โหวจื่อหัวเราะเหอะๆ “ดูจากท่าทางพวกเธอแล้วมันมีอะไรแปลกกัน? ฉันว่าในวัดคงจะมีเครื่องเทศที่ให้จิตใจสงบหรือไม่ก็น้ำหอมกับพืชอะไรพวกนี้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดผลแบบนี้แน่ อีกอย่างวัดโบราณที่มีชื่อเสียงก็ไม่มีของแอบแฝงแบบนั้นด้วย”
โหวจื่อกล่าวพลางเดินมาถึงประตูก็พบสิ่งที่น่าตกใจ ความคิดซับซ้อนมากมายในตอนแรกหายไป จิตใจสบายขึ้นมาก แต่เขาก็ยังยืนหยัดคำเดิม “เหอะ ยานี้ร้ายกาจมาก ได้ พวกเราเจอกับพวกลวงโลกจริงๆ แล้ว พี่โหวไปวัดมาไม่รู้กี่วัด ยังไม่มีวัดไหนทำให้จิตใจสงบรุนแรงขนาดนี้มาก่อน จะต้องรีบดู ดูเสร็จก็รีบไป จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
เอ่ยจบโหวจื่อก็ตบประตูเหล็กสีแดงสด หัวเราะพลางว่า “อย่างอื่นไม่เท่าไหร่ แต่ประตูเหล็กนี่แข็งแรงดี หนาห้าเมตรเลย ประตูหนาขนาดนี้เป็นช่องประตูกักน้ำได้เลย ฟังจากเสียงแล้วก็แน่นมาก เจ้าอาวาสวัดนี้เป็นคนใจเสาะถึงสร้างประตูหนาแบบนี้รึไง?”
พั่งจื่อเคาะดูบ้างแล้วก็หัวเราะ “หนาจริงๆ ด้วย”
ทุกคนหัวเราะตาม
“อมิตพุทธ!”
“บ่ะ!” พั่งจื่อที่กำลังจะแอบถอยหนีตกใจกับเสียงสวดของฟางเจิ้งจนกระโดดขึ้น เห็นหลวงจีนหน้าขาวสะอาดและสง่าแล้วถึงถอนหายใจโล่งอก ความกล้าเพิ่มมากขึ้น ก่อนพูดเสียงดัง “หลวงจีนนี่ป่วยรึไง? มาไม่ทักกันเลย จู่ๆ ก็กระโดดออกมา ตกใจแทบแย่ เดี๋ยวฉันหัวใจวายตายไม่รู้รึไง?”
ฟางเจิ้งด่าทอในใจ ‘ไอ้เวรฉันยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว พวกแกพูดมากอยู่เลยไม่เห็นฉัน แล้วยังมาโทษฉันอีก?’
ดีที่ตอนนี้เจียงถิงดึงพั่งจื่อที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไว้ “เขายืนอยู่ตั้งนานแล้ว นายไม่เห็นเอง ยังโทษคนอื่นอีก?”
พั่งจื่อเก้อเขิน แต่ก็ไม่ได้ขอโทษ
เจียงถิงพูดต่อ “ไต้ซือ สวัสดีค่ะ ท่านอยู่วัดนี้เหรอคะ?”
ฟางเจิ้งเห็นเจียงถิงช่วยพูดให้ย่อมรู้สึกดีไม่น้อย จึงยิ้มตอบ “อาตมาฟางเจิ้ง เป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี และก็เป็นหลวงจีนเพียงรูปเดียวที่นี่”
พอได้ยินดังนั้นพวกเจียงถิงก็หน้าแดงที่พูดจาร้ายๆ ใส่อีกฝ่าย ไม่ต้องสนแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลวหรือไม่ ก็ไม่ควรทำแบบนี้ อีกอย่างทำแบบนี้ถือว่าตัวเองเป็นคนเลวเองหรือเปล่า…
เจียงถิงจึงออกปากขอโทษ “ไต้ซือ เอ่อ พวกเราเพิ่งพูดจาไม่ทันคิดไป ท่านอย่าคิดจริงจังนะคะ”
“อมิตพุทธ ไม่เป็นไรอุบาสิกา คำพูดของพวกโยมเป็นเรื่องปกติของคน อาตมาจะโกรธได้ยังไง?” ปากฟางเจิ้งพูดแบบนี้ แต่ในใจกลับอยากปิดประตูปล่อยสุนัข ไล่พั่งจื่อกับโหวจื่อไป พวกนี้มันไม่ได้เรื่อง พูดต่อหน้าว่าเขาเป็นพวกลวงโลก เรื่องอื่นรับได้แต่เรื่องนี้รับไม่ได้! แต่เขาเป็นนักบวชก็ต้องอดกลั้น! ได้แต่ขมขื่นในใจ…
“เอาเถอะ อย่ามาไต้ซือๆ อะไรเลย เจียงถิง เธอดูสิ นี่มันเณรที่อายุน้อยกว่าเราอีก พูดจาก็ไม่น่าฟัง วัดเล็กแถมยังมีเขาอยู่คนเดียว ลองไปอยู่วัดใหญ่กว่านี้สิ ก็คงเป็นแค่เณรน้อยกวาดพื้น นี่เจ้าหนูอย่าเสแสร้งนักเลย บอกความจริงมาเถอะ นายเป็นคนสร้างวัดนี้หรือเปล่า? แล้วเจ้าอาวาสล่ะ? เป็นพวกลวงโลกรึเปล่า?” ตอนนี้โหวจื่อเดินเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
เจียงถิงได้ยินดังนั้นก็ดึงโหวจื่อไว้ “โหวจื่ออย่าทำแบบนี้”
โหวจื่อถึงยอมไม่ใส่ใจ เงยหน้าพูดเสียงดัง “เราทำถูกแล้วไม่ต้องกลัวว่าใครจะว่ายังไง ถ้าเป็นคนดีจริงๆ ฉันพูดนิดหน่อยเป็นอะไรไป? อีกอย่างฉันพูดผิดตรงไหน? เธอดูหัวหลวงจีนนี่สิ ใสจนเหมือนน้ำมัน ผิวขาวอ่อนวัยกว่าเธออีก คนแบบนี้จะเป็นหลวงจีนลำบากอยู่บนเขาลำพังได้ยังไง? เป็นพวกโกหกหลอกหากินชัดๆ! อีกอย่างเจ้าลวงโลกคนนี้ยังมีฝีมือไม่น้อย แต่วันนี้มาเจอพี่โหวก็มาได้เท่านี้ล่ะ”
“เฮ้ย ต้องจ่ายเงินไหม? เดี๋ยวจะให้เงินช่วยแกกลบเกลื่อนคำโกหกแล้วกันดีไหม?” โหวจื่อพูดต่อ
พั่งจื่อด้านข้างเอ่ยขึ้น “ทุกคนรีบดูเร็ว ที่นี่มีสัญญาณไวฟายด้วย! จึ๊ๆ หลวงจีนนี่ทันสมัย เข้าเน็ตด้วยเรอะ? ดูหนังจากประเทศที่เป็นเกาะล่ะสิ?”
หลูเสียวอ่ากับหร่วนอิ่งได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมา มีสัญญาณไวฟายจริงๆ แถมยังมีขีดเต็มด้วย เห็นได้ว่าไม่ได้ส่งมาจากตีนเขา ทุกคนจึงมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย
เจียงถิงก็มองฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
ฟางเจิ้งตอบกลับนิ่งๆ “อาตมาเพียงแค่ฝึกฝน ไม่ใช่คนป่า มีสัญญาณไวฟายมันแปลกมากรึ? อีกอย่าง รัฐบาลติดตั้งไวฟายให้ พวกโยมลงเขาไปถามดูได้”
“เอาเถอะ ฉันไม่เสียเวลากับนายแล้ว พวกเราจะไปดูเอง นายก็อย่าสนใจพวกเรา ถ้าไม่ตามพวกเรา ฉันจะถือว่านายเป็นไต้ซือ แต่ถ้าตามมาบ่นพวกเรา พูดจาไม่เป็นมงคลล่ะก็ อย่าหาว่าหมัดคุณพั่งจำคนไม่ได้” พั่งจื่อพูดขึ้นอย่างรำคาญ
ฟางเจิ้งเองก็รำคาญนานแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ต้อนรับ ฟางเจิ้งก็ขี้คร้านจะสนใจ จึงหมุนตัวเดินไป
แต่ทันทีที่หมุนตัว ภาพตรงหน้าพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง!
พริบตานั้นฟางเจิ้งเห็นห้าคนขับรถบนถนนด้วยความเร็วสูง โหวจื่อขับไปกับหลูเสียวอ่าด้วยความบ้าระห่ำ ทิ้งพั่งจื่อกับเจียงถิงไว้ข้างหลัง ตอนนี้เองตรงหน้ามีขบวนรถใหญ่ โหวจื่อหัวเราะเสียงดัง “ดูนะฉันจะให้พั่งจื่อกินควันดำ!”
พูดจบโหวจื่อก็เหยียบคันเร่งพุ่งขึ้นไปเตรียมจะแซงขบวนรถ! ขบวนรถมีรถใหญ่ทั้งหมดสี่คัน บรรทุกถ่านหินมาเต็มคัน ช่วงที่โหวจื่อแซงรถใหญ่สองคันไปได้อย่างราบรื่นนั้น รถใหญ่หน้าสุดพลันเปลี่ยนเลนมายังเลนแซง
โหวจื่อด่าทอไปยกใหญ่ “บ้า ขับไม่เร็วแล้วมาเลนแซงทำไม?”
พูดจบก็ได้ยินเสียงเบรกรถดังแสบหู รถใหญ่ข้างหน้าเบรกรถอย่างบ้าคลั่ง!
โหวจื่อขับรถมาด้วยความเร็วสูง เห็นจะชนจึงรีบเปลี่ยนเลนพุ่งเข้าไปกลางขบวนรถ แต่รถใหญ่ข้างหน้าก็เริ่มเบรกเหมือนกัน รถใหญ่ข้างหลังเบรกตาม แต่รถใหญ่หนักเกินไปจึงเบรกไม่อยู่!
โหวจื่อก็เบรกรถไม่อยู่เช่นกัน ชนเข้ากับท้ายรถใหญ่ข้างหน้าดังโครม!
พริบตานั้นโหวจื่อกับหลูเสียวอ่าตะลึงค้าง ยังไม่ได้สติกลับมาก็ได้ยินเสียงสนั่น ท้ายรถถูกบางอย่างชน ต่อมาสองคนเห็นว่ารถพวกเขาเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัว สองคนกรีดร้อง กลายเป็นแผ่นเนื้อ…
ภาพเลือดเนื้อสาดกระจายทำให้ฟางเจิ้งร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก!
“ไต้ซือ? ไต้ซือ?!” ตอนนี้เองมีเสียงเรียกปลุกฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งได้สติกลับมา แต่ก็โบกมือด้วยความลนลาน ตบเข้าที่ประตูเหล็กข้างหลัง!
………………………….