ส่วนชายสองหญิงสองที่มากับเจียงถิงเป็นเพื่อนสนิทของเธอ โหวจื่อกับแฟนสาวของเขาหลูเสียวอ่า พั่งจื่อกับว่าที่ภรรยาเขาหร่วนอิ่ง สี่คนนี้เห็นที่เธอแชร์ในเวยป๋อแล้วก็นัดกันมาวัดเอกดรรชนี ความจริงคือมาเที่ยวผ่อนคลาย

“ถิงถิงพูดถูก ไปเถอะ ขึ้นไปดูกัน” โหวจื่อว่า

พั่งจื่อไม่เต็มใจ แต่เห็นสายตาสงสัยของว่าที่ภรรยาแล้วก็ต้องยอม “ขึ้นก็ขึ้น! ใครกลัวกัน!”

พูดจบพั่งจื่อก็นำหน้าไปก่อน หร่วนอิ่งถึงหัวเราะเดินตามไป ดึงแขนพั่งจื่อให้เดินไปอยู่ข้างหน้า

โหวจื่อกับหลูเสียวอ่ารีบตามมาข้างหลัง เจียงถิงตามมาท้ายสุด

ดินเหนียวไม่ได้มีอยู่ตลอดทาง มาถึงตีนเขาแล้วก็มีขั้นบันไดเดินไปได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปีจึงเดินไม่ง่ายนัก

สองชั่วโมงผ่านไป…

“เฮ้อ…เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! ฉันสาบานว่าจากนี้จะไม่มาที่แบบนี้อีก!” พั่งจื่อแทบจะคลานสี่ขาขึ้นเขา

หร่วนอิ่งหอบหายใจแรงเหมือนกัน แต่ดีกว่าพั่งจื่อเล็กน้อย ทว่าพอหยุด ขาเล็กๆ กลับสั่น “ฉันก็ไม่มาแล้วเหมือนกัน เจียงถิง วัดเอกดรรชนีนี่ไม่สนุกเลย ฉันล่ะแค้นเธอนัก”

เจียงถิงยิ้มเฝื่อน “ฉันก็ไม่รู้นี่ว่าทางภูเขามันจะเดินยากขนาดนี้ คิดว่าจะเหมือนกับที่ท่องเที่ยวซะอีก”

“เจียงถิง วัดเอกดรรชนีนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหรอ? ลึกลับอย่างที่เธอพูดจริงเหรอ?” โหวจื่อถือว่าอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

เจียงถิงตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันได้ยินมาจากชาวบ้านสองคน พวกนายก็อยากรู้อยากเห็นนี่ เอะอะว่าจะมาๆ ฉันก็เลยมาด้วย ทำไมตอนนี้ถึงถามแบบนี้ล่ะ… ”

“จริงๆ นะ ความเชื่อแบบหัวโบราณเป็นสิ่งที่ทำร้ายคน ฉันกล้ารับประกันเลยว่าวัดเอกดรรชนีนั่นเป็นแค่วัดผุพัง! วัดผุพังแบบนี้ฉันเห็นมาเยอะแล้วในหมู่บ้านไกลๆ ต่างบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ความจริงเป็นพวกลวงโลกทั้งนั้น” พั่งจื่อพูดบ้าง

“เอาล่ะ อย่าบ่นนักเลย ถึงยังไงพวกเราก็ไม่ได้หวังว่าวัดเอกดรรชนีจะเป็นยังไงอยู่แล้ว แค่มาดูเท่านั้นเอง อีกไม่กี่วันหิมะจะตกแล้ว อยากเที่ยวก็คงเที่ยวไม่ได้” หลูเสียวอ่าเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล

“ก็ใช่ พวกเรามาเที่ยวนี่ ไม่ได้มาจุดธูปไหว้พระสักหน่อย ถ้ามีวัดจริงๆ ก็จะไปดู ในวัดน่าจะมีหลวงจีนรึเปล่า? ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าฝีปากหลวงจีนรูปนี้จะคล่องแคล่วแค่ไหนถึงให้ชาวบ้านเชื่อว่าเขาให้ลูกได้ เฮอะๆ…พี่โหวไม่มีความสามารถอื่น แต่เก่งเรื่องชกต่อย! ถ้าเจอล่ะก็ ฉันจะชกกับเขาให้พวกเธอเห็นสักครั้ง!” โหวจื่อพูดถึงตรงนี้ก็ดูคึกคัก

หลูเสียวอ่าดึงโหวจื่อพลางว่า “ฉันรู้นะว่าเธอทนไหว เอาล่ะ อย่ามัวคุยเรื่องพวกนี้เลย ยังเหลืออีกช่วงหนึ่งจะถึงยอดเขา ขึ้นไปดูกัน”

“ไป!” โหวจื่อนำทาง

พั่งจื่อเห็นดังนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “หลวงจีนบ้านั่นทำเอาฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว โหวจื่อ เจอหน้าอย่าเกรงใจล่ะ จัดการให้ฉันด้วย! ฉันจะให้เขาต้องชดใช้!”

“พั่งจื่อ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหลวงจีนด้วยเล่า?” เจียงถิงหมดคำจะพูด พั่งจื่อกับโหวจื่อโกรธไม่มีที่ระบาย เลยจงใจหาเรื่องทะเลาะ

หร่วนอิ่งก็พูดขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย “พวกเธอสองคนใจเย็นกันหน่อยสิ ในป่าเขาแบบนี้มีหลวงจีนก็ไม่ใช่หลวงจีนดีหรอก”

พอได้ยินคำพูดข้างหน้า เจียงถิงก็คิดชม แต่พอฟังคำพูดข้างหลังก็พูดไม่ออก เธอพบว่าการมาวัดเอกดรรชนีครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หลวงจีนที่นั่นอาจจะซวยแล้ว…

‘เฮ้อ ช่างเถอะ ถึงยังไงหลวงจีนพวกนั้นก็คุยโม้ทางอ้อม ถ้าโหวจื่อต่อยหลวงจีนชนะจริงๆ ก็ถือว่าทำเพื่อชาวบ้าน…’ เจียงถิงพึมพำในใจพลางเดินตามขึ้นไป

แต่ตอนนี้เองฟางเจิ้งไม่รู้ว่าปัญหาระลอกใหญ่กำลังอยู่บนเส้นทาง

ขณะนี้เขาเพิ่งตื่นนอน ไม่ได้รีบร้อนกินข้าว แต่เก็บกวาดอุโบสถกับลานวัดก่อน หลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะและหน้าต่างจนสะอาดแล้วถึงปาดเหงื่อ พยักหน้าอย่างพอใจ หันไปมองน้ำในโอ่งพุทธ ยังเหลือน้ำอีกครึ่งโอ่ง คาดว่าวันนี้คงใช้หมด จะต้องไปตักน้ำใหม่

แต่พอนึกถึงคุณภาพของน้ำ ฟางเจิ้งก็มีแรงเต็มสิบ

เขาฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์อยู่กับที่สักครู่หนึ่ง เกิดสายลมขึ้น ตบมวลอากาศระเบิดดังปุงปัง ให้ความรู้สึกว่าบรรลุวิชาอยู่หลายส่วน น่าเสียดายไม่มีผู้ชม ขาดเสียงปรบมือเลยดูชืด แต่หลังจบกระบวนท่า เขารู้สึกเด่นชัดว่ากระดูกทั่วร่างกำลังหดตัว กล้ามเนื้อสงบลง รู้สึกเมื่อยๆ คันๆ ค่อนข้างสบาย! ความรู้สึกกล้ามเนื้อเปิดออกทั้งตัวแบบนี้ทำให้เขาลอยล่องดั่งเซียน!

‘เหอะ ไม่คิดเลยว่าฝึกวิชาจะมีผลแบบนี้ด้วย! จากนี้คงต้องฝึกทุกวันแล้ว’ ฟางเจิ้งเพิ่มงานที่ต้องทำทุกวันให้กับตัวเองอีกครั้ง

ยามนี้เองมีเสียงคนดังแว่วมาจากนอกประตู

“ไม่ใช่มั้ง! พั่งจื่อ นายบอกว่าที่นี่ผุพังไม่ใช่เหรอ? นี่มันวัดใหม่ชัดๆ!” เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้วยความตกใจ

จากนั้นก็ตามมาอีกเสียง “ฉันไม่ใช่หมอดูนี่ ก็พูดไปงั้นแหละ”

จากนั้นเป็นเสียงผู้ชาย “เหอะๆ ดูท่าพวกเราคงจะเจอกับพวกลวงโลกจริงๆ แล้ว วัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงพวกนั้นเป็นวัดโบราณกันทั้งนั้น! แต่พวกเธอดูวัดนี่สิ เล็กไม่ว่า ดูกำแพงนั่น อุปกรณ์ต่างๆ กระเบื้อง ประตู สะอาดจนเหมือนกับอะไร นี่คือวัดที่รีบสร้างขึ้น! วัดแบบนี้ส่วนใหญ่มีแต่หลวงจีนปลอม เมื่อสองวันก่อนก็มีรายงานข่าวใหม่มาไม่ใช่เหรอ? ว่ามีคนปลอมเป็นหลวงจีนสร้างวัดเล็กเพื่อเอาเงินบริจาคธูป ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือลงมือกับคนในหุบเขา หลอกเงินไปมากมาย ฉันว่านะพวกเราเจอพวกลวงโลกเข้าแล้ว”

“ไม่ใช่มั้ง? ถ้างั้นพวกนายจะยังไปอีกไหม?” เสียงผู้หญิงดังขึ้นด้วยความหวาดกลัว

จากนั้นเสียงพั่งจื่อดังขึ้น “กลัวอะไร? พี่พั่งเคยฝึกมาแล้ว ถ้าเป็นหลวงจีนปลอม ฉันจะจัดการเอง!”

“ขี้โม้ล่ะสิ…” เหมือนว่าผู้หญิงจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้กลัวมากเกินไปแล้ว

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธขึ้นมา! ทำไมเขาถึงกลายเป็นพวกลวงโลกไปได้? ขณะจะพุ่งออกไปอธิบายนั้น ระบบกระแอมไอทีหนึ่ง เขาจึงระงับเพลิงโทสะ แต่ก็รู้สึกไม่สบายตัวในใจ

ขณะพึมพำฟางเจิ้งก็เห็นห้าคนเป็นชายสองหญิงสามคนมาถึงประตูใหญ่

พอมาถึงประตู พั่งจื่อเท้าสะเอวหมายจะแสดงพละกำลังและความห้าวหาญ แต่พอยืนอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ ความคิดเสแสร้งและความโอหังจางลงไปทันที อารมณ์ฉุนเฉียวสงบตามไป ก่อนพูดเบาๆ กับตัวเอง “หืม แปลกจริงๆ แค่ยืนอยู่หน้าประตูวัดฉันกลับไม่โกรธแล้ว”

หร่วนอิ่งยิ้ม “ฉันว่านายเสียความมั่นใจมากกว่า กลัวเหรอ?”

พูดจบหร่วนอิ่งก็มาอยู่ข้างพั่งจื่อ ความกังวลและกลัวในตอนแรกจืดจางลงไป ถึงจะมีอยู่แต่ไม่หนักขนาดนั้นแล้ว ทั้งยังพูดขึ้นด้วยความตกใจ “จริงด้วย พอเข้าไปในวัดแล้วจิตใจรู้สึกสบายขึ้นมาก”

หลูเสียวอ่าจูงมือเจียงถิงเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น สองคนรู้สึกแบบเดียวกัน มองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

…………………………