 

“สัตว์อสูรที่เจ้าทำพันธสัญญาด้วยหรือ” อูหลิงอวี่มองเห็นเจ้าคำรามน้อยแล้วจึงถามขึ้น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองอูหลิงอวี่ปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้าสัตว์อสูรที่ไร้ประโยชน์ทั้งยังหื่นกระหายตนหนึ่ง”

 

“โฮกๆ…” ใครกันที่ไร้ประโยชน์!

 

“น่ารักน่าชังนัก” อูหลิงอวี่พูด

 

“ขอบคุณที่ชม” ซือหม่าโยวเย่ว์เคี้ยวเนื้อไก่ของตนเองจนหมดแล้วลุกขึ้นเตรียมจะจากไป “ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรวิเศษเข้ามาหรอก ดังนั้นท่านก็พักฟื้นอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้เลย”

 

พูดจบแล้วเธอก็ออกไปจากถ้ำใต้ภูเขา

 

เจ้าคำรามน้อยถือไก่ย่างเอาไว้พลางมองอูหลิงอวี่แล้วก็มองปากถ้ำ หลังจากวุ่นวายอยู่รอบหนึ่งแล้วก็หอบเอาไก่ย่างออกไป

 

ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบบุรุษรูปงาม แต่เจ้านายก็ยังสำคัญกว่าอยู่พอสมควร

 

อูหลิงอวี่เห็นเจ้าคำรามน้อยจากไปอย่างยากจะตัดใจแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

 

เมื่อแน่ใจว่าพวกเจ้าคำรามน้อยจากไปไกลแล้ว กิเลนเพลิงก็ออกมาจากมิติพันธสัญญาแล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ เสื้อผ้าสีแดงเพลิงนั้นอวดดีอย่างหาใดเปรียบ

 

เขามานั่งลงที่ข้างโต๊ะแล้วคว้าน่องไก่ขึ้นมากัดพลางเอ่ยว่า “เจ้านาย ของที่สาวน้อยผู้นี้ย่างช่างอร่อยเหลือเกิน”

 

“เหตุใดเจ้าจึงกินน่องไก่ของข้าเล่า” อูหลิงอวี่ถลึงตาใส่กิเลนเพลิง

 

“ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ชอบกินของพวกนี้อยู่แล้วนี่” กิเลนเพลิงกินน่องไก่จนหมดในไม่กี่คำ เขาคิดจะหยิบชิ้นอื่นมากินอีก แต่ถูกอูหลิงอวี่ฟาดเข้าให้แล้วโยนหัวไก่ให้เขาแทน

 

“เจ้าดูออกหรือไม่ว่าที่อยู่ข้างกายนางนั้นเป็นสัตว์อสูรวิเศษอะไร” เขาถาม

 

กิเลนเพลิงอาศัยจังหวะที่เขาไม่ได้สังเกตแล้วฉกเอาเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งมาก่อนจะพูดว่า “เจ้านั่นน่ะหรือ ก็เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณ คำรามเทพอย่างไรเล่า”

 

“สัตว์อสูรเทพโบราณมาปรากฏตัวที่โลกเบื้องล่างเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” อูหลิงอวี่ถาม

 

“ไม่รู้สิ” กิเลนเพลิงพูด “นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเพราะได้รับบาดเจ็บ พลังยุทธ์จึงลดต่ำลงอย่างมหาศาล คาดว่าหากไปเบื้องบนด้วยพลังเช่นนี้ก็คงจะถูกสัตว์ร้ายเขมือบกินในเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันยังมีเจ้านายที่พลังยุทธ์ต่ำต้อยถึงเพียงนี้อีกด้วย”

 

ตอนที่เห็นเจ้าคำรามน้อยเขายังตกใจจนแทบกระโดด เดิมทีสัตว์มงคลอย่างคำรามเทพมีจำนวนน้อยนิดอยู่แล้ว ส่วนที่กระจายตัวกันอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกได้ว่าล้ำค่าหายากเลยทีเดียว การจะพบได้ที่โลกเบื้องบนหาได้ยากยิ่งแล้ว การปรากฏตัวที่โลกเบื้องล่างอันซอมซ่อเช่นนี้ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่

 

“คนไร้ค่าในสายตาผู้อื่นไม่เพียงแต่จะฝึกยุทธ์ได้แล้วเท่านั้น แต่ยังได้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรเทพโบราณตนหนึ่งอีกด้วย นางช่างทำให้ผู้อื่นอัศจรรย์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ” อูหลิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม

 

กิเลนเพลิงมองดูรอยยิ้มของอูหลิงอวี่แล้วก็ไว้อาลัยให้ซือหม่าโยวเย่ว์ในใจสองนาที

 

ทุกครั้งยามที่เขาเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมา คือเวลาที่มารร้ายในใจเขาเริ่มก่อกวน คนที่เขาระลึกถึงนั้นไม่มีใครมีจุดจบที่ดีเลยสักคน

 

“ไก่ย่างของข้าเล่า” ตอนที่อูหลิงอวี่ได้สติกลับคืนมาก็พบว่านอกจากปีกไก่ที่ยังกินไม่หมดในมือของเขาแล้ว บนโต๊ะก็เหลือกระดูกไก่วางอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น

 

ในตอนนี้เองกิเลนเพลิงที่กินไก่ย่างหมดแล้วจึงค่อยพูดเรื่องเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา “เจ้านาย ให้ข้าไปตรวจสอบของสิ่งนั้นเถิด ข้ากับท่านทำพันธสัญญาผูกวิญญาณต่อกัน ถ้าหากมีเบาะแสของของสิ่งนั้นข้าก็ต้องสัมผัสได้อย่างแน่นอน ระยะนี้ก็ให้พี่รองคุ้มครองท่านไปก่อนก็แล้วกัน”

 

อูหลิงอวี่ขว้างกระดูกไก่ลงบนโต๊ะแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “เจ้าไม่ต้องมาเป็นกังวลเรื่องข้าหรอกน่า”

 

“เช่นนั้นข้าไปก่อนละ” กิเลนเพลิงพูดจบแล้วก็ไปจากถ้ำภูเขา เหินทะยานไปยังภูเขาแห่งอื่น

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปดูในภูเขารอบหนึ่งแล้วให้เจ้าคำรามน้อยไปเรียกสัตว์อสูรวิเศษเพศผู้ที่มันผูกไมตรีด้วยตนนั้นออกมา ก็พบว่าเป็นสัตว์อสูรทิพย์เสือกรงเล็บเหล็กตนหนึ่ง

 

เธอได้รู้สถานการณ์คร่าวๆ ของเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้จากคำบอกเล่าของเสือกรงเล็บเหล็ก รวมถึงเรื่องการกระจายตัวของระดับสัตว์อสูรวิเศษด้วย จากนั้นจึงปล่อยให้มันกลับไป

 

แต่เสือกรงเล็บเหล็กกลับหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ อ้อยอิ่งไม่ยอมจากไป

 

“เป็นอะไรไปหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

 

“คือว่าข้าชอบเจ้าคำรามน้อยยิ่งนัก ถึงอย่างไรท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นท่านก็รับข้าเอาไว้หน่อยเถิดนะ” เสือกรงเล็บเหล็กพูดอย่างละอายใจอยู่บ้าง

 

“แค่กๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย เธอมองเสือกรงเล็บเหล็กอย่างสยดสยองแล้วพูดว่า “มิได้ว่ากันว่าพวกเจ้าสัตว์อสูรวิเศษขับไสไล่ส่งมนุษย์กันหนักหนาหรอกหรือ แต่เจ้าถึงกับเสนอการยอมรับข้าเป็นเจ้านาย นอกจากนี้เจ้ายังเป็นสัตว์อสูรทิพย์ด้วย แล้วจะเห็นปรมาจารย์วิญญาณตัวเล็กๆ อย่างข้าอยู่ในสายตาด้วยหรือ”

 

เสือกรงเล็บเหล็กมองดูเจ้าคำรามน้อยแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “เดิมทีข้าก็ถูกครอบครัวขับไล่ออกมาจนต้องเตร็ดเตร่อยู่ในป่ามาโดยตลอด พี่ใหญ่ก็ติดตามอยู่กับท่านแล้ว ข้าคิดว่าในภายภาคหน้าท่านจะต้องร้ายกาจยิ่งอย่างแน่นอน! ข้าเชื่อพี่ใหญ่!”

 

ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเจ้าคำรามน้อยที่ลำพองใจใหญ่โต ไม่รู้ว่าเจ้านี่ไปล่อลวงสัตว์อสูรทิพย์ตนหนึ่งออกมาได้อย่างไรกัน

 

ซือหม่าโยวเย่ว์ผายมือทั้งสองออกมาแล้วพูดว่า “แต่ว่าข้าไม่ใช่นักฝึกสัตว์อสูรจึงมิอาจฝึกสัตว์อสูรได้ คล้ายกับว่าจะไม่อาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษที่ยังมิได้ฝึกให้เชื่องได้นี่นา”

 

“โอ๊ย ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียได้!” เจ้าคำรามน้อยคิดถึงแต่เรื่องจะช่วยซือหม่าโยวเย่ว์ จนลืมเรื่องที่มิอาจทำพันธสัญญาได้ไปเสียสนิท

 

“เช่นนั้นข้าก็ติดตามพี่ใหญ่ไม่ได้แล้วสินะ” เสือกรงเล็บเหล็กพูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง

 

เจ้าคำรามน้อยบินไปอยู่บนหลังของเสือกรงเล็บเหล็กแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ใหญ่อย่างข้ามีเล่ห์กลอยู่”

 

……………………