บทที่ 49 สืบเนื่อง

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

ท่าทีเช่นนี้ของอวี้หย่วน ทำให้คนสกุลเฉินรู้สึกขำขันไม่น้อย นางกล่าวหยอกล้อ “เจ้าพยักหน้าส่งเดชเช่นนี้ ตกลงเห็นด้วยกับท่านอาของเจ้าหรือไม่เห็นด้วยกันแน่?”

คาดไม่ถึงว่าอวี้หย่วนที่ปกติเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่คิดอะไรมาก เมื่อได้ยินกลับวิ่งหนีไปแทบไม่เห็นฝุ่น

คนสกุลเฉินและอวี้เหวินหัวเราะลั่น จัดการตัวเองให้เรียบร้อย คล้อยหลังก็ไปหาอวี้ป๋อที่เรือน

อวี้ถังยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นดอกกุ้ยฮวา เนิ่นนานก็ยังรวบรวมสติกลับมาไม่ได้

ชาติก่อน ญาติผู้พี่ของนางไม่ได้พูดถึงเรื่องงานแต่งเร็วถึงขนาดนี้

เพราะว่าบิดาและมารดาของนางล่วงลับ ในบ้านของนางไม่มีบุรุษร่วมชายคา ญาติผู้พี่จึงเป็นฝ่ายรับผิดชอบดูแลทั้งสองบ้าน ทั้งไว้ทุกข์ให้บิดามารดานางเป็นเวลาสามปี

สามปีให้หลัง ในสายตาของสกุลทั่วไป สกุลอวี้นั้นได้ตกอับแล้ว งานแต่งของญาติผู้พี่จึงกลายเป็นความกังวลของลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ แม้จะมีการศึกษาและการอบรมสั่งสอนเพียบพร้อม แต่รังเกียจสกุลพวกเขาที่ขัดสน สกุลที่ยอมส่งลูกสาวเข้ามาแต่ง ล้วนเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ แต่เพราะบิดามารดาของนางจากไป สมาชิกในครอบครัวจึงมีน้อยจริงๆ ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ต่างก็รีบร้อนให้ญาติผู้พี่เป็นฝั่งเป็นฝา จึงไปเกี่ยวดองกับสกุลเกา คหบดีบ้านนอกในตำบลเหอเฉียว

ใครจะรู้ว่าคนสกุลเกานั้นหน้าตางดงาม แต่กลับมีนิสัยอารมณ์ร้อน หลังจากแต่งเข้ามาก็เกิดขัดแย้งอย่างร้ายแรงกับลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่ ภายหลังรังเกียจที่อวี้หย่วนหาเงินไม่ได้ เอะอะก็ไม่ให้อวี้หย่วนเข้าใกล้ สุดท้ายจึงกลับไปอยู่ที่สกุลมารดาโดยไม่สนใจอะไร

แม้ว่าอวี้หย่วนจะมีภรรยากลับเหมือนว่าไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงป้าสะใภ้ใหญ่และลุงใหญ่ที่เอาแต่วาดหวังให้มีหลานอยู่เรื่อยมา

รอจนอวี้หย่วนหาเงินได้ คนสกุลเกาก็กลับมาสกุลอวี้ กระนั้นนางก็รู้สึกว่าอวี้หย่วนใจแคบกับนาง ไม่ยอมช่วยประคองสกุลมารดาของนาง

ไม่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่และลุงใหญ่จะอดทนอย่างไร เรื่องเงินทองนางล้วนไม่ยอมเลิกรา ต้องการให้อวี้หย่วนเอาทรัพย์สินของสกุลทั้งหมดมาให้นางดูแล

ภายใต้การโน้มน้าวของป้าสะใภ้ใหญ่และลุงใหญ่ ญาติผู้พี่จึงเอาทรัพย์สินในบ้านให้คนสกุลเกาดูแล ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองกลับลดลงจนเยือกแข็ง

ญาติผู้พี่ออกไปค้าขายข้างนอก มักจะไม่อยู่บ้าน คนสกุลเกาก็เรียกหาเพื่อนฝูง ดื่มเหล้าเดิมพันสุรา

บรรยากาศในบ้านโกลาหลวุ่นวาย

ท้ายที่สุดอวี้หย่วนเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน คนสกุลเกาก็หอบทรัพย์สินในสกุลหนีไปกับพ่อค้าเร่คนหนึ่ง

นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าหลังจากลุงใหญ่และญาติผู้พี่จากไป การใช้ชีวิตของป้าสะใภ้จึงแทบไม่มีที่พึ่งพิง…

นึกถึงเรื่องในอดีตพวกนี้ อวี้ถังก็ถอนหายใจอย่างขื่นขม

ชาติก่อน นางไร้หนทางที่จะช่วยอวี้หย่วน แต่นางหวังมาตลอดว่าญาติผู้พี่จะสามารถมีครอบครัวที่อบอุ่นได้ สามารถมีคนที่ดูแลเอาใจใส่อยู่ข้างกาย ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับคนสกุลเกา หลังจากเกิดใหม่ นางคิดว่านางยังต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ คาดไม่ถึงว่า งานแต่งของญาติผู้พี่จะมีเค้าลางขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว

อวี้ถังเสียใจอยู่บ้าง ตอนแรกที่บิดามารดาเอ่ยถึงคุณหนูหลานสาวของสกุลเว่ยผู้นั้น นางไม่ได้ไปสืบฟังเรื่องนี้อย่างละเอียด ดังนั้นรอจนอวี้เหวินและคนสกุลเฉินกลับมาจากเรือนอวี้ป๋อ อวี้ถังจึงไปหาบิดามารดาที่ห้องอย่างอดใจไม่ไหว

“ป้าสะใภ้ใหญ่ว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” นางนั่งเก้าอี้ใกล้หน้าต่างในห้อง มองซวงเถาช่วยบิดามารดาเปลี่ยนชุด “แม่สื่อไปแล้วรึ?”

คนสกุลเฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าแน่นอนว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง! ก่อนหน้านี้ลุงใหญ่เจ้าเคยพบคุณหนูหลานสาวของสกุลเว่ยแล้วไม่ว่า แต่ยังได้ยินแม่สื่อผู้นั้นพูดว่า คุณหนูผู้นั้นยังมีที่นาห้าสิบหมู่เป็นสินเดิม”

“หา!” อวี้ถังคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก

สินเดิมเป็นที่ห้าสิบหมู่ สำหรับเมืองเจียงหนานถือว่าไม่น้อยเลย

ดูท่าฐานะของสกุลคุณหนูคนนั้นจะดีกว่าสกุลอวี้

คนสกุลเฉินเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก็นั่งลงด้านข้างอวี้ถังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ยามที่แม่สื่อผู้นั้นเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าและพวกป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าต่างก็ตกใจเสียยกใหญ่ เวลานั้นป้าสะใภ้เจ้ายังกลัวคนอื่นจะซุบซิบนินทา ลังเลอยู่บ้างว่าจะตอบรับงานแต่งครั้งนี้ดีหรือไม่ ยังเป็นลุงใหญ่ของเจ้าที่ตัดสินใจเฉียบขาด กล่าวว่ายืนตัวตรงไยต้องกลัวเงาเฉเฉียง[1] ยังพูดอีกว่า พี่ชายเจ้าไม่คู่ควรกับคุณหนูหลานสาวของสกุลเว่ยตรงไหน? เรื่องนี้จึงจบไปเช่นนี้” พูดมาถึงตรงนี้ คนสกุลเฉินก็ลูบศีรษะอวี้ถังเบาๆ “แต่ว่า อีกสองวันพวกเราสองสกุลจะทำความรู้จักมักคุ้นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าอยากไปดูด้วยกันหรือไม่?”

อวี้ถังรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง “ก่อนหน้าเทศกาลไหว้พระจันทร์เลยหรือเจ้าคะ?”

คนสกุลเฉินพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นความต้องการของนายหญิงเว่ย อยากจะทำเรื่องนี้ให้จบหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปเลย”

ไฉนจึงรีบร้อนถึงขนาดนี้?

อวี้ถังนึกถึงงานแต่งของอวี้หย่วนในชาติก่อน เป็นเพราะตัดสินใจอย่างรีบร้อนเกินไปจึงเกิดปัญหา นางอดกล่าวไม่ได้ “ท่านแม่ พวกเราต้องสืบข่าวคราวนางเสียหน่อยหรือไม่ แม้จะกล่าวว่าพวกท่านล้วนเห็นคุณหนูหลานสาวสกุลเว่ยมาก่อน แต่ยามนั้นอย่างไร สถานะยังคงแตกต่าง ความเข้าใจก็ไม่เหมือนกัน แต่งสะใภ้ อย่างไรก็ควรจะเลือกตามความต้องการนะเจ้าคะ”

“เจ้าพูดมีเหตุผล” คนสกุลเฉินกล่าวยิ้มๆ “ดึกมากแล้ว เจ้ารีบไปนอนพักผ่อนเถิด! พรุ่งนี้ข้าและป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าต้องยุ่งกับการพบปะสกุลเว่ย” น้ำเสียงไม่จริงจังอยู่บ้าง มองออกว่า นางไม่ได้ใส่ใจในคำพูดอวี้ถังเท่าใด

อวี้ถังแอบร้อนใจ คาดหวังให้เว่ยเสี่ยวชวนมาหานางเร็วหน่อย นางจะได้สืบข่าวด้วย

แต่จนถึงวันที่สองสกุลกำหนดวันดูตัวแล้ว เว่ยเสี่ยวชวนก็ยังไม่มาหานาง

นางร้อนใจขึ้นมา เอ่ยถึงเรื่องนี้กับป้าเฉินเป็นครั้งคราว “ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดสกุลเว่ยจึงกำหนดเรื่องงานแต่งเร็วถึงเพียงนี้?”

เห็นได้ชัดว่าป้าเฉินเข้าใจมากกว่านางเสียทีเดียว ฟังจบก็หัวเราะ “สกุลเว่ยย่อมต้องร้อนใจ! คุณหนูหลานสาวสกุลเว่ยอายุมากกว่าคุณชายของพวกเราตั้งสามปีน่ะสิเจ้าคะ!”

อวี้ถังตกตะลึง

ป้าเฉินกดเสียงเบาพูดกับนาง “คุณหนูหลานสาวสกุลเว่ยนั้นสกุลเซียง บิดาเป็นเจ้าของที่ดินใหญ่ในฟู่หยาง หลังจากมารดาผู้ให้กำเนิดของนางป่วยตาย นายท่านเซียงก็แต่งคุณหนูลูกภรรยาเอกสกุลเสิ่นของหังโจวเข้าบ้าน ว่ากันว่าคนสกุลเสิ่นอารมณ์ร้ายมิใช่น้อย ยอมรับคุณหนูเซียงไม่ค่อยได้ บิดาของคุณหนูเซียงอับจนหนทาง จึงได้ฝากฝังคุณหนูเซียงให้นายหญิงเว่ยอบรมสั่งสอน แม้จะกล่าวว่าคุณหนูเซียงเติบโตที่สกุลเว่ย แต่สกุลเซียงก็ไม่ได้ล่มสลาย งานแต่งของคุณหนูเซียง นายหญิงเว่ยก็ไม่อาจตัดสินใจเพียงผู้เดียวได้ ยืดเยื้อไปมาอยู่เช่นนี้ จึงทำให้งานแต่งของคุณหนูเซียงล่าช้า ข้าไตร่ตรองดูแล้ว งานแต่งของคุณหนูเซียงและคุณชายหย่วนของพวกเรา แปดถึงเก้าส่วนนายหญิงเว่ยคงตัดสินใจไปก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง ดังนั้นจึงได้รีบร้อนเช่นนี้เจ้าค่ะ”

อวี้ถังกล่าว “เช่นนั้นแม่ข้าและป้าสะใภ้ใหญ่รู้หรือไม่?”

“แม้แต่ข้ายังรู้ นายหญิงและนายหญิงใหญ่จะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ป้าเฉินปราดมองไปที่อวี้ถัง

ประจวบกับซวงเถาถือตะกร้าใบเล็กใส่ผักคะน้าสดเตรียมจะมาทำผักดองเดินเข้ามาในห้องครัว แทรกบทสนทนา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนายหญิงเว่ยไม่ให้คุณหนูเซียงอยู่ในบ้านนางเสียเลยเจ้าคะ?”

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เด็กสาวอย่างพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอกกระมัง?” ป้าเฉินสั่งการให้ซวงเถาเอาผักคะน้าไปล้างน้ำให้สะอาด ทั้งกล่าวไปพลาง “นายหญิงเว่ยเป็นคนที่มีความคิดความอ่าน ไฉนจึงไม่กล้าตัดสินชี้ขาดหาสกุลสามีให้คุณหนูเซียง นั่นเป็นเพราะว่างานแต่งสำคัญครั้งนี้ ไม่เหมือนการซื้อเสื้อผ้ารองเท้า เห็นแล้วชอบ เห็นว่าดีก็ตกลง อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง คิดแค่ว่านายท่านอู๋เพื่อนบ้านของพวกเรา ปีนั้นแต่งกับนายหญิงอู๋ที่มีฐานะใกล้เคียงกัน เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก เป็นคู่ที่พาให้คนอิจฉา แต่เจ้าดูหลายปีที่ผ่านมา การค้าขายของนายท่านอู๋กลับยิ่งทำมาค้าขึ้นเรื่อยๆ แต่สมาชิกผู้หญิงในบ้านก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน” ขณะที่พูด นางก็กระซิบเสียงเบา “ข้าได้ยินหญิงรับใช้ของเรือนนายท่านอู๋กล่าวว่า หลายวันมานี้นายท่านอู๋อยู่ที่เมืองหังโจวมาโดยตลอด เลี้ยงดูนักแสดงงิ้วผู้หนึ่ง นายหญิงอู๋กลัวว่านายท่านอู๋จะเผลอมีลูกขึ้นมา เตรียมจะแกล้งล้มป่วยอยู่ในบ้าน หลอกให้นายท่านอู๋กลับมา”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ซวงเถาทำตาโต

หัวข้อสนทนาเบี่ยงไปอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง

อวี้ถังเผยยิ้ม

ชาติก่อนนางรู้สึกว่าป้าเฉินพูดมาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ชอบนำมาเล่าสนุกปาก พอได้กลับมาเกิดใหม่ฟังนางพูดจู้จี้จุกจิกอีกครั้ง ก็รู้สึกสนิทสนมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งในเรือนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นป้าเฉิน ซวงเถา หรือว่าอาเสา ล้วนแต่เห็นสกุลอวี้เป็นเหมือนบ้านตัวเองทั้งนั้น หลังจากป้าเฉินและซวงเถาตามนางเข้ามาในสกุลหลี่ อาเสาก็คอยรับใช้ข้างกายอวี้หย่วนโดยตลอด หลังจากอาหย่วนจากไป เขาก็ไปเป็นเถ้าแก่เล็กๆ ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง แต่งภรรยา มีลูก แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้มั่งมีเท่าใดก็ยังไม่ลืมไปเยี่ยมเยือนป้าสะใภ้ใหญ่ ทั้งไปกวาดสุสานให้อวี้หย่วน…

อวี้ถังน้ำตารื้นขึ้นมา

เสียงของคนสกุลเฉินดังขึ้นมาจากท้ายเรือน “นี่พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่ใช่กล่าวว่าให้เจ้าไปซื้อไก่หมักน้ำเชื่อมกุ้ยฮวากลับมาสองตัวหรอกรึ? อีกเดี๋ยวข้าจะนำไปต้อนรับแม่สื่อทางพี่สะใภ้”

ป้าเฉินผุดลุกขึ้นอย่างลนลาน ดึงผ้ากันเปื้อนที่อยู่บนร่างมาเช็ดมือ รีบกล่าว “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แล้ว!”

อวี้ถังหัวเราะเสียงดัง

คนสกุลเฉินมองทั้งขมวดคิ้ว “เจ้าก็อย่าหัวเราะ ข้าให้เจ้าเย็บผ้าเช็ดหน้า เจ้าเย็บไปถึงไหนแล้ว? หรือรอพี่สะใภ้เจ้าเข้าสกุลมา น้องสามีอย่างเจ้ากระทั่งจะเย็บผ้าเช็ดหน้าให้พี่สะใภ้สักผืนก็ไม่ได้เชียวรึ?”

อวี้ถังจึงวิ่งหนีไปอย่างลนลานเช่นกัน

นางได้พบเว่ยเสี่ยวชวนก่อนวันที่อวี้หย่วนและคุณหนูเซียงจะดูตัวกัน

เว่ยเสี่ยวชวนถือตะกร้าใส่ตำรา พิงกำแพงท้ายเรือนของนางอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นนางออกมา ก็ทักทายอย่างซึมๆ “เจ้ามาแล้วรึ?”

อวี้ถังเห็นเขาเหมือนเป็นน้องชายตัวเอง รีบกล่าว “เจ้าเป็นอะไร? ถูกรังแกที่สำนักศึกษามาอย่างนั้นรึ?”

“ไม่ใช่เสียหน่อย!” เขาเม้มปากแน่น มองออกว่าอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง “ในสำนักศึกษามีอาจารย์เสิ่น ใครจะกล้ารังแกข้า”

“เช่นนั้นเจ้าก็…”

“ข้าสืบความได้แล้ว” แววตาของเขามืดมนอยู่บ้าง “เย็นวันนั้นมีคนเห็นพี่รองข้าและชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำสองคนเดินบนคันนาของสกุลข้า ยังคิดว่านั่นเป็นสหายของพี่รอง จึงไม่ได้ใส่ใจ แต่หมู่บ้านที่ไม่ไกลจากสกุลพวกเรา มีข้ารับใช้ผู้มีอิทธิพลหายไปสองคน จากที่พวกเขากล่าว สองคนนี้ล้วนมีรูปร่างสูงและกำยำ วันถัดมาที่พี่รองข้าจากไปก็ไม่เห็นแล้ว ส่วนที่เหลือ ข้าไม่กล้าสืบ…”

เป็นเพราะไม่กล้าสืบจึงอัดอั้นตันใจกระมัง?

อวี้ถังกอดเขาไว้ในอ้อมอก ตบหลังเขาเบาๆ

เว่ยเสี่ยวชวนขืนตัวสักพักก็หยุดไป ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอ่อนยวบ

“เจ้าว่า คนพวกนั้นไฉนจึงเลวร้ายถึงเพียงนี้?” เขากล่าวอย่างสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง “ถ้าอยากจะทำลายงานแต่ง มีมากมายหลายวิธี เหตุใดจึงต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตคน?”

อวี้ถังนึกถึงภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ กล่าวอย่างเสียใจ “คนบางคนใช้ความคิดของคนต้อยต่ำไปคาดเดาผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง พวกเขาแสดงสีหน้าละโมบโลภมากต่อหน้าทรัพย์มหาศาล ก็คิดว่าคนอื่นคงจะเป็นอย่างนั้นเช่นกัน”

เว่ยเสี่ยวชวนไม่ได้เอ่ยขัดอันใด กลับกอดนางแน่นขึ้น

“พี่สาว” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนคำเรียกต่ออวี้ถังขึ้นมา “พวกเราควรทำอย่างไร?”

จากกำลังของพวกเขา หากสืบต่อไปก็รั้งแต่จะทำให้คนอื่นติดร่างแหไปด้วย

อวี้ถังเผยยิ้มเย็น “ใช้ความนิ่งเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง”

เว่ยเสี่ยวชวนไม่เข้าใจ เงยหน้ามองนาง

อวี้ถังกล่าวปลอบเขาเสียงเบา “พวกเขาย่อมไม่อาจรามือเช่นนี้ แต่เพื่อไม่ให้คนสงสัย แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเรื่องแบบเดียวกันเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ ข้าแค่รอพวกเขามาหาที่หน้าประตูก็พอแล้ว”

เกี่ยวกับเรื่องแผนที่ นางไม่อยากให้สกุลเว่ยเข้ามาข้องเกี่ยว ทั้งไม่คิดที่จะให้เว่ยเสี่ยวชวนรับรู้

เว่ยเสี่ยวชวนกล่าว “พี่สาว ข้าสามารถช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง?”

นางไม่ต้องการให้เว่ยเสี่ยวชวนช่วยอะไร แต่เว่ยเสี่ยวชวนฉลาดเกินวัยและมีไหวพริบ หากนางไม่หาเรื่องให้เขาทำสักหน่อย นางกลัวว่าเขาจะพุ่งเข้ามาในแผนที่นางวางไว้โดยไม่ตั้งใจ ทำให้คนสกุลเว่ยคลาแคลงการตายของเว่ยเสี่ยวซาน

“เจ้าช่วยข้าดูหลี่จวิ้นเสียหน่อย” อวี้ถังตัดสินใจหาเรื่องให้เขาทำเล็กน้อย “เรื่องนี้หากเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ทางหลี่จวิ้นย่อมมีความเคลื่อนไหว”

————————————————-

[1] ยืนตัวตรงไยต้องกลัวเงาเฉเฉียง หมายความว่า ขอเพียงทำเรื่องที่เหมาะสมถูกทำนองคลองธรรม ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว